บทที่ 845 เคยชินที่จะมีคนเคียงข้าง
หลินหยังเป็นเพียงผู้ช่วย สิ่งที่ทำได้ก็คือทำตามคำสั่งของลู่เซิ่นให้เรียบร้อย
เขาคาดเดาว่าลู่เซิ่นเห็นข่าวนี้ น่าจะต้องโกรธแน่ หรืออย่างน้อยก็สงสัยในตัวฉินซี
แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือลู่เซิ่นเพียงแต่มองประกาศนั้นปราดเดียวก็ส่งคืนแทปเล็ตให้หลินหยัง
“ผมรู้แล้ว”
หลินหยัง ติดตามลู่เซิ่นมานานหลายปีขนาดนี้ ลู่เซิ่นตั้งใจทำเป็นนิ่งเฉยหรือโกรธจริงๆ เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจถ่องแท้ แต่การแสดงออกของลู่เซิ่นที่เห็นต่อหน้า คือไม่ใส่ใจจริงๆ
ทำไมเห็นประกาศขนาดนี้ เขายังไม่ข้องใจอีกนะ
หลินหยังรู้สึกว่าในหัวตัวเองมีแต่เครื่องหมายคำถามจนจะระเบิดแล้ว
แต่หลินหยังใกล้ชิดลู่เซิ่นได้นานขนาดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แม้ว่าในใจจะสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม สีหน้าไม่ได้แสดงออกมา เพียงแค่รับแทปเล็ตคืน เดินออกไปจากห้อง บุ้ยใบ้ให้พวกผู้จัดการที่รออยู่กลับเข้าไปรายงานต่อได้
พวกผู้จัดการก็สงสัยไปด้วย แต่เดินเข้าไปเห็นอารมณ์ลู่เซิ่นยังปกติเหมือนเดิมก็ค่อยวางใจ
ลู่เซิ่นฟังรายงานไป เหม่อลอยไป
เขาไม่รู้ควรจะพูดว่าฉินซีฉลาด หรือหัวช้ากันแน่
คืนวานก็บุ่มบ่ามมายอมรับไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าหากตัวเองถือสาล่ะก็ วันนี้ประกาศออกมา เรื่องจะลงเอยอย่างไร
แต่…เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวมาพักหนึ่งแล้ว ทำไมเขาจะไม่เข้าใจเธอ
เธอสงบเสงี่ยมมาตลอดไม่อยากได้ผลประโยชน์ จู่ๆก็มาเสนอเรื่องแต่งงาน ย่อมต้องการอะไรบางอย่าง
เธอไม่บอกเหตุผลที่แต่งงานกับเขาแต่แรก หรือว่าลึกๆ แล้วเธอไม่เชื่อมั่นในตัวเขา
แต่เมื่อวานเธอเป็นคนเลือกเดินมาสารภาพกับเขาเองก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าใช่มั้ย
ผู้จัดการที่กำลังรายงานมองเห็นสีหน้าของลู่เซิ่นชัดเจน ตัวสั่นด้วยความกลัวจนหยุดรายงาน
เขาไม่ได้ดูผิดไปใช่มั้ย
เมื่อครู่สีหน้าของลู่เซิ่น…คล้ายกับมีรอยยิ้ม
รายงานของเขามีอะไรน่าตลกตรงไหน…
ผู้จัดการคิดไม่ถึงแน่ว่าในหัวของลู่เซิ่นมีภาพที่พูดออกมาไม่ได้ถึงจู่ๆก็ยิ้มออกมา
แต่ลู่เซิ่นไม่ได้ตั้งใจฟังจึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าหวาดกลัวของผู้จัดการ เมื่อเห็นเขาหยุดก็ถามว่า “เสร็จแล้วหรือ งั้นออกไปได้”
ผู้จัดการตกใจจนขาอ่อน
รายงานของตัวเองผิดพลาดจริงๆ!
