ฮ่าฮ่า… เฉียนยู่หัวเราะเบาๆ ไม่สนใจคำพูดของโม่ฉานฉือ นางไม่สนใจความคิดของเขา นางรู้ว่าหลังจากนี้ชื่อเสียงของปิงหยางต้องดังไปทั่วแดนศักดิ์สิทธิ์
นี่… ศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์มองไปที่ปิงหยางพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ
ดำเนินการต่อไป! มู่ฉิงเฟิงเห็นท่าทีอึกอักของศิษย์คนนั้น แม้ตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับความเป็นจริง แต่การแข่งขันยังคงต้องดำเนินต่อไป
น่าเศร้าที่เจ้าไร้ยางอายไม่ได้มาด้วย… ปิงหยางพูดพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แจ่มใส
ผู้ชนะคือหอคอยหลิงหยุนสามารถผ่านเข้าไปยังรอบสองได้! เสียงประกาศดังขึ้น ศิษย์จากหลายๆสำนักเริ่มได้สติ พวกเขาปรบมือให้ปิงหยางในทันที ห้าสำนักใหญ่นั้นคาดเดาได้ยากจริงๆ!
16ปี แต่อยู่ในระดับเซียนแล้ว ข้าไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นมาก่อน!
อืมข้าสงสัยจริงๆ จะมีเรื่องอะไรน่าประหลาดใจกว่านี้ไหม?
ทุกคนต่างเฝ้ารอการแข่งขันในรอบหน้าระหว่างนิกายเงากับสำนักซวนจี
ยินดีด้วยน้องหญิงปิงหยาง! ศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์กล่าวพร้อมก้มหัวให้ปิงหยาง
ขอบคุณมากศิษย์พี่ฮ่าฮ่า… ปิงหยางหัวเราะพร้อมกับเดินกลับไปทางหอคอยหลิงหยุนนั่งอยู่ แต่นางก็ไม่ลืมส่งสายตาไปให้ฉือกูเหยียนที่นั่งอยู่ ฉือกูเหยียนตอบรับสายตาของนางด้วยการพยักหน้าเบาๆ
เอาล่ะต่อไปเป็นตาของสำนักซวนจีแล้ว! หลังจากซูเหลียงพูดจบ มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนกระโดดออกมาทันที ในมือของเขาถือดาบสีทองอยู่
ข้าศิษย์สำนักซวนจีฉางเว่ย อายุ29ปีอยู่ในระดับจุติขั้นสูงสุดและเคยฆ่าสัตว์อสูรภูเขาไปแล้วห้าตัวในครั้งเดียว บนยอดเขาดอกบัวหยก! ชายหนุ่มแนะนำตัวเองต่อทุกคนทันที
สัตว์อสูรภูเขา?!พวกมันเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับจุติ! พวกเขาสามารถฆ่ามันได้ในการโจมตีครั้งเดียว เขาแข็งแกร่งจริงๆ!
สมแล้วที่เขาเข้าแข่งขันในการต่อสู้ครั้งนี้!
ใช่แล้วเหมือนปิงหยางที่อยู่ในระดับเซียน!
ศิษย์สำนักอื่นๆต่างตื่นเต้นกับการแนะนำตัวของฉางเว่ยทางกลับกันวู่จวี้เอ๋อร์กลับยิ้มเยาะขึ้นมา
เจ้าเอาชนะสัตว์อสูรภูเขาได้ไหม? วู่จวี้เอ๋อร์หันไปมองร่างที่อยู่ด้านหลัง
ข้าเลิกสู้กับพวกมันมานานแล้วถ้าข้าลงมือจริงๆข้าคงฆ่ามันได้สักสองสามร้อยตัวในเวลาหนึ่งชั่วโมง วู่จวี้เอ๋อร์ได้รับคำตอบจากชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนใส่ชุดรัดรูปสีน้ำเงิน ผิวของเขามีสีดำ เขาคือหยานฉิงผู้เติบโตมาท่ามกลางสัตว์ป่า
สองสามร้อยตัวในเวลาหนึ่งชั่วโมง?นั่นมันจะเกินจริงไปหรือเปล่า… ฉางเว่ยดูถูกออกมาเล็กน้อย แต่เขากลับต้องกลืนคำพูดทันที ใบหน้าของเขาพลันซีดขาวเมื่อเห็นหน้าของหยานฉิง หยาน…หยานฉิง?! สำนักซวนจีนั้นมีอิทธิพลมากในอาณาจักรนักรบสูงสดและอาณาจักรแสงจันทร์ เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ฉางเว่ยจะไม่รู้จักคนบ้าที่ชื่อหยานฉิง
อะไรกัน?!หยานฉิงเข้าร่วมกับสำนักซวนจีแล้วงั้นหรือ?!
