ท่าทีของไป่เฟยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งต้น
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นชัดเจนว่าสีหน้าของไป่เฟยกลายเป็นซีดขาว
แกร้ง!เสียงที่คมชัดดังสะท้อนที่ข้างหูของเขา ในตอนนี้ฟางเจิ้งจือลดดาบลงเล็กน้อย
เขาแทงดาบเข้าไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
แข็งมาก?อย่าบอกนะว่าไป่เฟยฝึกร่างกายให้แข็งเป็นหิน? ฟางเจิ้งจือตกใจ แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าร่างกายของพวกอสูรมีความแข็งมากแต่ความแข็งระดับนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป
เดี๋ยวก่อน!
ไป่เฟยมีสมบัติป้องกัน!
ฟางเจิ้งจือเองก็มีกระจกป้องกันใจนั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถตอบสนองได้อย่างไร้ปัญหา
ฟางเจิ้งจือเผยยิ้ม
สมบัติที่สามารถป้องกันดาบไร้ร่องรอยได้?
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สมบัติทั่วๆไป
.โจมตีอีกครั้ง!
การตัดสินใจของฟางเจิ้งจือไม่มีเหตุผลมันขึ้นอยู่กับการตอบสนองของไป่เฟยที่รับการโจมตีของดาบไว้
พูดตามตรงไป่เฟยดูอ่อนแอกว่าเขาแต่เพราะอะไรนั้น ฟางเจิ้งจือเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
และไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้เพราะการที่ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอกว่านั่นหมายความว่าฟางเจิ้งจือสามารถฆ่าเขาได้
ฟางเจิ้งจือเหวี่ยงตัวเข้าหาไปเฟยอย่างรุนแรง
ในชั่วพริบตาร่างของพวกเขาก็อยู่ประชิดกันฟางเจิ้งจือเห็นชัดเจนว่าดวงตาของไป่เฟยขยายขึ้นฉับพลับ
จากนั้น…
มือข้างซ้ายของฟางเจิ้งจือจับไปที่หน้าอกของไป่เฟย
เขาฉีกเสื้อของไป่เฟยออกอย่างแรงขณะที่ตะโกนออกมา ถ้ามีของดีก็แบ่งข้าบ้างสิ!
แบ่ง? เห็นได้ชัดว่าไป่เฟยไม่สามารถตอบสนองได้ทัน สีหน้าของเขาซีดขาวในทันที
ครืด!ระหว่างรอยฉีกที่เกิดขึ้นนั้นมีสีทองส่องประกายอยู่
อย่างที่คิดเลยเจ้าใช้กระจกป้องกันใจ! ดวงตาของฟางเจิ้งจือเบิกกว้าง เขาคว้ากระจกป้องกันใจจากไป่เฟยไว้ ตอนนั้นเองเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ด้านล่างกระจกป้องกันใจเป็นสีแดงสด
มันไม่ใช่รอยเลือดแต่เป็นรอยสีชมพูบางอย่าง และฟางเจิ้งจืตระหนักว่ารูปทรงของเสื้อผ้านั้นผิดปกติ
สายรัด?สายรัดสีแดงรึ?! แม้จะเห็นแบบเฉียดๆแต่เขาก็มั่นใจทันทีว่ามันนั้นคืออะไร
เดี๋ยวก่อน!
ทำไมไป่เฟยถึงใช้สายรัด?
เพื่อความแน่ใจฟางเจิ้งจือพยายามยื่นมือออกไปจับโดยไม่รู้ตัว
ไร้ยางอาย! ในที่สุดไป่เฟยก็ตะโกนเสียงดังออกมา สีหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ
ผู้ชายที่สวมสายรัดเอวยังกล้าเรียกข้าไร้ยางอายอีกหรือ? ฟางเจิ้งจือกำลังจะว่าเขาต่อ แต่ความหนาวเหน็บก็สั่นสะท้านขึ้นมาที่หลังคอของเขา
เขารู้สึกถึงลางไม่ดี
ความแข็งแกร่งที่แผ่ซ้าน
ลอบโจมตี? ความไวในการตอบสนองของฟางเจิ้งจือที่มีต่อการลอบโจมตีนั้นไม่ธรรมดา
ดังนั้นเขาเตะขาไปด้านหลังในทันทีในขณะที่ใช้มือตบไปที่หน้าอกไป่เฟย
เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดจากสัญชาตญาณทำให้เขาไม่ทันได้หันมองว่าศัตรูคือใคร
ตูม!