เขารีบรนออกไปแก้ไขรายงาน และยังส่งสายตาบอกใบ้ผู้จัดการคนต่อไปที่รออยู่ข้างนอก
ตอนที่ผู้จัดการคนต่อไปเข้ามารายงาน ในใจกระสับกระส่ายมาก
……
ฉินซีกินอาหารกลางวันกับอานหยัน จากนั้นก็นอนกลางวัน ตอนที่เห็นประกาศนี้ จึงล่าช้ากว่าคนอื่นๆ
ทีแรกเธอไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากกวาดตาอ่านก็พบเรื่องหนึ่ง
ในประกาศเพียงระบุว่าเธอแต่งงานแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าแต่งกับใคร!
เธอเองที่พลาด วันนั้นทนายความจ้าว บอกกับเธอแล้วว่าจะประกาศข่าวแต่งงานเท่านั้นไม่ประกาศชื่ออีกฝ่าย เพราะเธอมัวแต่หนักอกหนักใจ จึงไม่ได้ฟังข้อมูลสำคัญ
ฉินซีรู้สึกพลาดไป
ทีแรกเธอคิดว่าในประกาศจะมีชื่อลู่เซิ่น ถ้าเป็นอย่างนั้น ลู่เซิ่นจะต้องรู้เรื่องแน่ แต่ในเมื่อไม่มีชื่อ ปกติแล้วเขางานยุ่งตลอดเวลาไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้ เมื่อวานตัวเองต้องรีบไปสารภาพทำไมนะ
ฉินซีถอนหายใจยาวหลายครั้งไม่ถึงกับเสียใจมากขนาดนั้น
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ช้าเร็วลู่เซิ่นก็ต้องรู้อยู่ดี ถอยไม่ได้ก็เผชิญหน้าดีกว่า แก้ไขเร็วก็จบเรื่องเร็ว
ตอนนี้สาเหตุที่เธอไม่อยากเจอหน้าลู่เซิ่นก็มีแค่เหตุผลเดียว
เธอรู้สึกอาย
ถึงแม้ทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีแล้ว เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นก็ไม่น้อย แต่ทุกครั้งก็เป็นไปตามปกติในห้อง แต่เหมือนเมื่อวานนี้ที่พิสดารและปลดปล่อยอารมณ์หื่นกระหาย…
เคยเกิดขึ้นที่ไหนกัน!
เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดฟุ้งซ่านเรื่องอะไร ฉินซีเอามืออังหน้าผากตัวเองที่ร้อนรุ่มๆ
เธอเดินไปที่ห้องอาหาร พบว่ามีเธอแค่คนเดียวเท่านั้น
“ลู่เซิ่นล่ะ”
พ่อบ้านก้มหน้าตอบ “ได้ยินว่าจะไปทำธุระ วันนี้ไม่กลับครับ”
“พรุ่งนี้จะกลับมามั้ยคะ”ฉินซีถามแกนๆ
พ่อบ้านชะงัก “เรื่องนี้…ผมก็ไม่ทราบ คุณลองถามท่านเองดีกว่า”
ฉินซีเบะปาก “ช่างเถอะ”
พ่อบ้านยิ้มไม่พูดอะไรอีก แล้วถอยออกไป
ฉินซีเขี่ยอาหารในชาม เงยหน้ามองไปรอบๆ
เธอไม่ชอบที่มีคนคอยรับใช้ตอนกินข้าว ทั้งห้องกินข้าวจึงว่างเปล่า เมื่อมองดูแล้ว มันใหญ่โตเกินไป ทำให้ในใจของฉินซีเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาจะไม่กลับมา…ตัวเองอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านอานหยันดีกว่า
เคยชินที่จะมีคนเคียงข้างเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิต
……
หลินหยังดูมือถือ อ่านข้อความที่พ่อบ้านส่งมา ลังเลครู่หนึ่ง ก้มศีรษะกระซิบกับลู่เซิ่น“พ่อบ้านรายงาน คุณผู้หญิงกลับบ้านมากินข้าวเย็น และยังถามถึงคุณด้วยครับ”
ลู่เซิ่นเพียงออกเสียง “อึม”ไม่มีทีท่าตอบโต้อะไร
หลินหยังลังเลอยู่ชั่วอึดใจ “พ่อบ้านยังบอกว่า คุณผู้หญิงถามว่า…พรุ่งนี้คุณจะกลับมั้ย”
“เธอถามงั้นหรือ” ในที่สุดลู่เซิ่นก็ตอบโต้ หันมามองหลินหยัง
