บทที่ 692 อย่าโกรธได้ไหม
มู่วี่สิงมองดูเวินจิ้งแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ครับ พวกเราจะพักอยู่ที่นี่”
ใบหน้าเวินจิ้งที่ยังคงยิ้มจางๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
เธอมองชายของเธอด้วยสายตาที่เป็นพะวง ยามเมื่อเธอยิ้มขึ้น ราวกับว่าเธอสวมหน้ากากอีกชั้นไว้
พอตกกลางคืนเธอเพิ่งจะทราบว่ากำลังเผชิญกับปัญหาที่พะอืดพะอม คือเธอนั้นจะต้องนอนห้องเดียวกันกับมู่วี่สิง…..
ถ้าหากอยู่ที่การ์เด้นมูเจียวาน เธอสามารถให้เขานั้นนอนห้องรับแขกได้อย่างเปิดเผย แต่ด้วยท่าทีของมู่เฉิงตอนนี้ ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการต่อต้านเขา
เป็นคนต้องรู้จักรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
ครั้นเมื่ออาบน้ำเสร็จ เธอได้พูดสั่งอย่างใจเย็นว่า “มู่วี่สิงต้องลำบากให้คุณนอนพื้นแล้วนะ แต่วางใจได้ฉันจะปูพื้นอย่างดีให้คุณเลย”
ห้องนอนของเขามีลักษณะที่กว้างขวางมาก ไม่มีโซฟาขนาดใหญ่ มีแค่โซฟาเล็กๆที่เธอนอนคนเดียวยังรู้สึกแคบ
เขาที่สวมชุดคลุมอาบน้ำตัวใหญ่สีดำ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “การเป็นภรรยาที่ดีของคุณคือให้สามีนอนกับพื้นเหรอจิ้งจิ้ง คุณเข้าใจอะไรผิดกับคำว่าภรรยาที่ดีผิดไปหรือเปล่า”
เวินจิ้งที่ยิ้มฝืดเฝื่อน “พวกเราเป็นสามีภรรยาที่หย่าร้างกันมานาน เป็นคุณเองที่โกหกฉันมาโดยตลอด ฉันตอนนี้ถือว่าได้เมตตากรุณา…..นี่คุณจะทำอะไร!”
ฝ่ายชายได้ปิดไฟเพดานลง เหลือเพียงไฟข้างเตียง ร่างที่สูงใหญ่ทอดกายลงนอนบนเตียง “ผมแค่รับปากคุณว่าจะไม่แตะต้องตัวคุณ แต่สำหรับการนอนพื้นนั้น? จิ้งจิ้ง ถึงแม้ผมจะรู้สึกกับคุณตลอดเวลา แต่ผมบอกแล้วว่าจะไม่แตะต้องตัวคุณ ผมควบคุมตัวเองได้ ยกเว้นคุณมายั่วยวนผม”
เวินจิ้งเม้มปาก ก็ได้ นอนด้วยกันก็ได้ เธอยังจะต้องกังวลว่าเขาจะผิดคำพูดอีกหรือ
ครั้นแล้วเธอก็ดึงผ้าห่มบนเตียงขึ้น เพียงแค่เอนตัวลงนอนลงเท่านั้นก็ถูกเขากอดไว้ในทรวงอกอุ่นๆทันที
เวินจิ้งตกใจขวับ “มู่วี่สิงคุณเคยพูดว่าจะไม่แตะต้องตัวฉันไง!”
ฝ่ายชายค่อยๆปล่อยเวินจิ้งนอนอย่างสบายขึ้น แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ต้องการให้ผมแสดงความหมายของคำว่า“แตะต้อง”ไหม?”
เขาแค่กอดเธอ ไม่ได้แตะต้องส่วนอื่นของเธอสักหน่อย
เวินจิ้งไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเหลี่ยมจัดเช่นนี้ เธอพยายามขัดขืนสุดฤทธิ์ขึ้นในทันใด “ฉันร้อน คุณอย่ากอดฉัน”
การร่วมหมอนนอนเตียงเดียวกันถือว่าเป็นสิ่งที่เธอยอมสุดๆแล้ว
ฝ่ายชายนั้นรีบคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศ แล้วทำการเปิดโหมดความเย็นเสร็จสรรพเรียบร้อย “ตอนนี้ไม่ร้อนแล้ว”
เวินจิ้ง : …..
