บทที่ 926 เหลวไหล
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน คดีของบริษัทจ้าวซื่อก็สามารถดำเนินการได้ไปอย่างราบรื่น ช่วงหลายวันมานี้ทั้งสองคนขยันเป็นอย่างมาก สามารถค้นหากฎเกณฑ์ทั้งหมดของเฉินยี้จนพบ รอเพียงหาโอกาสถ่ายรูปมาให้ได้ก็เท่านั้น พวกเขาก็จะสามารถถ่ายรูปหลักฐานที่ต้องการอย่างเป็นไปตามเหตุตามผล
เรื่องของเหยาหมิ่นแทบจะไม่มีความคืบหน้า ฉินซีไม่พบข้อมูลที่สามารถใช้ได้จากบันทึกการเข้าพักของแขกเลยแม้แต่น้อย “ตัวละครเอกชายผู้ฉาวโฉ่” คนนั้นก็ดูเหมือนจะระเหิดหายไปจากโลก ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ เอาไว้เลย ฉินซีพลิกไปพลิกมาทุกคืน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาจุดทะลวงที่มีประโยชน์ไม่พบ
ถึงแม้ว่าอานหยันเต็มใจที่จะช่วยเหลือ แต่เธอก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน เธอเพียงเคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นจากฉินซีมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอะไรเลย หากเข้าไปช่วยตรวจสอบอย่างลวก ๆ ก็มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้กับฉินซี
เธอทำได้เพียงเฝ้ามองรอยคล้ำใต้ดวงตาของฉินซีที่หนาขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถึงวันที่ห้า ฉินซีกับอานหยันก็ทำรายงานเสร็จ นั่นก็หมายถึงว่าคดีของบริษัทจ้าวซื่อไม่มีจุดไหนที่จำเป็นจะต้องตรวจสอบอีกแล้ว รอเพียงให้หน่วยข่าวกรองวางแผนการถ่ายภาพ ก็จะสามารถดำเนินขั้นตอนการถ่ายรูปได้แล้ว
ทว่าอานหยันกลับล่าช้า ไม่ยอมกดปุ่มส่งข้อมูล
ฉินซีรู้ดีว่าอานหยันลังเลเพราะเห็นแก่เธอ เพราะหลังจากที่ส่งรายงานไปแล้ว เธอก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของหน่วยข่าวกรองในการตรวจสอบคดีของเหยาหมิ่นอีกต่อไป
เธอทำได้เพียงแค่พูดหาข้ออ้างออกมาตามสถานการณ์ความเป็นจริง “ไม่เป็นไรหรอกอาหยัน ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้ฉันจะหาข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่ได้เลย ดังนั้นต่อให้เอาเครือข่ายของหน่วยข่าวกรองไว้ที่ฉันนานกว่านี้ ไม่แน่ว่าก็ยังคงยากที่จะหาความจริงออกมาได้อยู่ดี”
อานหยันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ได้อะไรมาเลยเหรอ”
ฉินซีหรี่ตาลงแล้วพยักหน้าเบา ๆ
อานหยันถอนหายใจเบา ๆ
เมื่อก่อนตอนที่เธออยากจะช่วยฉินซีค้นหาความจริงให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยใช้เครือข่ายนี้ แต่ข้อมูลคิดถึงเธอรู้มานั้นมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังหาข้อมูลที่มีคุณค่าอะไรออกมาไม่พบ เธอยังคิดอยู่เลยว่ามันเป็นปัญหาเพราะตัวเธอเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีเองก็ไม่ได้อะไรมาเหมือนกัน
เธอทำได้เพียงปลอบฉินซีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อาจจะมีจุดทะลวงอื่น เธออย่าเพิ่งยอมแพ้ เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะไม่ทิ้งหลักฐานไว้เลย ”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง ๆ “ฉันไม่ได้ยอมแพ้ สักวันฉันจะต้องหาความจริงออกมาให้ได้”
อานหยันยิ้มให้เธอ ในที่สุดก็กดปุ่มส่งข้อมูล
“เอาละ ในเมื่องานส่วนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ควรกลับได้แล้ว” ฉินซีลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ
ถึงแม้ว่าการอยู่ที่นี่กับอานหยันจะสบายเป็นอย่างมาก แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวของอานหยัน ถึงแม้ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่ควรที่จะรบกวนไปมากกว่านี้
อานหยันลุกขึ้นยืนตาม “ฉันยังไม่ได้ไล่เธอเลยนะ เธอจะรีบกลับไปทำไมยะ อยู่เป็นเพื่อนฉันต่ออีกสักสองสามวัน อยู่คนเดียวน่าเบื่อมาก ๆ ”
ฉินซียิ้ม “พอเลย เธอยังจะเบื่อได้อีกเหรอ ใครกันที่เมื่อวันก่อนโดนแอบถ่ายภาพนัดเดทกับนายแบบตัวเล็ก ๆ ! ”
อานหยันรู้สึกอายจนเริ่มโมโหขึ้นมา จึงเอื้อมมือไปหยิก
ฉินซีรีบหลบไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเจี๊ยวจ๊าวกันได้พักหนึ่งก็หยุดอย่างเหนื่อยหอบ
“ฉันจะไปเก็บของ” ฉินซีหายใจเข้าพลางยิ้มแล้วโบกมือให้อานหยัน
อานหยันโบกมือกลับ เป็นสัญญาณว่าให้เธอเชิญตามสบาย
ฉินซีเดินกลับไปยังห้องนอนแขกที่อยู่มาตลอดหลายวันนี้
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเธอยังอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ที่ต้องจัดการมีเพียงของใช้บางอย่างที่กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ฉินซีก้มตัวลงเปิดกระเป๋า จากนั้นก็หยิบหนังสือสองสามเล่มที่หล่นอยู่ข้าง ๆ ใส่เข้าไป ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสโดนกระดาษแข็งแผ่นเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ กระเป๋า
เธอดึงมันขึ้นมาดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนามบัตรที่ลู่เซิ่นยัดให้เธอมาในคืนก่อนที่เธอจะมาพักอยู่ที่บ้านของอานหยัน
หลายวันมานี้เธอยุ่งอยู่กับเรื่องของอานหยันจนมืดฟ้ามัวดิน เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เมื่อมองไปที่ตัวอักษร “หลินยี่” สองตัวบนกระดาษ ฉินซีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอรู้สึกเหมือนว่าคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างมาก แต่ให้ตายก็คิดไม่ออกว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้
หลังจากถือนามบัตรและลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก จึงพบกับอานหยันที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันไดพอดี
“ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะ เก็บของเสร็จแล้วเหรอ” อานหยันเลิกคิ้วใส่เธอ
ฉินซีส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรเธอถึงไม่ได้ยื่นนามบัตรนี้ออกไปให้โดยตรง เพียงถามขึ้นมาว่า “ฉันคิดถึงใครบางคนขึ้นมาได้ อยากจะลองตรวจสอบดูสักหน่อย ได้ไหม”
คำพูดของเธอดูคลุมเครือนิดหน่อย อาหยันคิดแค่ว่าคนคนนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหยาหมิ่น เมื่อกี้นี้รายงานเพิ่งจะถูกส่งออกไป เบื้องบนยังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ฉินซีจะใช้เครือข่ายข่าวกรองในช่วงสุดท้ายไม่ถือว่าผิดกฎอะไร “ได้สิ เธอไปใช้เลย”
ฉินซีหยิบนามบัตรในกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
พิมพ์คำว่าหลินยี่ใส่เข้าไป หลังจากคัดกรองเบื้องต้นอยู่พักหนึ่ง โยนข้อมูลของคนที่มองแวบเดียวก็รู้ไม่เกี่ยวข้องทิ้งไป ฉินซีก็พบกับข้อมูลบางส่วน
