…
ในฐานะผู้นำของสิบสามกองตรวจการศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในข้อความ
“เราจะมีชีวิตอยู่หากเลือกสันติ หากแยกจากเราจะพินาศ!
นอกจากนี้ เขายังเข้าใจมันลึกซึ้งกว่า ฟาง เจิ้งจือ
องค์จักรพรรดิยอมรับดินแดนเพื่อนบ้านในฐานะรัฐบรรณาการ มันเป็นเรื่องที่ปกติมาก
บางครั้งอาจจะเป็นเพราะอาณาจักรมีเรื่องอื่นๆให้ต้องสนใจมากมาย หรือาจจะเป็นเพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ซึ่งอาณาจกรเซี่ยและดินแดนภูเขาทางใต้เป็นแบบหลัง
วัฒนธรรมและความเชื่อ
ต่อให้อาณาจักรเซี่ยสามารถพิชิตดินแดนภูเขาทางใต้ได้ พวกเขาก็จะไม่ทำอย่างนั้น ที่นี่แตกต่างจากอาณาจักรเซี่ยมากเกินไป
ถ้าอาณาจักรเซี่ยพยายามบังคับให้อยู่ภายใต้ความคิดเดียวกัน…
มีโอกาสที่จะเกิดการจราจลอยู่มาก พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากเพื่อรักษาความสงบที่นี่
ทั้งจักรพรรดิและ ซิง หยวนกัว รู้เรื่องนี้ได้
สำหรับความสัมพันธ์ทางการทูต …
อาณาจักรเซี่ยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่แน่นอน อาณาจักรเซี่ยไม่ต้องการพิชิตดินแดนภูเขาทางใต้ พวกเขาต้องการความอยู่รอดและความสัมพันธ์ระยะยาว
คนส่วนใหญ่คงเลือกเข้าครอบงำที่นี่
ในความเป็นจริง อาณาจักรเซี่ย ทำเช่นนั้นตลอดมา
แม้ที่นี่จะคิดตั้งตนเป็นอาณาจักรและก่อสงครามกับอาณาจักรเซี่ย อาณาจักรเซี่ยก็ยังคงเลือกที่จะแค่ครอบงำเฉยๆ
เหตุผลคือ
เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว
นี่ไม่ใช่คำสั่งที่ว่างเปล่า
ดินแดนภูเขาทางใต้นั้นพิเศษออกไป
การเข้าครอบงำที่นี่?
ด้วยวิธีไหนล่ะ?
ส่งเจ้าหน้าที่ที่หยิ่งยโสมา? ส่งทหารมาคอยตรวจตราที่นี่? ทั้งสองวิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้
วิธีที่ดีที่สุดคือฆ่า!
พวกเขาจะฆ่าจนกว่าดินแดนภูเขาทางใต้ยอมจำนน
อย่างไรก็ตามไม่ได้มีคนมากมายนักที่นี่? ต่อฆ่าล้างดินแดนภูเขาทางใต้…มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก
จึงมีเพียงทางเดียวที่อาณาจักรเซี่ยใช้รับมือกับดินแดนภูเขาทางใต้ ความเมตตากรุณา ..
ไม่ได้หมายถึงมอบสมบัติ เสบียง หรือเงินทองให้พวกเขา แต่มอบสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
เมื่อ ซิง หยวนกัวเห็นข้อความนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมองค์จักรพรรดิถึงส่งรัฐมนตรีกรมพิธีการมา
รอ!
รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อช่วยดินแดนภูเขาทางใต้
การปรากฎตัวของ ฟาง เจิ้งจือ ทำให้สงครามระหว่างอาณาจักรและ ฟาง เจิ้งจือ คืบหน้าขึ้น ถ้าดูแบบผิวเผิน เหมือนอาณาจักรเซี่ยไม่ได้มีความคิดอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม …
มันยิ่งที่ให้ดูเหมือนอาณาจักรเซี่ยไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามในครั้งนี้ของปีศาจและดินแดนภูเขาทางใต้
เมื่อเสียประตูผ่านภูเขาไป พวกเขาก็ไม่สามารถส่งกำลังเสริมมาได้ นอกจากนี้องค์รัชทายาทก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
รวมถึงเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวการต่อสู้ระหว่าง หนานกง เฮา และ ฟาง เจิ้งจือ นั่นราวกับการประกาศบอกทุกคนว่าอาณาจักรเซี่ยจะโจมตีเมืองภูเขาเซียนนะ
ดังนั้นเมื่อองค์จักรพรรดิได้ข่าวว่าประตูผ่านภูเขาถูกยึด เขาก็สามารถมองเห็นทิศทางของสงครามได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ …
ไม่ว่าปีศาจหรือดินแดนภูเขาทางใต้ ก็มองว่าอาณาจักรเซี่ยเป็นภัย พวกเขาจึงรีบดำเนินแผนขั้นต่อไปของพวกเขา
พวกเขาพยายามชิงความได้เปรียบ
ผลที่ตามมาคืออาณาจักรเซี่ยจะสามารถซ่อนตัวในเงามืดได้
พวกเขาจะได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนี้
ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งของดินแดนภูเขาทางใต้กับอาณาจักรเซี่ย โดยมีปีศาจมองดูอยู่ห่างๆ แต่พริบตาเดียวอาณาจักรเซี่ยกลับกลายเป็นผู้ยืนดูแทน
ซิง หยวนกัว เข้าใจความหมายที่แท้จริงขององค์จักรพรรดิด้วยเหตุนี้เขาจึงรอเวลาที่เหมาะสม
จากนี้ไป…
ทุกอย่างเรียบง่าย
เพื่อการสังเกตุการ เขาไม่สามารถอยู่ที่ถิ่นฐานวานรน้ำแข็งได้ ที่นี่ไม่ได้มีสงคราม และเขาไม่สามารถนำกองทัพทั้งหมดของเขาไปได้ ดังนั้น ซิง หยวนกัว จึงนำไปแค่กองทัพชั้นยอด หน่วยเกราะมังกรและกองทัพทลายภูผา
ตามที่เขาทำนายไว้
เมืองภูเขาเซียนกำลังอยู่ในภาวะสงคราม
เป็นการต่อสู้ที่ตึงเครียด
ดินแดนภูเขาทางใต้ถูกตลบหลังอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่ ซิง หยวนกัว ไม่เข้าใจ ทำไมดินแดนภูเขาทางใต้ถึงรับมือได้ทั้งๆที่เสียเปรียบ
นอกจากนี้…
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมการต่อสู้ถึงหยุดกระทันหัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือปีศาจตัดสินใจถอยต่อให้ได้เปรียบก็ตาม
ซิง หยวนกัว ตกตะลึง
เขามีสติปัญญาและแม่นยำ เช่นนั้นเขาจึงรู้ว่าดินแดนภูเขาทางใต้ได้จัดวางทหารไว้นอกเมืองภูเขาเซียน อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์มากนัก
แม้ทหารแปดหมื่นนายจะได้รับชัยชนะ แต่มันก็เป็นเพียงชัยชนะชั่วคราว
แผนของเขาจึงรอกำลังเสริมอยู่ที่นี่ รอให้สงครามรุนแรงจนเมืองแตก …
เขาจะฉวยโอกาสเข้าไปช่วยราชาและองค์รัชทายาท ฉาน หลิง
แต่ในท้ายที่สุด…
เมืองไม่พังทลายลง!
ทหาร 80,000 คนไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา!
และปีศาจก็ถอยทัพ!
ไม่แปลกที่ ซิง หยวนกัว จะตกใจ
ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ เขาไม่สามารถเข้าเมืองไปช่วยองค์ราชาได้
ซิง หยวนกัว ไม่ได้ร้อนรน
เขานิ่งมาก
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างปีศาจและดินแดนภูเขาทางใต้ แต่เขารู้ว่าเขาต้องอดทน
เมืองภูเขาเซียนยังไม่แตกและองค์ราชาและ ฉาน หลิง ยังอยู่ที่นี่
เขาจะรอ
รอให้ปีศาจกลับมาเป็นสองเท่า เขาจะรอโอกาสต่อไป
แน่นอนว่าเขาส่งคนไปตามพวกปีศาจว่ามุ่งหน้าไปทางไหน
หลังจากผ่านไปนาน…
เขาก็รู้
“ซิง หยวนกัว ปีศาจกำลังมุ่งหน้าไปที่เนินเขาเหล็ก!“
“เนินเขาเหล็ก?” ซิง หยวนกัว ตกใจ
เขาเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ ทำไมปีศาจต้องเร่งรีบ? มีสงครามที่นั่น?
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทหารอยู่ที่นั่น หรือว่าทหารแปดหมื่นนายจะไปนั่นแทนที่จะเป็นเมืองภูเขาเซียน?
