บทที่ 740 ผู้หญิงคนแรกที่ถูกใจในรอบหลายปี
ในห้องนอนไร้เงาของเธอ ห้องครัวก็เช่นกัน รวมทั้งห้องน้ำ ห้องหนังสือ…
ผ้าม่านถูกดึงขึ้น โคมไฟสไตล์โบราณที่ตั้งบนโต๊ะหนังสือส่องสว่างเงียบเหงา หญิงสาวนั่งชันเข่าบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ข้อศอกค้ำมุมโต๊ะหนังสือ สายตามองหนังสือที่เปิดค้างอยู่
เขาลดเสียงฝีเท้าของตัวเองให้เบาลง ถึงกับแทบจะกลั้นหายใจ เดินเข้าไปใกล้เธออย่างแผ่วเบา
เธออ่านหนังสือจริงจังมาก จนไม่รู้สึกว่าในห้องหนังสือมีคนเข้ามา
กระทั่งเสียงแผ่วเบาของชายหนุ่มดังขึ้น “คุณจะไปเมืองนอกหรือ”
หนังสือภาษาเยอรมันพื้นฐานวางกระจายบนโต๊ะของเธอ เธอเรียนภาษาเยอรมัน จะไปเยอรมนีอย่างนั้นหรือ
ถ้าเธอไปเยอรมนี จะไปจากเขาหรือเปล่า
เธอเริ่มวางแผนอนาคตของตัวเองแล้ว แต่ในนั้นไม่มีเขารวมอยู่ด้วย
เวินจิ้งอึ้งไป เงยหน้ามองเขา “อึม พ่อแม่ไม่อยากอยู่ลอนดอน เกษียณแล้วอาจจะไปอยู่เยอรมนี ถ้าพวกท่านไปอยู่ที่นั่น ฉันก็จะตามไปอยู่ด้วย”
สายตาและสมาธิของเธอกลับมาอยู่ที่หนังสืออีกครั้ง พูดขึ้นเรียบๆ “แยกกันอยู่แล้วสองปีไปยื่นขอศาลหย่าได้ ถ้าคุณไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ เรารออีกสองปีก็ได้ค่ะ”
มู่วี่สิงนิ่งขรึมลง “คุณย้ายออกจากบ้านตระกูลมู่ เพื่อแยกกันอยู่กับผมหรือ”
เขาประหลาดใจที่ไม่รู้ว่า เธอมีความคิดอย่างนั้นจริงๆ
พูดให้เขาไม่ใช่อิทธิพล จีบเธอใหม่อีกครั้ง เป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่เธอหลอกเขาเท่านั้น
นิ้วมือเวินจิ้งไม่ขยับเขยื้อน เสียงยังคงราบเรียบ “ทำไมวันนั้นที่ร้านกาแฟคนพวกนั้นดูถูกฉัน คุณคงยังไม่ได้ตรวจสอบเรื่องในอดีตระหว่างเราสองคนใช่มั้ย บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปซื้อกิจการบริษัทหลินซื่อ ในเมืองหนาน ที่จริงแล้วตระกูลหลินไม่มีที่ยืนแล้ว และฉันก็ไม่ใช่คุณหนูมหาเศรษฐีแล้ว”
“เพราะคุณไม่ยอมเล่าเรื่องอะไร ผมเลยไม่เคยตรวจสอบเรื่องนี้”
เขาไม่เคยถามใครทั้งนั้น เขารู้โดยสัญชาตญาณว่า อดีตของพวกเขา เขาเลือกที่จะลืม ก็ไม่ควรจะรู้
รู้แล้ว…อาจจะดีกว่าไม่รู้มากนัก
“ก็จริง เรื่องที่ตั้งใจลืม ก็ไม่ควรคิดถึงมันอีก”
เธอยิ้มบางๆ “แต่ฉันลืมไม่ได้ ฉันจึงต้องไปจากที่นี่ ฉันไม่มีสถานะอะไรแล้วที่นี่”
เธอไม่ได้หันหน้ามา เขาจึงมองเห็นเพียงด้านหลังของเธอขดตัวบนเก้าอี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลึกๆ ว่า เธอไม่เคยคิดอยากอยู่กับเขาจริงๆ ตั้งแต่แรก
“เพราะคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ก็เลยคิดจะไปเมืองนอกหาหยูจิ่งห้วน งั้นหรือ”
สายตาของเธออยู่ที่หนังสือ แต่ความจริงแล้วไม่ได้อ่านสักตัวอักษร ดวงตากลอกไปมา ผ่านไปนานเธอจึงตอบเขา เสียงแผ่วเบา เบาจนเหมือนหูฝาด “อึม”
“อึม” เพียงคำเดียวนั้น ทุบความหวังในก้นบึ้งหัวใจของเขาแหลกลาญ
กระทั่งเสียงฝีเท้าของเขาห่างออกไป จนหายลับไป เวินจิ้งค่อยเงยหน้าขึ้น ที่หน้าอกข้างซ้ายความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ออกมา เข้าเกาะกุมหัวใจของเธอ
เธอลุกขึ้น ออกจากห้องหนังสือเดินไปห้องรับแขกช้าๆ ที่นั่นไร้เงาของเขาแล้ว
คงไปแล้วมั้ง ผู้ชายคนนั้นสถานะสูงส่งเช่นนั้น เขาจะชอบเธอรักเธออีกได้อย่างไร และคงไม่ยอมให้เธอปั่นป่วนความรักของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอยิ้ม บังเอิญเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้สีแดงสดที่วางบนโต๊ะเล็ก เธอนิ่งอึ้งไป ดอกกุหลาบกลีบบางอ่อนโยนนั่น เป็นสีแดง
แม้จะพูดกันว่าดอกกุหลาบสีแดงธรรมดาสามัญที่สุด แต่ถึงจะไร้รสนิยม มันก็ยังคงสวยมากเช่นเคย
ในที่สุด เธอก็หาแจกันใบหนึ่งเจอ ค่อยๆ ปักดอกกุหลาบช่อใหญ่ลงในแจกันดอกไม้
เธอเห็นบนกลีบดอกไม้ยังมีหยดน้ำ คิดขึ้น ถ้าโกรธแล้ว ก็ไม่ต้องมาอีก
เธอหวังว่าเขาจะไม่กลับมาอีก
สีหน้าของเธอไร้ความรู้สึกเดินกลับไปห้องหนังสือ แล้วอ่านหนังสือต่อ
ตกกลางคืนเธอกินข้าวคนเดียว หลายวันมานี้ผู้ชายคนนั้นสรรหาสารพัดเหตุผลมาอ้างเพื่ออยู่กินข้าวด้วย เธอเองก็เคยชินแล้วที่จะเตรียมอาหารในตู้เย็นให้มากพอ
เพิ่งจะทำกับข้าวเสร็จสองอย่าง หยีเป่ยโจวก็โทรศัพท์เข้ามา เธอจึงขอโทษเขา “ฉันขอโทษเรื่องวันนั้นค่ะ ทำให้ร้านกาแฟของคุณวุ่นวายไปหมด”
เสียงของชายหนุ่มสะอาดน่าฟัง “ตอนนั้นผมอยู่ข้างนอกพอดี”
เขาชะงักไป “หลังจากวันนั้นคุณมู่ส่งคนเอาเช็คมาให้”
หยีเป่ยโจว เล่าว่า “เขาบอกว่าถ้าคุณมาที่นี่แล้วสบายใจก็มาทำงานที่นี่ต่อได้”
เสียงของเขาเนิบช้า “ผมไม่คิดว่าคุณแต่งงานแล้ว”
เขาคาดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่เขาถูกตาต้องใจคนแรกในรอบหลายปี จะเป็นภรรยาคนอื่น
และยังแต่งงานกับตระกูลมหาเศรษฐีอย่างตระกูลมู่ มิน่าละถึงไม่ต้องทำงาน ใช้เวลาส่วนใหญ่ที่ร้านกาแฟได้ ก็แค่ฆ่าเวลาเท่านั้น
เวินจิ้งเงียบขรึม ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