ร่างของไป่เฟยลอยออกไปเพราะแรงตบของฟางเจิ้งจือราวกับเส้นแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้า
จากนั้นร่างของเขาก็กระแทกที่พื้นอย่างแรงพร้อมกับกระอั่กเลือดออกมา
ในขณะเดียวกันตำแหน่งที่ฟางเจิ้งจือยืนอยู่เมื่อครู่ใบมีดสั้นสองเล่มตัดผ่านอากาศไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
เวลาดูเหมือนจะหยุดลงในตอนนั้นเองเหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆและพวกอสูรบนท้องฟ้าได้หยุดเคลื่อนไหว เขาถูกแทงงั้นหรือ?!
ไม่ดูเหมืนอมันจะเป็นการตบ ฟางเจิ้งจือโจมตีพวกอสูรจริงๆงั้นหรือ?!
เดี๋ยวก่อนทำไมไป่เฟยถึงถูกแทงด้วยมีด แต่กลับกระเด็นออกไปแทน? แล้วทำไมเขาถึงอ่อนแอขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ของเทียนซิงแต่เป็นอสูรเหมือนกัน?
มันเป็นฉากที่น่าตกใจ
ไม่มีใครคาดคิดว่าฟางเจิ้งจือจะสามารถแทงไป่เฟยได้แต่นั่นไม่สำคัญ เขาพยายามแทงไป่เฟยทั้งยังตบไป่เฟยอีก นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความสัมพันธ์ุกับพวกอสูร
อย่าบอกนะว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับพวกอสูรจริงๆถ้าเป็นเช่นนั้นเขาหนีออกจากเก้าขุนเขาได้ยังไง? แม้แต่เต๋าฮุนก็ประหลาดใจ
แน่นอว่าคนที่ประหลาดใจที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟางเจิ้งจือ
ต้องขอบคุณแรงตบเมื่อกี้ที่ทำให้ฟางเจิ้งหลบมีดที่พุ่งเข้ามาได้และในที่สุดเขาก็เห็นร่างที่ยืนอยู่ตรงจุดเดิมของเขา
มันคือปีศาจที่ถูกแทงโดยฟางเจิ้งจือก่อนหน้านี้
’มันยังไม่ตาย!’
ได้ยังไง?
เดี๋ยวก่อน!
ดูเหมือนเขาจะเป็นอสูร!
ฟางเจิ้งจือตระหนักในทันทีความแตกต่างระหว่างอสูรและมนุษย์ จุดตายของมนุษย์คือหัวใจ แต่ถ้าเป็นพวกอสูรจุดตายของพวกเขาคือไข่มุกอสูร
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ
แม้จะตัดแขนตัดขาพวกอสูรไปก็ไร้ประโยชน์ท้ายที่สุดร่างกายของพวกเขาจะฟื้นฟูกลับเป็นปกติ
ข้าคิดว่ามีปัญหาซะแล้ว… ฟางเจิ้งจือเหลือบมองรอบข้างที่เต็มไปด้วยอสูร เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขาทันที ประมาทเกินไป
เขาคิดแต่จะฆ่าศัตรูในการโจมตีเดียวแต่หากไม่สำเร็จ เขาลืมคิดวิธีหนีออกไปอย่างสิ้นเชิง
นายน้อย!
จักรพรรดินีน้อยไม่เป็นไรใช่ไหม?
