บทที่ 641 ความสบายใจที่ห่างหายไปนาน
เวินจิ้งหันหน้ากลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
คุณยายยิ้มตาหยีพร้อมทั้งมองไปทางมู่วี่สิง “ผู้ชายอาบน้ำเย็นกลางลานก็ได้”
เวินจิ้งมองไปทางลานเล็กๆที่ขั้นอยู่ตรงหน้าต่างโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็หลุดขำออกมาในทันที คุณหมอมู่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมาเสมอจะสามารถอาบน้ำในที่อาบน้ำสาธารณะได้ไหมนะ?
แต่ว่าเวินจิ้งก็เพิ่งเคยอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะเป็นครั้งแรกเหมือนกัน รู้สึกเป็นอะไรที่แปลกใหม่ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความประหม่า
เพราะว่าเป็นฤดูร้อน คนที่มาอาบน้ำเลยไม่เยอะ คนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงมีน้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เห็น “ของขาวๆ”ของผู้หญิงคนอื่นๆเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้เท่าไหร่นัก
เธอไม่เคยมีประสบการณ์อาบน้ำในที่แบบนี้มาก่อน ดังนั้นในตอนนี้เธอเลยทำตัวลับๆล่อๆเหมือนโจรขโมยของ หอบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเอาไว้แนบอกแล้วรีบวิ่งเข้าห้องถัดไปอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ใช้ความเร็วขั้นสุดในการอาบน้ำให้เสร็จแล้วก็ใส่รองเท้าแตะเดินออกมา
คุณยายรอเธออยู่ตรงประตู จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปด้วยกันพร้อมกับคุยกันไปด้วย “หิวหรือยัง? กลับไปก็ได้กินข้าวแล้วล่ะ เสี่ยวมู่น่ะชอบกินซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานที่สุดเลยนะ เดี๋ยวอีกสักพักคุณก็จะได้ลองชิมเองล่ะ”
เวินจิ้งรวบผมเปียกๆไปเหน็บไว้หลังหู จากนั้นก็ตอบรับไปหนึ่งที ลังเลอยู่พักใหญ่ถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณยายคะ เขามาที่นี่บ่อยไหมคะ?”
“ปีละครั้ง”
“เขามาทำอะไรเหรอคะ?”
“คนในเมืองแบบพวกคุณชอบมาเที่ยวพักผ่อนกันไม่ใช่เหรอ? ก็มาดื่มชาเอย ตกปลาเอย กินอาหารพื้นบ้านอะไรพวกนี้แหละ”
เวินจิ้งเงียบไป สามปีก่อนตอนที่ยังคบกับเขาอยู่ เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะมีด้านที่ไม่ธรรมดาแบบนี้
เมื่อก่อนเวลาไปเที่ยวกับเขา ก็มักจะไปพักโรงแรมมีระดับ แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามู่วี่สิงจะชอบการเที่ยวพักผ่อนแบบติดดินอย่างนี้ด้วย
รองเท้าแตะเหยียบย่ำลงบนพื้นหินอ่อนจนเกิดเสียงดังตึกๆ เมื่อบังเอิญเจอเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเลิกเรียนเข้าพอดี ก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามมา ทางเดินที่ตอนแรกเงียบเชียบตอนนี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะร่าเริง
เวินจิ้งคิดอะไรอยู่ในหัวมาตลอดทาง จนกระทั่งเดินมาถึงลานเล็กๆ เมื่อเปิดประตูออกไปก็นิ่งอึ้งไปในทันที
ตอนนี้แสงตะวันกำลังบ่ายคล้อย บนพื้นหินอ่อนเฉอะแฉะ มีขันน้ำพลาสติกวางอยู่ มู่วี่สิงกำลังหันหลังให้เธอ ด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