เป็นไปได้ยังไง?ตอนแรกเขาไม่ได้จะเข้าห้าสำนักใหญ่งั้นหรือ?
ทุกคนที่รู้จักหยานฉิงต่างตกตะลึงแม้แต่ซูเหลียงที่รอเขาปรากฏตัวออกมาจากป่าเพื่อดึงเขาเข้าร่วมสำนัก ยังได้รับคำตอบที่ไม่น่ายินดีนัก สำนักซวนจี? ยังไม่คู่ควร! ท่านเจ้าสำนักข้า… ความมั่นใจของฉางเว่ยหายไปทันทีเมื่อเห็นหยานฉิง เขาหันไปมองซูเหลียงด้วยความรู้สึกอันเจ็บปวด ใครก็ตามที่สู้กับหยานฉิงมักจะไม่ตายก็พิการ
ฉางเว่ยเจ้ามาไกลแล้ว เจ้าไม่ได้อ่อนแอกว่าหยานฉิง รีบจัดการอย่างรวดเร็ว อย่าปล่อยให้หยานฉิงทำเสียเวลา! ซูเหลียงกำหมัดก่อนจะพูดออกมา ความจริงตัวเขาเองก็กังวลเช่นกัน แต่เขาก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากพูดให้กำลังใจ
หึไม่ต้องทำเป็นพูดดีหรอก เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองต้องแพ้…ชีวิตของศิษย์ไม่มีค่าอะไรกับเจ้าเลยงั้นรึ? วู่จวี้เอ๋อร์เยาะเย้ยพร้อมยกชาขึ้นมาจิบ
วู่จวี้เอ๋อร์…เจ้าดีใจตอนนี้ยังเร็วไป! ใบหน้าของซูเหลียงกลายเป็นสีแดงก่ำ ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ตั้งแต่ที่หยานฉิงปรากฎตัวขึ้นมา
ครั้งนี้สำนักซวนจีโชคไม่ดีจริงๆ มู่ฉิงเฟิงส่ายหัวหลังจากเห็นหยานฉิงปรากฎตัวขึ้น ความจริงแล้วความแข็งแกร่งของสำนักซวนจีนั้นไม่ต่างกับนิกายเงาเลย แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหยานฉิงจะเข้าร่วมกับนิกายเงา…
พร้อมแล้วหรือยัง? ศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์ถามผู้เข้าแข่งขัน
พ…พร้อมแล้ว! ฉางเว่ยกล่าวออกมาพร้อมกับเหงื่อที่เต็มแผ่นหลัง
ฉางเว่ยจากสำนักซวนจีเจอกับหยานฉิงจากนิกายเงาเริ่มได้!
ข้าต้องเอาชนะเจ้าให้ได้! ฉางเว่ยยกดาบขึ้นและพุ่งเข้าไปหาหยานฉิงทันทีราวกับกระทิงที่บ้าคลั่ง ดาบของเขาเขาราวกับมังกรที่แหวกว่าย ต้องบอกว่าความเก่งกาจของเขานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เพียงแค่เร็วเท่านั้นแต่มันยังทรงพลังมาก น่าเศร้าที่ดาบของฉางเว่ยกลับถูกหยุดกลางอากาศและแตกหักออกเป็นสองส่วนทันที จากนั้นร่างของฉางเว่ยก็กระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉางเว่ยจำได้เพียงลางๆเท่านั้นว่าหลังจากดาบของเขาถูกหักแล้วนั้น มือข้างหนึ่งที่แข็งดั่งเหล็กกล้าได้จับเข้าที่เอวเขา ส่วนอีกข้างจับที่แขนของเขาพร้อมกับบิดอย่างแรง
…
ฉางเว่ยไม่สามารถจำได้ว่าสุดท้ายแล้วเขามานอนกองอยู่บนพื้นได้ยังไง?ที่เขารู้คือแขนข้างหนึ่งของเขาหัก ลมบนภูเขาช่างเย็นสบาย ตาของฉางเว่ยค่อยๆปิดลง เขาไม่อยากสู้อีกแล้วเพราะเขาไม่รู้ว่าครั้งหน้าเขาจะโดนอะไรอีกนอกจากแขนที่หัก
จบแล้ว?!
ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ!
ไม่ต้องสงสัยเลย… ศิษย์จำนวนมากมองฉางเว่ยที่อยู่บนพื้นด้วยความสงสารและรู้สึกช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ต่อว่าฉางเว่ยกับเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่สู้กับหยานฉิงมักจะจบลงแบบนี้เสมอ พวกเขาทำได้แค่ภาวนาให้ไม่บาดเจ็บมากนัก
หยานฉิงจากนิกายเงาชนะ! ศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์ประกาศผลทันที ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างหันไปมองท่าทีซูเหลียงอย่างระมัดระวัง พวกเขาจำได้ว่าซูเหลียงบอกให้ฉางเว่ยเอาชนะหยานฉิงอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้…เขากลับแพ้อย่างรวดเร็วแทน!
สีหน้าของซูเหลียงไม่ดีนักพูดตามตรงไม่ว่าใครอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีสีหน้าแบบเดียวกัน ศิษย์ที่อยู่ด้านหลังเขาสองคนมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ตอนแรกที่พวกเขาถูกเลือกเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้โดยซูเหลียงพวกเขาดีใจมาก แต่ตอนนี้พวกเขากลับ… ท่านเจ้าสำนัก พวกเรา.. ศิษย์ทั้งสงมองไปยังฉางเว่ยที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะหันไปมองหยานฉิงที่ยืนอยู่ในลานประลอง พวกเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
พวกเจ้าตัดสินใจกันเอาเอง! ซูเหลียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจมากนัก เขารู้ว่าพวกศิษย์ต้องการจะพูดอะไร
อะไรนะ?!
ให้พวกเราตัดสินใจกันเอง? หรือจะให้ข้าเลือกให้ล่ะ?
ไม่ไม่พวกเราจะตัดสินใจกันเอง! ศิษย์ทั้งสองรีบตอบกลับทันที
น้องหลี่ข้าดูแลเจ้าอย่างดีเสมอมา
พี่ใหญ่หวังข้าแองก็ดูแลท่านเป็นอย่างดีเช่นกัน
ข้าแก่แล้วถ้าบาดเจ็บขึ้นมาคงใช้เวลานานกว่าจะหาย…
ท่านพูดถูกแต่ข้ายังเด็กและยังมีอนาคตที่สดใสมันคงน่าเศร้าถ้าข้าต้องมาตายที่นี่ใช่ไหม?
เด็กเด็กกว่าข้าแค่สองเดือนเนี่ยนะ?!
ก็ถือว่าเด็กกว่าอยู่ดีท่านควรทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่ดี คอยปกป้องศิษย์น้อง!
เจ้าเองก็ควรจะเชื่อฟังผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าสิ!
หยุดสักทีให้ข้าสุ่มเลือกไปไหม? ซูเหลียงทนไม่ได้กับการเถียงกันของทั้งสองคนและเกือบจะถีบทั้งคู่ออกไปทันที ไม่จำเป็นข้าไม่ว่าอะไรหรอกถ้าสำนักซวนจีจะส่งขยะสองชิ้นลงมา! หยานฉิงพูดออกมาในทันที
ทั้งคู่?!
เขาบ้าไปแล้ว!
ศิษย์รอบๆต่างตกตะลึง
หยานฉิงเจ้าพูดออกมาเองนะ! ซูเหลียงหรี่ตา เขารู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีมั่นใจของหยานฉิง
อืม หยานฉิงพยักหน้า มีปัญหาไหม วู่จวี้เอ๋อร?
ไม่ วู่จวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าราวกับไม่สนใจเรื่องตรงหน้าแม้แต่น้อย
ได้วู่จวี้เอ๋อร์เจ้ายังคับให้ข้าทำแบบนี้เองนะ! เจ้าจะได้เห็นว่าสำนักซวนจีแข็งแกร่งแค่ไหน! เมื่อซูเหลียงกล่าวพลังอันสดใสก็ปรากฏขึ้นในมือทั้งสองข้างของเขา
……………………………………..