บทที่ 843 เรื่องราวในโลกยากจะคาดเดา
ฉินซีไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังคงเชิดหน้าพูด “ฉัน…คิดว่าตอนนี้ฝนซาลงมาก เสื้อผ้าก็แห้งแล้ว ฉันน่าจะกลับได้ค่ะ”
ลู่เซิ่นหันไปมองนอกหน้าต่าง แล้วสายตากลับมามองฉินซีคิดอยู่อึดใจก็พยักหน้า “อึม งั้นผมจะให้คนไปส่งคุณ”
“รบกวนด้วยค่ะ!” ฉินซีถอนหายใจ
สายตาของลู่เซิ่นเวลาที่มองมาทำไมถึงทำให้คนรู้สึก…หวาดหวั่นขนาดนี้
ในช่วงเสี้ยวเวลานั้น ฉินซีแทบจะรู้สึกว่าเขาเป็นนักล่า ส่วนตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกจับจ้อง
แต่ก็ยังดีที่เธอไปได้แล้ว
ฉินซีถอนหายใจ
ลู่เซิ่นเป็นคนที่ไม่มีทางกลืนคำพูด ขณะที่ ฉินซีเดินลงมา รถที่จะไปส่งเธอก็จอดรอที่หน้าประตูแล้ว
ฉินซีนั่งในรถ มองออกไปนอกหน้าต่างรถตั้งใจบอกลาทิวทัศน์ภายในสวน
ตอนนั้นเธอยังคิดว่า นี่คือครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้มาเยือนที่นี่
ทว่า…เรื่องใดๆ ในโลกนี้ยากจะคาดเดา
……
ฉินซีตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเองไม่ทันสังเกตลู่เซิ่น ที่เดินนำหน้าหยุดชะงักเท้าแล้ว เมื่อไม่ทันระวัง จึงเดินชนแผ่นหลังของเขา
“ขอโทษค่ะ” ฉินซีพูดขึ้นพลางคลำจมูก
เมื่อครู่ที่บันไดไม่น่าคิดเพ้อเจ้อถึงผลที่จะตามมา ครั้งนี้ใช้จมูกรับรู้ความรู้สึกสักหน่อยเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมากจริงๆ
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร หันมาดูแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรก็ผลักประตูเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
เมื่อครู่ในความทรงจำของฉินซีเพิ่งจะคิดถึงที่นี่ ตอนนี้เดินเข้ามาแล้วจริงๆ รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ลู่เซิ่นไม่ให้เวลาเธอรู้สึกเสียใจ แต่ถามกับเธออย่างตรงเป้า “ไหนคุณลองพูดมาซิ ทำไมถึงแต่งงานกับผม”
ประโยคที่พูดออกมาเป็นคำถาม แต่อารมณ์ที่แสดงออกมากลับเรียบเฉย ฉินซีแทบจะคิดว่าเขารู้ความจริงแล้วหรือไม่
แต่ไม่ว่าเขาจะรู้แล้วหรือไม่ ฉินซียังคงตัดสินใจพูดออกไป
“ขอโทษค่ะ ฉันแต่งงานกับคุณก็เพราะ…อยากรับมรดกหุ้น”
ใบหน้าลู่เซิ่นกลับไม่มีความประหลาดใจอย่างที่ ฉินซีคาดไว้ เพียงแต่เลิกคิ้วนิดๆ
ฉินซีไม่รู้ควรจะพูดอะไรต่อไปดี
เธอเตรียมใจว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นคงเป็นลู่เซิ่นโกรธ แต่คิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะนิ่งเฉยขนาดนี้
