บทที่ 924 ปกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากที่อานหยันวางกล่องอาหารลงเรียบร้อยแล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกมาว่า “ฉันคิดว่าเธอจะขังตัวเองเอาไว้ในห้องหนังสือจนตายแล้วซะอีก ทำไมถึงออกมาได้ล่ะ”
ฉินซียักไหล่“เหมือนจะได้อะไรบางอย่างมา ก็เลยรอออกมาคุยกับเธอสักเดี๋ยว”
อานหยันแปลกใจเล็กน้อย “เร็วขนาดนั้นเชียว”
ฉินซีเอียงศีรษะ “แน่นอน”
ความเป็นจริงแล้วเธอไม่สามารถพูดได้ ว่าทำไมเธอมักจะรู้สึกเสมอว่าเธอเหมือนจะชำนาญกับเรื่องแบบนี้มาก เธอค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับกระบวนการเช่นนี้เป็นพิเศษ ราวกับว่าเธอเคยทำมาก่อน
ควรเริ่มการค้นหาจากตรงไหน ต้องเปิดบันทึกอย่างไรถึงจะเร็วขึ้นกว่าเดิม หรือควรสังเกตการณ์อย่างไรให้รวดเร็วที่สุดและไม่ผิดพลาด
ถึงแม้ว่าฉินซีจะมีความรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับอานหยัน
แต่ดูเหมือนอานหยันก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร หลังจากที่ตกตะลึงไปพักหนึ่งก็ปรบมือ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องตั้งใจดูแล้วสิ”
สัญลักษณ์รูปภาพของฉินซีถูกจัดวางไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
“ถึงแม้ว่าวันที่เฉินยี้เข้ามาจะยังไม่แน่นอน แต่โดยทั่วไปแล้วเขาจะเข้ามาประมาณช่วงบ่ายสาม ช่วงเวลานี้มีคนเข้าออกโรงแรมไม่มากไม่น้อยพอดี แต่เขายังไม่มีอะไรเด่นชัดมากนัก ห้องพักแขกที่เข้าไปก็ไม่ได้มีการกำหนดเอาไว้อย่างตายตัว แต่ปกติแล้วจะเป็นห้องเก้าถึงห้องสิบเอ็ดที่อยู่บนชั้นสาม ” ฉินซีชี้ไปที่วงกลมสองสามวงที่เธอวงเอาไว้ในแผนภาพ “ฉันได้ข้อมูลขั้นต้นพวกนี้มาจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในลิฟต์เยอะมาก ส่วนข้อมูลรูปประธรรมที่ว่าเข้าไปในห้องไหนแล้วเข้าไปกับใคร จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วใช้กล้องตัวอื่นถ่ายมา ฉันวางแผนไว้ว่าจะเอามาเทียบพรุ่งนี้อีกที”
ครั้งนี้สายตาของอานหยันเต็มไปด้วยความประหลาดใจแล้ว เธอจ้องไปที่ข้อมูลที่ฉินซีรวบรวมมาชั่วขณะ จากนั้นหันกลับมามองฉินซีอย่างระมัดระวังพักหนึ่ง “บอกความจริงมานะว่าเธอเคยทำงานแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า”
ฉินซีหัวเราะ “พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเธอน่ะ!”