แสงอาทิตย์สีนวลสาดส่องลงมา กระทบผิวของเขาจนกลายเป็นสีแทนๆ ช่วงเอวบางแต่กลับดูแข็งแรงสวมกางเกงผ้านวมเอาไว้หลวมๆ ในตอนที่เขาหันหน้ามาเห็นเวินจิ้ง ก็มีท่าทีนิ่งไปนิด
เวินจิ้งไม่ได้เช็ดผมให้แห้ง บนร่างกายสวมใส่ชุดกระโปรงสีหม่นที่สุดแสนจะเรียบง่ายเหมือนกับผู้หญิงในท้องที่แห่งนี้ แววตาก็ดูเป็นประกายสดใส
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาในดวงตาของมู่วี่สิงจางๆ แต่ไม่นานเขาก็เก็บอาการเอาไว้ได้ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในบ้าน
เวินจิ้งยืนอยู่ตรงบริเวณลานบ้าน จากนั้นก็ย้ายสายตาหนีอย่างเงอะงะด้วยแก้มแดงเรื่อง ในหัวมีแต่ภาพรูปร่างสูงโปร่งของมู่วี่สิง
จนกระทั่งคุณยายมาเรียกไปกินข้าว เวินจิ้งถึงได้มีสติกลับมา
อาหารบนโต๊ะไม่ได้มีมากมาย มีซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน แกงเต้าหู้เนื้อกุ้ง และซุปหัวปลา แต่ละอย่างดูน่ารับประทานทั้งนั้น
เวินจิ้งก้มหน้าก้มตากินข้าว ส่วนมู่วี่สิงทานไปคุยกับคุณปู่ไป
เมื่อเจ้าของที่พักพูดถึงลูกชายลูกสาวที่ออกไปทำงานต่างเมืองตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เขาก็ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
ในตอนที่เวินจิ้งเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่ามุมปากของเขายกโค้งขึ้นอย่างอบอุ่นเข้าพอดี เธอก็ตะลึงไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนกับว่ามู่วี่สิงในตอนนี้ ราวกับย้อนกลับไปเป็นผู้ชายที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนเมื่อสามปีที่แล้ว
ช่วงที่ผ่านมานี้ ความรู้สึกที่เขามีให้เธอมีแต่ความเย็นชา ไม่มีความรู้สึกรักให้เลยสักนิด
“เอาล่ะ กินข้าวเสร็จแล้วเรามาดวลหมากล้อมกันสักตา” มู่วี่สิงยิ้มออกมานิดๆ เมื่อหันหน้าไปเห็นสีหน้าประหลาดใจของเวินจิ้ง นัยน์ตาลึกล้ำของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
เวินจิ้งกลับคิดแค่ว่าตัวเองตาฝาดไป
หลังจากทานข้าวเสร็จพวกเขาก็จัดวางหมากล้อมไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ด้านเวินจิ้งก็นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆคุณยาย
ในวินาทีที่โทรทัศน์ถูกเปิดขึ้นมา หัวใจของเวินจิ้งก็ลุกลี้ลุกลน มรสุมที่ได้ประสบพบเจอมาเมื่อตอนเช้ายังคงติดตา แต่เมื่อถูกมู่วี่สิงพามาในที่แห่งนี้ ก็ราวกับได้ตัดขาดกับโลกภายนอก
ในโทรทัศน์ไม่มีการรายงานข่าวซุบซิบพวกนั้นเป็นธรรมดา มู่วี่สิงบอกว่าเขาจะกำจัดข่าวพวกนั้นออกไป เวินจิ้งก็เชื่อเขาโดยทันที
เขาเป็นคนพูดจริงทำจริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ณ บริเวณไม่ไกล ในระหว่างที่มู่วี่สิงกำลังรอให้คุณปู่ลงหมากล้อม สายตาก็เสไปมองใบหน้าด้านข้างของเวินจิ้ง เมื่อจับสังเกตได้ถึงท่าทีผ่อนคลายของเธอเขาก็ใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ แต่เพราะอยู่ในที่เงียบ เสียงจึงดังชัดเจน
“ตั้งใจเล่นหน่อยสิ!” คุณปู่มองมู่วี่สิง จากนั้นก็พูดกลั้วยิ้มออกมา “คิดถึงแฟนเหรอ?”