เสียงตะโกนดังก้องสะท้อนอย่างไรก็ตามสำหรับฟางเจิ้งจือ พวกอสูรรอบตัวต่างกังวลอาการของไป่เฟยมากกว่า
นายน้อย?จักรพรรดินีน้อย? ฟางเจิ้งจือตกตะลึง ทำไมพวกอสูรถึงเรียกไป่เฟยต่างออกไป นอกจากนี้พวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝั่ง?
เดี๋ยวก่อน?
นายน้อย?!
ฟางเจิ้งจือหันมองไป่เฟยอย่างรวดเร็วเขาที่ล้มอยู่บนพื้นไม่ไกลเกินไปกำลังเอามือจับหน้าอก และตอนนั้นเขารู้สึกได้ว่ามันแปลกๆตอนที่ตบไป่เฟย ผู้หญิง?ผู้หญิงที่อ่อนแอ แต่ถูกเรียกว่า นายน้อย? …หยุนชิงวู! ถ้าฟางเจิ้งจือไม่เข้าใจในสถานการณ์อีก เขาต้องโง่มากแน่ๆ
อย่างไรก็ตามความคิดนี่ทำให้เขาสับสนอีกครั้งทุกคนที่นี่เป็นเป็นพวกอสูร
อสูร?
จักรพรรดินีน้อย?!
ฟางเจิ้งจือที่ดินแดนทางใต้ ข้าตบเจ้าไปหนึ่งครั้ง ในวันนี้เจ้าตบข้าคืนแล้ว พวกเราไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีก เสียงที่แผ่วเบาลอยเข้าหูของฟางเจิ้งจือ ตามด้วยหน้ากากมนุษย์ที่กำลังหลุดออก เผยผิวที่อ่อนนุ่ม และใบหน้าที่สง่างามให้เห็น
ผมยาวสีดำสลวยถึงเอวนางคือหยุนชิงวู
นางมีสีหน้าที่ซีดขาวอย่างมากแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเช่นกัน
ฟางเจิ้งจือตกตะลึง
เขาเดาตัวตนของหยุนชิงวูได้อย่างถูกต้องแต่การได้เห็นนางจริงๆเป็นความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
แต่ข้าไม่ได้แทงเจ้าก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ? ฟางเจิ้งจือพึมพำแม้จะไม่รู้เหตุผลเบื้องหลัง
ใช่เจ้าพูดถูกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า หยุนชิงวูพูดในขณะที่ลุกขึ้น
เอาล่ะในเมื่อเราไม่ติดค้างกันแล้ว ข้าขอตัว ฟางเจิ้งจือพยักหน้า ในฐานะผู้ชายมักใจดีและไม่ใส่เรื่องเล็กๆน้อยเหมือนผู้หญิง เขาจึงเลือกที่จะไม่โต้แย้งกับหยุนชิงวู
อย่างไรก็ตามเหล่าอสูรที่รายล้อมต่างจ้องมองด้วยแววตาที่โกรธแค้น ในชั่วพริบตาฟางเจิ้งจือรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดทึมไปในทันที
นั่นเพราะมีอสูรมากถึง200-300 ตนรายล้อมเขาอยู่
ฟางเจิ้งจือตาย! เกือบจะในทันทีอาวุธนับร้อยชี้ไปที่ฟางเจิ้งจือ และส่องแสงออกมา
ท้องฟ้าสว่างจ้าในทันที
ฟางเจิ้งจืออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจมันกระทันหันเกินไป
เมื่อไม่นานเขายังเป็นผู้เฝ้ามองการต่อสู้ของคนอื่นอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับถูกอสูรนับร้อยรายล้อม
มีคำที่ว่า’หนีเสือปะจรเข้’ ช่างเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้จริงๆ
ครืน!ฟางเจิ้งจือรู้สึกว่าชิวิตของเขาตกอยู่ในความมืดมิด ลำแสงสีดำพุ่งมาที่ด้านข้างของเขา
ความรู้สึกที่เย็นเยือกเหมือนอยู่ในนรกทำให้ใจของเขาสั่นเทา
นั่นคือเหยียนซิว!