ก่อนหน้านี้เธอทำอะไร อานหยันยังไม่รู้ซึ้งอีกอย่างนั้นเหรอ
หลังจากที่เธอจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ยึดงานถ่ายภาพเป็นงานหลักมาโดยตลอด บางครั้งก็เข้าไปดูงานที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป แต่เธอก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง
จะเอาโอกาสที่ไหนไปทำงานข่าวกรอง
แน่นอนว่าอานหยันก็รู้ดี แต่ท่าทางการนำเสนอข้อมูลของฉินซีมีความเป็นมืออาชีพเกินไปแล้ว เธอต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลถึงหนึ่งเดือน นั่นบ่งชี้ว่าฉินซีดูกล้องวงจรปิดจบครบทั้งหกตัวในเวลาสั้น ๆ แค่หนึ่งวัน
ว่ากันตามนี้แล้ว การที่อานหยันตกใจแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล “ก็แค่รู้สึกว่า…เธอทำได้ดีจนเกินไปแล้ว”
อานหยันอดทอดถอนใจไม่ได้
ฉินซียิ้ม ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำถามกันอีกสองสามข้อ จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองอานหยัน “ฉัน…วางแผนเอาไว้ว่าจะตรวจสอบเรื่องแม่ของฉันตอนนี้เลย”
ประสิทธิภาพในการทำงานของฉินซีเร็วกว่าที่อานหยันจินตนาการไว้มาก เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่ปฏิเสธ จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ เธอใช้มันได้เลย”
ฉินซีรีบหันกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว
อานหยันการหายใจเบา ๆ จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ
มือของฉินซีที่กำลังจับเมาส์อยู่สั่นเล็กน้อย
ในที่สุดเธอก็มีโอกาสเข้าใกล้ความจริงแล้วใช่ไหม
ความจริงแล้วในปีนั้นตอนแรกเธอก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของแม่ทั้งหมด แต่ภายหลังเธอได้พิสูจน์แล้วว่าฉินซึ่งเทียนมีแรงจูงใจเพียงพอที่จะทำเช่นนี้กับแม่ของเธอ ฉินซีก็เลยเชื่อแม่
ทว่าถึงมีแรงจูงใจก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี อาศัยเพียงแง่มุมของแม่ก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์อะไรได้
ฉินซีต้องสืบหาให้ได้ว่าความจริงแล้วปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จากนั้นก็เอาหลักฐานที่ไม่สามารถพลิกกลับออกมาให้ได้ ทำแบบนั้นแล้วจึงจะสามารถลบล้างรอยด่างพร้อยที่แม่ของเธอแบกรับเอาไว้ได้จนหมดจด
เธอหายใจเข้าลึก ๆ และคลิกที่บันทึกการลงทะเบียน
โรงแรมแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ ลูกค้าที่เข้ามาได้รับความคุ้มครองในด้านความเป็นส่วนตัวอย่างดีเยี่ยม ปีนั้นตอนที่ฉินซีไปตรวจสอบด้วยตัวเอง จึงไม่มีทางที่จะพบเบาะแส
โชคดีที่หน่วยข่าวกรองมีช่องทางเป็นของตัวเอง สามารถเอาบันทึกการเข้าพักช่วงสามปีนี้ของโรงแรมออกมาได้
ฉินซียังคงจำวันเวลาตอนที่เกิดเรื่องได้ เธอพิมพ์ลงไปทีละคำ ๆ ตอนที่กดปุ่มเอ็นเทอร์เพื่อค้นหา เธอก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตึกตัก
คอมพิวเตอร์ประมวลผลอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะแสดงบันทึกออกมา
ฉินซีจับจ้องเนื้อหาภายในนั้นอย่างถี่ถ้วน เธอรู้สึกผิดหวังเกินกว่าที่จะพูดออกมา
ตามบันทึกผู้ที่ทำการจองห้องห้องนั้นไว้ก็คือเหยาหมิ่น และเบอร์โทรศัพท์ก็เป็นเบอร์มือถือของเธอ แม้แต่หมายเลขบัตรที่ใช้ในการชำระเงินค่าห้องก็เป็นของเหยาหมิ่น
ฉินซึ่งเทียนปกปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าฉินซึ่งเทียนจะใช้ข้อมูลของเหยาหมิ่นจองห้องพักได้อย่างง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ แต่ฉินซีเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับบันทึกมีเอาไว้มากนัก แต่การที่เห็นด้วยตาของตัวเองก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายส่วน