“หลินยี่ ผู้นำของ ‘องค์กรหยินเฟิง’ …” ฉินซีกวาดตาอ่านทีละบรรทัด จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ประวัติของหลินยี่นับได้ว่าซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่เรื่องผิวเผินพวกนี้ ให้ตายยังไงเธอก็ดูไม่ออกว่าหลินยี่คนนี้เคยเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
ตอนที่เธอกำลังทำงานกับตอนที่เธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ หลินยี่ก็กำลังเรียกมีอำนาจในการควบคุมอยู่ในองค์กรแล้ว
ตอนที่เธอมีความสัมพันธ์กับลู่เซิ่น ฉินซีไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคนแบบนี้ได้
ฉินซีอ่านบันทึกทั้งหมดจนจบแล้ว แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ
เธอปิดหน้าเว็บแล้วเอนหลังลงบนเก้าอี้
หรือว่าเธอลืมเรื่องอะไรไปจริง ๆ
ฉินซีรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะเหลวไหล
ขณะเธอยังคงตกอยู่ในภวังค์ อานหยันต้องเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา “เบื้องบนตอบกลับมาแล้ว ให้พวกเรารอแผนปฏิบัติการต่อไป”
สีหน้าของอานหยันลำบากใจเล็กน้อย ฉินซีรู้ดีว่าในเมื่อเบื้องบนตอบกลับมาแล้ว มันก็ไม่เหมาะสมที่เธอจะใช้เครือข่ายในการตรวจสอบเรื่องอะไรอีก
ยังดีที่เธออ่านสิ่งที่เธอต้องการจะรู้จบหมดแล้ว
เธอจึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน “ฉันเพิ่งตรวจสอบเสร็จพอดี”
อานหยันพูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง “ได้อะไรมาแล้วใช่ไหม”
ฉินซีชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า
…
ฉินซีเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วถึง อานหยันเองก็ไม่ได้รั้งให้เธออยู่ต่อ เพียงมาส่งเธอที่หน้าประตูแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “แผนปฏิบัติการจากเบื้องบนอาจจะออกมาในสองสามวัน ถ้ามีข่าวอะไรฉันจะรีบบอกเธอทันที แต่ไม่ควรที่จะกังวลมากเกินไป ถึงยังไงก็ต้องสอดคล้องกับเวลาของเสิ่นโหลว”
ฉินซีพยักหน้าแล้วยัดกระเป๋าเข้าไปที่ท้ายรถ
อานหยันยังพูดอีกว่า “ฉันส่งข้อมูลของเสิ่นโหลวให้เธอแล้ว คนคนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องตรวจสอบ เขามีภูมิหลังเรียบง่าย ดังนั้นจึงถูกเลือกมาเป็นโล่รับธนูให้เธอ เธอก็ศึกษาดูสักหน่อยจะได้เอาไว้ใช้ป้องกันในกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้าเธอสามารถถ่ายภาพข่าวของเขามาได้จริง ๆ แล้วนำกลับมาตีพิมพ์กับนิตยสาร เธอก็จะได้รับเงินเพิ่ม”
ฉินซีหัวเราะแล้วถองศอกใส่เธอ “เธอนี่ทุ่มเทกับงานจริง ๆ เลยนะหัวหน้าบรรณาธิการใหญ่อาน”
“นั่นก็ใช่” อานหยันไม่เพียงแต่จะไม่อาย เธอยังเชิดหน้ายอมรับอีกว่า “ชมฉันสิ”
จากนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา ในที่สุดแล้วฉินซีก็ได้ขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็ขับไปที่รีสอร์ทชิงหยวน
บ้านของอานหยันที่อยู่ข้างหลังค่อย ๆ หดเล็กลง กิจวัตรประจำวันในช่วงหลายวันมานี้ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
ตอนที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่เคยคาดคิดถึงมาก่อนเลยว่าอนาคตหลังจากนั้นเธอจะได้ทำงานที่เหมาะสมคู่กับเพื่อนสนิทของตัวเองในบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนกับในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้
ทว่าโชคชะตากลับผลักเธอเข้ามาเส้นทางที่เธอไม่เคยคำนึงถึงมาก่อน เธอก็ทำได้เพียงฝืนความรู้สึกแล้วพุ่งเข้าไป