เหยียนซิวเจ้าเชื่อข้าไหม? ฟางเจิ้งจือหันมองเหยียนซิวที่อยู่ข้างเขา ในตอนนี้ฟางเจิ้งจือรู้สึกว่าเหยียนซิวแปลกๆ
ไม่ใช่แค่กลิ่นอายเย็นเยือกที่เขาปล่อยออกมาเท่านั้นแต่เป็นเพราะความสับสนและความสงสัยที่เหยียนซิวมองมาที่ฟางเจิ้งจือ
ข้าไม่รู้แต่ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่โกหกข้า เหยียนซิว ส่ายหัวจากนั้นก็พยักหน้า ไม่มีแสงในดวงตาที่ดำสนิทขอเงขาแม้แต่น้อย
แน่นอนข้าจะไม่โกหกเจ้า! พวกเราคือเพื่อน เพื่อนที่ดีที่สุด! ในตอนนั้นเอง น้ำตาเริ่มไหลซึมออกจากดวงตาของฟางเจิ้งจือ
เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหยียนซิวแต่เขาเดาได้ว่าเหยียนซิวสูญเสียความทรงจำไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดเหยียนซิวก็ยังจจำเขาไม่ได้ในตอนนี้
แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็เลือกจะยืนข้างเหยียนซิวอย่างไม่ลังเลเพราะเขาเชื่อว่าเหยียนซิวจะไม่แทงข้างหลังเขาแน่นอน
เพื่อน? เหยียนซิวเริ่มสับสนอีกครั้ง เขาจ้องไปที่ฟางเจิ้งจือ จากนั้นก็เผยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ ใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกัน!
เพื่อน
ใช่แล้วเพื่อน…
ทั้งคู่ไม่ได้พูดเสียงดังนักแต่ก็ดังพอจะทำให้เหล่าศิษย์โดยรอบได้ยิน
พวกเขาอยากเป็นเพื่อนกัน?
ในเวลาแบบนี้พวกเขาสร้างมิตรด้วยรอยยิ้ม?
เหล่าศิษย์โดยรอบไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เห็นได้
ในขณะเดียวกันทางฝั่งหอคอยหยินหยาง เต๋าซินลุกขึ้นและจ้องมองทั้งสองคนในทันที เขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ซิวยิ้ม?ตลอดเวลาที่หอคอยหยินหยาง ข้าไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง แต่หลังได้พบกับฟางเจิ้งจือ เขายิ้ม …ได้เช่นนั้น? เต๋าซินกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่สามารควบคุมได้
ฟางเจิ้งจือไม่สนใจอะไรอีกหลังจากที่เหยียนซิวพูดและเผยยิ้มออกมา
ในฐานะเพื่อนเจ้าไม่ควรเลี้ยงข้าวข้าหน่อยหรือ?
แน่นอนข้ามีเงินเยอะมาก เงิน ข้า… เหยียนซิวพยักหน้าอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็หยุดกระทันหัน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง ออร่าสีดำส่องสว่างออกมาไม่หยุด เขาดูเจ็บปวดอย่างมาก
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือเงาใต้ฝ่าเท้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
เหยียนซิว! ฟางเจิ้งจือขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะอ้าปาดพูดอีกครั้ง พื้นดินก็สั่นสะเทือน แสงสีดำพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
ตูมตูม!
แสงสีดำพุ่งขึ้นจากพื้นดินอย่างต่อเนื่องบรรยากาศสั่นสะเทือน ราวกับอยู่ในขุมนรก ในขณะเดียวกันบนพื้นดินก็เต็มไปด้วยสีแดงสด ราวกับกลายเป็นทะเลเลือด
สิ่งที่แปลกที่สุดคือดวงตาสีดำของเหยียนซิว จู่ๆก็มีจุดแสงสีแดงปรากฎขึ้นสองจุด มันเป็นจุดสีแดงเลือด
……………………………………..