เธอหลุบตาลง จัดการความรู้สึกของตัวเองอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง เธอก็ใช้วันที่เพื่อตรวจสอบบันทึกอันอื่น ๆ ในวันนั้นของโรงแรมว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่
ในเมื่อฉินซึ่งเทียนต้องการที่จะถ่ายภาพของเหยาหมิ่นกับคนอื่นมาให้ได้ เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องการให้มีคนอื่นอีกคนในภาพ
ฉินซีรู้ดีว่าแม่ถูกฉินซึ่งเทียนบีบคั้นจนแทบตาย
มันยากมากที่จะคาดเดาอะไรจากสิ่งที่อยู่ในมือของแม่ ดังนั้นเธอเปลี่ยนความคิด หันไปติดตามจากผู้ชายคนนั้นแทน
เป็นไปได้มากที่ผู้ชายคนนั้นจะพักอยู่ในห้องอื่นของโรงแรม ถ้าสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ชายคนนั้นได้ บางทีก็อาจจะได้อะไรมาบ้าง
ฉินซีกวาดตามองบันทึกของวันนั้นอีกรอบอย่างรวดเร็วด้วยความหวังอันริบหรี่
ไม่มีอะไรผิดปกติ
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
มันยากมากที่ผู้ชายคนนั้นจะสามารถคำนวณช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสม แล้วตรงเข้าไปในห้องที่เหยาหมิ่นถูกขังเอาไว้
ถ้าเป็นแบบนี้……
ฉินซีคลิกเปิดบันทึกภาพในกล้องวงจรปิดที่ถูกเก็บรักษาไว้
ทำได้แค่วินิจฉัยจากภาพในกล้องวงจรปิดเท่านั้น
แต่หลังจากที่เธอดูบันทึกในกล้องวงจรปิดทั้งหมดอย่างละเอียด ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ๆ ออกมาอย่างผิดหวัง
เมื่อกลางวันตอนที่เธอตรวจสอบรูปแบบการใช้ชีวิตของเฉินยี้ ก็ดูได้แค่บันทึกของหนึ่งเดือน ดังนั้นตอนนี้เธอจึงค้นพบว่า บันทึกกล้องวงจรปิดของโรงแรมนี้เก็บรักษาเอาไว้แค่เพียงครึ่งปีเท่านั้น
ฉินซีรู้ดีว่าโรงแรมหลายแห่งมักจะล้างข้อมูลที่ไร้ประโยชน์เพื่อประหยัดพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าโรงแรมนี้จะเก็บบันทึกเอาไว้แค่เพียงครึ่งปี
“ทำไมถึงมีแค่ครึ่งปีกันนะ…” เธอพึมพำออกมาอย่างผิดหวัง รู้สึกไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
บันทึกก็ไม่มี กล้องวงจรปิดก็ไม่มี แล้วเธอจะหาร่องรอยของผู้ชายคนนั้นได้จากที่ไหนกันล่ะ
ฉินซีขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นลู่เซิ่น
ไม่บ่อยนักที่ลู่เซิ่นจะโทรหาเธอ ฉินซีคิดว่าเขาจะต้องมีเรื่องเร่งด่วนแน่ ๆ จึงกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“พ่อบ้านบอกว่าเธอออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว” ลู่เซิ่นไม่มีการพูดเกริ่นใด ๆ เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ค่ะ” ฉินซีพูดตามหลักเหตุผล “ช่วงสองสามวันนี้งานที่สำนักพิมพ์นิตยสารยุ่งมาก ถึงยังไงคุณก็ไม่อยู่ ฉันก็เลยย้ายมาอยู่กับอานหยันชั่วคราว จะได้ไม่ต้องวิ่งไปกลับ ”
ลู่เซิ่นเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ก็ดี”
ฉินซีค่อนข้างที่จะไม่เข้าใจ ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยเรื่องคดีของแม่ น้ำเสียงจึงค่อนข้างที่จะไม่ค่อยดี “คุณมีอะไรอีกไหมคะ”
ลู่เซิ่นน่าจะฟังออกว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยจะดี จึงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ไม่มีอะไร” จากนั้นก็วางสายไป
ฉินซีมองไปที่คำว่า “สิ้นสุดการสนทนา” บนหน้าจอโทรศัพท์อย่างสับสนมึนงง
ลู่เซิ่นไปโดนตัวไหนมา
ก็ดีเหรอ หมายความว่ายังไง