…อย่างนั้นทำไมฉันแน่ใจว่าลู่เซิ่นจะถือสาเหตุผลที่ฉันแต่งงานกับเขานะ
ในหัวของฉินซีมีคำพูดที่คล้ายกับประโยคเล่นคำผุดขึ้น
เธอยิ้มเก้อเขิน ถอยหลังก้าวหนึ่ง “คือว่า…พินัยกรรมของแม่กำหนดว่าถ้าแม่เสียชีวิต หุ้นในส่วนที่เป็นของแม่จะยกให้ฉัน แต่ตามอบหุ้นส่วนนั้นให้แม่ เงื่อนไขคือแม่ต้องแต่งงานกับฉินซึ่งเทียนตอนนั้นแม่ฉันรีบเขียนพินัยกรรม มีบางข้อไม่ได้อ่านให้ละเอียด เขียนประโยคหนึ่งว่าการรับมรดกหุ้นให้ทำตามวิธีที่แม่ได้หุ้นมา เมื่อเป็นอย่างนี้…”
“คุณก็เลยจำเป็นต้องหาคนแต่งงานถึงจะรับหุ้นได้” ลู่เซิ่นพูดต่อประโยคนั้น แล้วลุกขึ้น
ฉินซีเหมือนรู้สึกได้ถึงอันตราย ก้าวถอยหลังไปอีกก้าว “ตอนนั้นที่ฉันไปขอให้คุณแต่งงาน แต่แรกก็คิดว่าจะบอกคุณตรงๆ นึกไม่ถึงว่าคุณไม่ถามอะไรสักคำก็ตอบตกลง”
“อึม” ลู่เซิ่นก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว ยืนแนบชิดกับฉินซี“คุณพูดแบบนี้จะตำหนิผมหรือ”
ฉินซีเงยหน้ามองเขา สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตราย
ลู่เซิ่นท่าทางแบบนี้…คือกำลังโกรธ
“งั้นตอนนี้ผมถามยังไม่สายฉินซีในเมื่อเงื่อนไขก็แค่หาใครสักคนแต่งงานก็ได้แล้ว ทำไมคุณเลือกผมล่ะ”
ลู่เซิ่นบีบ ฉินซีไปถึงมุมกำแพง ร่างของเขาที่เบียดชิดเธอ บดบังแสงสว่างในห้องหนังสือ ครอบเธอในเงาทะมึนของตัวเอง
ฉินซีหดคอโดยไม่รู้สึกตัว “ตอนนั้น รอบตัวฉัน…มีแต่คุณ…”
เห็นชัดว่าลู่เซิ่นไม่พอใจคำตอบของเธอ ก้มหน้ามองเข้าไปในนัยน์ตาของเธอ “หรือจะพูดว่า ถ้าตอนนั้นคุณมีคนอื่น คุณก็จะไม่เลือกผมใช่ไหม”
วิธีการถามของเขาชี้นำมากเหลือเกิน ในหัวของฉินซีครุ่นคิดอยู่นานถึงได้คำตอบที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัย “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันไม่มีทางมีคนอื่น…”
ลู่เซิ่นไม่พูดอะไรอีก
ฉินซีแอบถอนหายใจ คิดว่าแค่นี้จะหลอกลู่เซิ่นได้ คิดไม่ถึงจู่ๆ ลู่เซิ่นก็ก้มหน้า จูบริมฝีปากของเธอ
จูบของลู่เซิ่นไม่อาจเรียกว่าอ่อนโยน แต่ก็ไม่ถึงกับเร่าร้อน เปรียบเทียบจูบนี้ เหมือนการปลดปล่อยมากกว่า
ฉินซีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ความรู้สึกบอกว่าถ้าผลักเขาออกไป ผลที่ตามมาคงจะร้ายแรงกว่านี้ จึงยอมรับจูบนั้นแต่โดยดี
แต่ดูเหมือนลู่เซิ่นจะไม่เห็นใจที่เธอยอม แรงที่เสียดสีริมฝีปากหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉินซีสงสัย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ริมฝีปากของเธอต้องขาดแน่