เธอยิ่งไม่พอใจ ขยับตัวดิ้นแรงขึ้น
น้ำเสียงฝ่ายชายก็ค่อยๆเบาลง “จิ้งจิ้ง คุณกำลังเชื้อเชิญให้ผมทำอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า?”
เนื้อตัวที่หอมละมุนถูไปถูมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา หากไม่ใช่เชื้อเชิญแล้วคืออะไร
เขาขมวดคิ้ว แล้วถอนคำพูดก่อนหน้านั้นขึ้นทันที “จิ้งจิ้ง ก่อนหน้านั้นผมพูดผิดไป เผชิญหน้ากับคุณผมไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้เลย”
จบประโยค เขาก็โน้มตัวไปเงยหน้าเธอขึ้นแล้วบรรจงจูบเบาๆ เขาถอนหายใจขึ้น “ถ้าคุณยังดิ้นผมไม่อาจจะรับประกันอะไรได้อีก ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดานะ”
เขาพูดพลางบรรเลงจูบอย่างดูดดื่ม
เวินจิ้งอยากจะถีบเขาลงจากเตียงเสียให้ได้ และแน่นอนปัญหาติดอยู่ที่เธอแรงไม่มากพอ
“จูบต่อไปไม่ได้แล้วนะ!” เธอตะโกนขึ้นอย่างเยือกเย็น “มู่วี่สิงคุณจะมากเกินไปแล้วนะ! ฉันก็ไม่อยากจะอยู่ข้างคุณแม้แต่วินาทีเดียวอีก!”
ทันใดนั้น ฝ่ายชายที่กำลังบรรเลงจูบเธอได้หยุดชะงัก ส่วนคางของเขาได้วางอยู่บนไหล่ของเธอ “ก็ได้ ไม่จูบแล้วก็ได้ อย่าโกรธเลยน๊า”
เวินจิ้งที่เปล่งเสียงอืมแล้วหลับตาลงจากนั้นก็หลับใหลไปอย่างรวดเร็ว
เธอคิดว่าเธออยู่บนเตียงของเขา อยู่ในอ้อมกอดของเขาเธอนั้นจะนอนไม่หลับ แต่ที่ไหนได้เธอกลับนอนสลบไสลไปจนถึงฟ้าสาง อีกทั้งตอนเธอตื่นชายที่อยู่ข้างกายเธอไม่อยู่แล้ว แต่ที่นอนยังคงอุ่นอยู่ เครื่องปรับอากาศนั้นได้ปิดไป
เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ขยี้ตาเบาๆเพื่อจะดูเวลา แต่ว่ายังไม่ทันได้ดู หน้าจอมีแสงกะพริบสายโทรเข้าของหยูจิ่งห้วน
พวกเขาสองคนไม่ได้ติดต่อกันมานานมาก เวินจิ้งได้ข่าวจากเวยอานว่าเขาไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลอีก และก็ลาออกแล้ว
เธอรับสายโทรศัพท์ ลึกๆเธอรู้สึกดีใจ
เธอคิคกับหยูจิ่งห้วนเป็นเพื่อนมาโดยตลอด
“หมอหยู”
ถ้าเทียบกับความดีใจของเธอแล้ว น้ำเสียงของหยูจิ่งห้วนดูจะเคร่งขรึมกว่า ถึงแม้ว่าเขาที่พยายามจะฝืนยิ้มอยู่ก็ตาม “เวินจิ้ง อย่าเรียกผมว่าหมอหยูเลย ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นคุณหมอแล้ว”
“ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ยังเป็นคุณหมอที่ยอดเยี่ยมในใจของฉัน”
หยูจิ่งห้วนหัวเราะ “ตอนนี้คุณอยู่ลอนดอนหรอ อยู่กับคุณนายหลินหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันยังอยู่เมืองหนาน”
“ดูเหมือนเราจะไม่ได้ติดต่อกันนานเกิน ก่อนหน้านั้นผมเคยพยายามติดต่อคุณ แต่ว่าโทรศัพท์คุณไม่สามารถติดต่อได้ คุณเคยติดต่อหาผมบ้างหรือเปล่า”