ทำไมพวกเขาถึงไปที่นั่น…
“ไม่จริง! ข้ารู้แล้ว!“
ซิง หยวนกัว เป็นผู้มีประสบการณ์ เขาเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนนี้เขามีสองตัวเลือก
ตัวเลือกแรกของเขาคืออยู่ที่นี่ ตัวเลือกที่สองคือไปเป็นกำลังเสริมให้ดินแดนภูเขาทางใต้ที่เนินเขาเหล็ก ตัวเลือกแรกจะสามารถลดความสูญเสียได้
ตัวเลือกที่สองจะเป็นการขัดต่อความปรารถนาขององค์จักรพรรดิ
“ฉิงซุย เจ้าว่าข้าควรทำยังไงดี?” ซิง หยวนกัว หันไปหา ซิง ฉิงซุย
“อืม … ข้าคิดว่าเราควรไปที่เนินเขาเหล็ก!” ดวงตาของ ซิง หยวกัว เป็นประกาย เขาลังเลในตอนแรกแต่ก็ตัดสินใจได้
“แล้วนายน้อยหนานกงล่ะ?” ซิง หยวนกัว หันไปหา หนานกง เฮา
“ข้าเป็นแค่นักปราชญ์ ในสงครามข้าต้องฟังคำสั่งท่าน”
“ดังนั้นถ่ายทอดคำสั่ง เราจะไปที่เนินเขาเหล็ก!” ซิง หยวนกัว เลือกโดยไม่ลังเล
“รับทราบ!” ทหารตอบอย่างพร้อมเพรียง
“รับทราบ!
…
ฟาง เจิ้งจือ คิดถูก ซิง หยวนกัว มาที่นี่
แต่…
พวกเขาออกไปแล้ว
ผลที่ได้ไม่แปลกใจ
ฟาง เจิ้งจือ พยายามดึงดูดความสนใจของ ซิง หยวนกัว
เช่นเขาเลือกที่จะเดินในเมืองช้าๆและเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดสีน้ำเงิน
ในใจของเขา …
ในเมื่อ ซิง หยวนกัว มาที่นี่ เขาต้องส่งสายเข้ามาในเมืองแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม …
วิธีการของ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ผล
“พวกเขาอยู่ที่เชิงเขา” เขาคิดว่าตัวเองประเมิณ ซิง หยวนกัว สูงเกินไป
สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด!
นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์!
ในฐานะผู้นำสิบสามกองตรวจการ เขาจะซ่อนตัวที่เชิงเขาได้ยังไง เขาควรจะกล้าหาญกว่านี้!
แต่เขาสามารถเข้าใจมันได้
เพื่อดึงดูดความสนใจ ฟาง เจิ้งจือ พยายามเดนไปที่เงียบสงบและส่งเสียงตลกๆออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“อิอิอิอิ!“
“โฮะ โฮะ… “
“…”
เขาทำเสียงทุกอย่างที่คนจะทำได้ อย่างไรก็ตาม เขาพบแต่ความผิดหวัง…
นอกจากสายตาแปลกของ ฉาน หลิง และ ฉาน ยู่ ไม่มีอย่างอื่น
มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
มีแต่ความเงียบ
“องค์รัชทายาท องค์หญิง ท่านชอบสีอะไร?” ฟาง เจิ้งจือ ยังไม่สิ้นหวัง เขาตัดสินใจตะโกนบอกว่าใครที่มากับเขา
ตอนนี้เขากำลังตะโกนออกมา
เขามั่นใจว่า ซิง หยวนกัว ต้องออกมาดูแน่นอน
อย่างไรก็ตาม …
มันยังคงเงียบ
ฉาน หลิง และ ฉาน ยู่ ต่างพูดไม่ออก
“สี?” ฉาน หลิง ขี้เกียจเกินกว่าจะตอบคำถามโง่ๆ
มันดูไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพของอาณาจักรเซี่ยแม้แต่น้อย
พวกเขาเกือบจะลงมาถึงตีนเขาแล้ว แต่ไม่เห็นทหารสักนาย
ฉาน หลิง เริ่มสงสัยคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ
คนที่องค์จักรพรรดิส่งมาจะไม่มีวิธีติดต่อกับทหารได้ยังไง?
เขาแกล้งทำมันหรือเปล่า?
พวกเขาหลงกล ฟาง เจิ้งจือ อีกครั้งงั้นหรือ?
ฉาน หลิง สงสัยในตัวเอง