หลินหยัง ส่งมือถือให้“พ่อบ้านบอกอย่างนี้ครับ”
ลู่เซิ่นกวาดตามองมือถือของหลินหยัง กระซิบ “พรุ่งนี้…คือวันประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของพวกเขาใช่มั้ย”
หลินหยังคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกออก “พวกเขา” น่าจะหมายถึงบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป จึงรีบพยักหน้า “ใช่ครับ”
ลู่เซิ่นดึงสายตากลับ “เลื่อนตารางงานทั้งหมด ผมจะกลับพรุ่งนี้เย็น”
……
ถึงแม้ฉินซึ่งเทียนจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลี่เหวยจะเคียดแค้นจนไฟสุมอก แต่การประชุมใหญ่ของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็ยังจัดประชุมตามกำหนดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นภายในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป หรือผู้คนที่อยู่ข้างนอก ต่างมีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปครั้งนี้
เพราะเมื่อวานมีประกาศข่าวสำคัญ
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปตอนนี้ฉินซึ่งเทียนมีหุ้นในมือ 53% แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เขากลัวมาตลอดว่าผู้ถือหุ้นที่เหลือจะจับมือกันโค่นเขา จึงกระจายหุ้นที่เหลือให้มาก ผู้ถือหุ้นที่เหลือมีหุ้นมากที่สุดไม่ถึง 5% ทั้งนั้น
แต่ในสัดส่วนหุ้น 53% ของฉินซึ่งเทียน20%เป็นหุ้นของฉินซีหลังจากแม่ฉิน เกิดเรื่องก็มอบให้เขาเป็นผู้ดูแล
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับภายในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป แต่ไม่มีคนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉินซึ่งเทียนคอยปล่อยข่าว ขั้นตอนการรับมรดกหุ้นส่วนนี้ยุ่งยากมากฉินซียากจะทำตามข้อกำหนดการรับมรดกได้
เรื่องแม่ของฉินซีมีชู้และยังกระโดดตึกกลายเป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ผู้คนสงสัยว่า ฉินซีเป็นลูกสาวแท้ๆ ของฉินซึ่งเทียนจริงหรือไม่ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกว่าเธอไม่น่าจะมีโอกาสรับโอนหุ้นส่วนนี้
แต่ข่าวเมื่อวานนี้ไม่ต่างกับตีแสกหน้า ทำให้ทุกคนได้สติ
ที่แท้ขั้นตอนยุ่งยากที่ฉินซึ่งเทียนพูดถึง เพียงแค่แต่งงานเท่านั้นหรือ
ในตอนแรกมีคนไม่เชื่อ ตรวจสอบเอกสารที่ฉินซีส่งออกมาโดยละเอียด แต่แน่นอนว่าไม่ได้ผลอะไร
เพราะขั้นตอนการได้รับหุ้นของแม่ฉิน ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และตอนนี้การรับหุ้นของฉินซีก็ถูกต้องตามขั้นตอนไม่อาจหาข้อผิดพลาดได้
ผู้ถือหุ้นบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปรู้สึกว่าตัวเองถูก ฉินซึ่งเทียนหลอก แต่ตอนนี้ฉินซึ่งเทียนมีอำนาจสูงสุดในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ถึงพวกเขาจะโกรธแค่ไหนก็ไม่มีหนทางโจมตี ฉินซึ่งเทียนได้
คนเดียวที่จะโจมตีได้ก็คือคนที่แต่งงานกับฉินซี
แต่คนที่แต่งงานกับเธอ…คือใครกันแน่