ในที่สุดเธอทนไม่ไหว กัดลู่เซิ่นเบาๆ
ลู่เซิ่นเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว ผ่อนแรงลงทันที
แต่มือขวาของเขายังคงโอบเอวของฉินซีแน่น ราวกับอยากจะกลืนเธอเข้าไปในร่างของเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดฉินซีแน่ใจเหลือเกินว่าริมฝีปากของเธอบวมแล้ว ในที่สุด ลู่เซิ่นก็ถอยหลังนิดหนึ่ง
แต่แขนของเขายังคงโอบรัดเอวของฉินซี
ก่อนที่ ฉินซีคิดอยากจะสะบัดหนี เขาก็ก้มลงที่ข้างหูของฉินซีกระซิบ “คุณจำได้ไหม ตอนที่ผมถาม ทำไมอยากแต่งงานกับผม”
ฉินซีถูกจูบจนหายใจไม่ออกไม่ได้คิดว่าทำไม จู่ๆลู่เซิ่นถึงคิดถึงเรื่องนี้ จึงพยักหน้าตอบไปอย่างแกนๆ
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ “คุณจำได้มั้ยตอบผมว่ายังไง”
สติของฉินซีเริ่มกลับมา แต่ยังไม่เข้าใจเจตนาของลู่เซิ่นที่ถามคำถามนี้ เธอครุ่นคิดแวบหนึ่ง ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “เพราะ…อยากเป็นคุณนายลู่ ค่ะ”
เสียงของเธอเพิ่งจะขาดหายไปก็รู้สึกว่าติ่งหูของตัวเองถูกลู่เซิ่นกัดเบาๆ
“คุณโกหก ฉะนั้น ต้องถูกลงโทษ”
ฉินซีทันใดนั้นเบิกตาโต “ไม่ใช่ ฉัน…”
ลู่เซิ่นไม่อนุญาตให้มีคำอธิบาย เขาทนไม่ได้ที่เธอจะโต้เถียง จับมือของเธอสองข้างแน่น ลมหายใจรดต้นคอ “ไม่ใช่อะไร คุณไม่ได้หลอกผมใช่มั้ย”
ฉินซีถูกลมหายใจของเขาทำให้ความคิดกระเจิดกระเจิง อยากจะเอ่ยปฏิเสธแต่ก็อ้ำอึ้งอยู่นานลู่เซิ่นหัวเราะนิดหนึ่ง “อย่างนั้น บทลงโทษของการโกหกก็คือ คืนนี้เราจะไม่กลับห้อง”
ไม่รอให้หัวใจของฉินซีหล่นลงไป คำพูดครึ่งหลังของลู่เซิ่นทำให้เธอหวาดหวั่น
“คืนนี้เราสองคนจะอยู่ที่นี่”
ฉินซีถอยหลังออกแรงปัดป้อง จนใจที่กล้ามเนื้อของลู่เซิ่นแข็งแกร่งเหลือเกิน กดเธอลงได้ง่ายดาย เธอไม่มีทางหนีพ้น “คือว่า ลู่เซิ่น ที่นี่ไม่เหมาะ ใครก็เข้ามาได้ไม่สบายด้วย อย่างนั้นเรากลับห้องค่อย…”
แต่ลู่เซิ่นดูเหมือนจะไม่มีความอดทนพอ อุ้มเธอขึ้นมา วางลงบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่
“ล็อกประตูแล้วไม่มีคนเข้ามาหรอก ที่นี่ไม่แน่อาจจะไม่เลว คุณว่าไง อึม”
แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่ลู่เซิ่นไม่ได้ต้องการขอความเห็นจากฉินซี ยื่นมือไปกดท้ายทอยของเธอ ประทับจูบหยุดปากของเธอที่คิดจะขยับปฏิเสธ
ท่ามกลางความคลุมเครือฉินซีคิดว่า สองวันติดต่อกันแล้ว
ชีวิตควรจะอดกลั้นถึงจะถูกสิ…