ก่อนหน้านี้เธออยู่กับมู่วี่สิง โทรศัพท์ของเธอนั้นไม่สามารถติดต่อได้จริงๆ
“ใช่แล้วคุณโทรมาหาฉันแต่เช้าแบบนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอ”
คู่สายโทรศัพท์ได้เงียบขึ้นสักพัก ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นเบาๆว่า “ตอนนี้ผมอยู่สนามบิน”
“สนามบิน? สนามบินหนานเฉิงหรอ คุณจะไปไหน”
เสียงของเขาที่ดูเคว้งคว้าง เวินจิ้งที่ไม่เคยได้ยินแบบนี้มาก่อน หรือบางทีเขาแค่ซ่อนมันลึกเกินไป หรือบางทีเขาแค่กำลังล้อเล่น “ความจริงก่อนหน้านี้ผมอยากจะไปหาคุณ แต่ตอนนี้คุณอยู่เมืองหนาน และผมก็รู้ว่าคุณอยู่กับมู่วี่สิง อย่างนั้นผมก็จากไปได้อย่างสบายใจ”
เวินจิ้งตะลึงงัน “คุณจะไปไหน คุณจะไปต่างประเทศหรอ”
“ครับ” เสียงหยูจิ่งห้วนราบเรียบ “เวินจิ้ง ต่อไปคุณอาจจะไม่เจอผมแล้ว”
เวินจิ้งประหลาดใจ “คุณคงไม่ใช่กำลังจะขึ้นเครื่องแล้วถึงโทรหาฉันนะ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้”
“ผมรู้สึกโชคดีมากที่วันนี้ผมโทรหาคุณติด ไม่อย่างนั้นแม้แต่โอกาสที่จะล่ำลาก็คงไม่มี” น้ำเสียงหยูจิ่งห้วนที่ยังคงคุยหยอกล้ออย่างสบายๆ
อันที่จริงเขาลังเลอยู่นานมากสำหรับการโทรหาครั้งนี้ ในช่วงระหว่างนี้ความจริงเขาก็ทราบเรื่องราวของเวินจิ้งดี และก็มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน เรื่องที่เขาจะจากไปเขาก็ไม่ได้บอกให้คนอื่นทราบ แต่ตอนที่ผ่านจุดตรวจความปลอดภัย เขาอดไม่ได้จึงโทรหาเวินจิ้ง
บางทีการที่เขาชอบเธอนั้นอาจยังไม่ถึงขั้นที่ฝังลึกเข้าไปในจิตใจจนมิอาจลืม หรือขั้นฝังลึกเขาไปในกระดูกชนิดที่ว่าจะต้องได้มาให้ได้ แต่ว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมาของเขา เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหว เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขาชื่นชอบและหลงใหล
มีเพียงคนเดียวจริงๆ บางทีอนาคตอาจจะไม่มีอีกด้วยซ้ำ
“จิ่งห้วน……” เวินจิ้งขมวดคิ้ว ที่ผ่านมาเธอรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงดูแลจากหยูจิ่งห้วนมาโดยตลอด เธอไม่อยากจะสูญเสียเพื่อนคนนี้ไป
ไม่อยากแม้แต่สักนิดเดียว
เธอคิดว่าหลังจากที่กลับประเทศFแล้ว พวกเราสามารถที่จะทำงานโรงพยาบาลเดียวกันได้อีก
แต่ว่าตอนนี้ ดูเหมือนว่าต่อไปจะไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว
“คุณจะไปไหน วันหน้าหากฉันมีเวลาจะได้ไปเยี่ยมหาคุณได้”
หยูจิ่งห้วนที่ยังคงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เวินจิ้ง อย่าพูดแบบนี้ ถ้าคุณพูดแบบนี้อีก ผมจะอดไม่ได้ที่จะรอคุณ การรอคอยคนคนหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน อีกทั้งรอคนที่ไม่ทราบว่าจะได้มาหาหรือไม่”