หยีเป่ยโจวรู้สึกได้ว่าคำพูดของตัวเองไม่เหมาะสม ลังเลก่อนที่จะถามขึ้น “คุณจะยังมาเรียนชงกาแฟอีกมั้ยครับ”
เขายิ้ม “เงินที่คุณมู่ชดใช้ให้เหลือมากพอจะเป็นค่าเรียนของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องมาเป็นพนักงานเสิร์ฟก็ได้ แค่มาช่วงเช้าเรียนชงกาแฟก็พอครับ”
“ก็ได้ค่ะ” เธอหลุบตา “ฉันมีเวลาแล้วจะไปค่ะ”
พูดคุยกันอีกสองสามประโยค เธอก็วางโทรศัพท์
กำลังจะกลับไปที่โต๊ะอาหารกินข้าว เสียงออดประตูดังขึ้น เธอกัดริมฝีปาก เมื่อเช้ามู่วี่สิงเพิ่งจะโกรธไป ไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้หรือเปล่า
ใครกันนะ
เธอเดินไปเปิดประตู ตะลึงมองผู้ชายที่อยู่หน้าประตู ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้น “คุณมาทำไม”
มู่วี่สิงเผยอริมฝีปาก พูดเสียงเคร่งขรึม “ผมหิวแล้ว อยากกินข้าวกับคุณ”
เธอพูดเสียงราบเรียบ “ฉันทำอาหารพอแค่คนเดียวค่ะ”
ชายหนุ่มชะงักไป จากนั้นก็ทำเหมือนมายากลยกถุงซาลาเปาขึ้นมาถุงหนึ่งอย่างง่ายดาย ยิ้มให้เธออย่างสุขุม “ผมเอาซาลาเปามาด้วย”
เวินจิ้ง:…
เธอจับประตู “คุณซื้อซาลาเปาแล้วกินที่ร้านก็ไม่หิวแล้ว หรือว่าถือมาที่นี่ซาลาเปาลูกเดียวจะเปลี่ยนเป็นสองลูกหรือไง”
สายตาของเขาจับที่ใบหน้าของเธอ เสียงแหบนั้นอ่อนโยนมาก “กินข้าวกับคุณผมถึงจะรู้สึกอยากอาหาร ผมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากินข้าวของคุณ…”
หลังจากไม่ต้องไปทำงาน เธอกินข้าวตรงเวลาเสมอ
ไม่รอให้เธอพูดอะไร ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เบียดเข้ามาแล้ว เดินตรงเข้ามา
เธอหงุดหงิดไม่น้อย “มู่วี่สิง นี่มันที่ของฉัน อย่าทำเป็นจะไปจะมาตามอำเภอใจได้มั้ย”
เขายื่นมือไปช่วยเธอปิดประตู “ผมคิดๆ ดูแล้ว ห้องนี้ถึงอย่างไรก็เป็นชื่อผม ผมจะเข้าจะออกก็ไม่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมนี่นา”
เขายิ้มประจบ “ถ้าคุณไม่เต็มใจผมก็ไม่ทำอะไรคุณหรอก แต่ผมเป็นสามีคุณอย่าทำเกินไปถึงขนาดไม่ให้ผมเข้ามา ได้มั้ยครับ”
พอพูดจบ เขาไม่สนใจสีหน้าโมโหของเวินจิ้ง ตั้งหน้าตั้งตาถือถุงซาลาเปานั้นเข้ามา
เวินจิ้งโมโหสุดขีด อารมณ์ในดวงตาซับซ้อน
เธอยืนนิ่งแทบไม่ขยับ มู่วี่สิงเดินกลับมาหา “เด็กดี อาหารของคุณเย็นหมดแล้ว มากินก่อนเถอะ”
น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความเป็นห่วงไม่น้อย “คุณผอมเกินไปแล้ว”