เขาดึงสติกลับมา จากนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้ม แล้วตั้งสมาธิเล่นหมากล้อมต่อ
คุณยายเฝ้าหน้าจอทีวีทุกวัน และสนใจละครพีเรียดที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นอย่างมาก “เสี่ยวจิ้ง นางเอกคนนี้หน้าตาคล้ายๆคุณเลย”
ในตอนที่ละครเปลี่ยนมุมกล้อง คุณยายก็มองเวินจิ้งขึ้นๆลงๆพร้อมกับพูดขึ้นมา
เวินจิ้งนิ่งไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีมือคู่หนึ่งพาดลงบนไหล่ของตัวเอง จากนั้นมู่วี่สิงก็พูดแทนเธอกลับไปว่า “เหมือนจริงๆด้วยครับ”
เธอไม่ได้หันกลับไปมอง และก็ไม่ได้พูดอะไร คุณยายลุกขึ้นไปเอาเก้าอี้อีกตัวมานั่งอย่างรวดเร็ว ส่วนมู่วี่สิงก็นั่งลงข้างๆเวินจิ้ง
ในโทรทัศน์กำลังซูมเข้าใกล้ใบหน้าของไป๋ซีพอดี ริมฝีปากกระจับ จมูกโด่งรั้น เป็นใบหน้าที่สวยหมดจรดเอามากๆ
เวินจิ้งเหลือบมองผ่านๆจากนั้นก็ละสายตาหนี
“ทำไมไม่ดูล่ะ?” จู่ๆเสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้นมาข้างๆหู
เวินจิ้งยกริมฝีปากขึ้นพูดอย่างเฉยชา “ดูเหมือนว่าการที่ไป๋ซี เคยอยู่กับคุณ จะทำให้เธอได้ดิบได้ดีถึงขนาดนี้เลยนะเนี่ย”
ในถ้อยคำเต็มไปด้วยความประชดประชัน ในความคิดของเวินจิ้ง เวินจิ้งคิดว่าเพราะไป๋ซีเคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับมู่วี่สิง บางทีการที่เธอได้รับบทบาทที่ค่อนข้างเด่นในละครแต่ละเรื่อง อาจจะเป็นเพราะมีมู่วี่สิงคอยดันอยู่ข้างหลังก็ได้
ตอนแรกคิดว่ามู่วี่สิงไม่น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดของเวินจิ้ง เพราะถึงอย่างไรเธอก็คิดว่าไม่มีตรงไหนที่ตัวเองพูดผิดสักหน่อย
แต่เธอกลับเห็นแววความโกรธในสายตาของมู่วี่สิงได้อย่างชัดเจน ยังดีที่ไม่นานคุณปู่ก็จัดเรียงหมากล้อมตาที่สองเสร็จ และเรียกมู่วี่สิงกลับไปเล่นด้วย
เวินจิ้งบีบหัวคิ้วอย่างรู้สึกอ่อนล้า จากนั้นก็บอกลากับคุณยายแล้วกลับเข้าห้องไปพักผ่อน
ด้านหลัง มู่วี่สิงมองตามแผ่นหลังของเธอไป จากนั้นใบหน้าก็อึมครึมจนถึงขั้นสุด
ในห้องนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะว่าอยู่ท่ามกลางภูเขา อากาศตอนกลางคืนจึงเงียบและเย็นสบาย
เวินจิ้งนั่งอยู่บนเตียงสักพัก กลิ่นอายความชื้นลอยอยู่ในอากาศ ปะปนไปกับกลิ่นยากันยุงจางๆ แพร่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมในห้อง
สภาพแวดล้อมแสนสงบสุขแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกราวกับฝันไป
อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ศรีวิไลมานาน ถ้าไม่ได้มู่วี่สิงพาเธอมาที่นี่ เธอก็คงไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอะไรแบบนี้
ในวินาทีนี้ เธอรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ห่างหายไปนาน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากบันได เวินจิ้งรีบหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมร่างกายตัวเองทันที จากนั้นก็กระถดตัวไปอยู่ขอบสุดของเตียง
เสียงฝีเท้าของมู่วี่สิงไม่ได้ถือว่าดังอะไรเลย เพียงแต่ว่าเมื่อนั่งลงข้างเตียง เตียงนอนตัวเก่าก็ยังส่งเสียงอี๊ดแอดออกมาอยู่ดี
เขายื่นมือออกไปปิดไฟ จากนั้นก็กางมุ้งให้ครอบเสื่อที่ปูบนเตียง แล้วถึงได้ค่อยๆเอนตัวนอนลง