สิ่งหนึ่งที่แน่นอน
คือฟางเจิ้งจือได้ตายไปแล้วมันคงจะแปลกเกินไปถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพเช่นนี้
ช่างน่าเสียดายที่เจ้าและข้าเป็นศัตรูกัน หยุนชิงวูรู้ว่าคงไม่มีใครตอบนาง แต่นางก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
จากนั้นหยุนชิงวูค่อยๆทรุดตัวลงชุดยาวสีขาวแผ่ออกบนพื้นดินราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน
แต่ไม่มีใครสังเกตุมองภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด
ไป่ฉือหยุดตรงหน้ามู่งฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือในขณะที่หางจิ้งจอกยักษ์คอยปิดกั้นเส้นทางของเฉียนยู่และหยานหยิงเพื่อไม่ให้เข้าใกล้หยุนชิงวู
หยุนชิงวูวางมือลงบนหน้าผากของฟางเจิ้งจือและใช้นิ้วสัมผัสร่างของเขาเบาๆ
มือของนางค่อยๆขยับไปถึงหน้าอกที่มีเศษผ้าปกคลุมอยู่และดึงมันออกภายใต้เศษผ้าเผยให้เห็นกระจกป้องกันใจที่ฝังด้วยอัญมณีทรงสี่เหลี่ยม
มันคือกลืนกินโลก
นิ้วของหยุนชิงวูสั่นเล็กน้อยราวกับตกอยู่ในภวังค์เมื่อจ้องมองอัญณีเม็ดนั้น
อย่างไรก็ตามนางเรียกสติคืนอย่างรวดเร็วแต่ยังหลงเหลือความเศร้าบนใบหน้า แทนที่นางจะดีใจที่ได้สมบัติคืนแต่กลับมีสีหน้าที่เศร้าโศก
นายน้อย! ผู้ที่ยืนด้านหลังหยุนชิงวูพูดขึ้นเสียงของเขาเป็นปกติเมื่อเทียบกับหยุนชิงวู อย่างน้อยๆก็เป็นน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
ข้าอยากบรรเลงบทเพลงเพื่อเจ้า หยุดชิงวูยกมือขึ้นและหยุดร่างสีดำด้านหลังและก้าวไปด้านหน้าแทนที่จะควักกระจกป้องกันใจออกจากร่างของฟางเจิ้งจือ ตอนนี้?! ร่างสีดำนิ่งงั้นและหันมองจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือและหันมองมู่ฉิงเฟิงที่กำลังบาดเจ็บก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ นายน้อย ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ …พวกเราไม่มีเวลามากพอสำหรับ…
นั่งลง! หยุนชิงวูไม่รอให้เขาพูดจบ น้ำเสียงของนางกลายเป็นเย็นชาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปและคุกเข่าลงที่พื้นอย่างไม่ลังเล เขาก้มหัวและไม่กล้าเงยหน้าสบตาแม้แต่น้อย
นี่เป็นฉากที่น่าตกใจอย่างมากสำหรับมู่ฉิงเฟิงโม่ฉานฉือและคนอื่นๆ
สิบผู้อาวุโสแห่งดินแดนปีศาจที่ได้รับความเคารพจากปีศาจมากมายดูเหมือนมันจะไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนชิงวู
แม้เหล่ามนุษย์จะไม่เชื่อที่ไป่ฉือพูดแต่ฉากนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องเชื่อ
หยุนชิงวู! นางคือผู้นำที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ทั้งสองนอกจากนี้นางมีอำนาจสั่งการเหนือกว่าไป่ฉือ
ในตอนนี้มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือต่างนิ่งงัน
ไม่ใช่แค่พวกเขาเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้หนีออกไปต่างก็นิ่งงันเช่นกัน สีหน้าที่สับสนปรากฎขึ้นบนใบหน้าอย่างชัดเจน
หยุนชิงวูไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
บางทีสิ่งเดียวที่เป็นความสนใจของนางคือร่างที่ไหม้เกรียมตรงหน้าแม้มันจะถูกเผาจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่หยุนชิงวูยังคงจับจ้องที่ร่างนั้นเสมอ
เราพบกันที่เมืองฮวายอันเป็นครั้งแรกตอนนั้นเจ้าอายุแค่ 15ปี… หยุนชิงวูนั่งลงพร้อมกับกู่เจิ้งโบราณสีม่วงที่ปรากฎขึ้นบนเข่าก่อนจะเปล่งเสียงที่แผ่วเบาออกมาเล็กน้อย มันเป็นเสียงที่ผ่อนคลายท่ามกลางสนามรบนองเลือดเช่นนี้
ท้องฟ้ายังคงมืดมิด
ดวงดาวส่องสว่างลงมาที่ชุดสีขาวและปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน
ครั้งที่สองเราพบกันที่แม่น้ำแห่งความสัตย์ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ข้าบอกได้เลยว่าในวันนั้นเจ้ามีความสุขมาก
ท่วงทำนองเริ่มบรรเลงขึ้นมันคือเพลงโบราณที่น้อยคนจะรู้จักและแทบจะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามหยุนชิงวูบรรเลงได้อย่างชำนาญ
ครั้งที่สามนอกเมืองหลวง แม้พวกเราจะได้พบกัน แต่พวกเราไม่ได้…
ครั้งที่สี่ที่ดินแดนภูเขาทางใต้เจ้าได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของข้า พวกเรามองกันจากระยะไกล แต่เจ้าลักพาตัวข้าและนั่นเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของข้า..
…
และครั้งสุดท้ายในที่สุดเราก็ได้ใช้เวลาร่วมกัน ข้าคิดว่ามันจะนานกว่านั้น แต่ดูเหมือนเจ้ากำลังรีบ…
ก่อนที่เจ้าจะไปเจ้าได้ถามข้าว่าทำไมถึงให้สิ่งนั้นกับเจ้าและข้าไม่ได้ตอบ อย่างไรก็ตามข้าจะบอกเจ้าในตอนนี้แม้เจ้าจะไม่มีทางรับรู้เหตุผลของข้าแล้วก็ตาม…
ถ้าเจ้ากลายเป็นจักรพรรดิในสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจว่าจักรพรรดิสามารถมอบสิ่งใดๆให้กับใครก็ได้หากต้องการ ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของก็ตามมันไม่สำคัญแม้แต่น้อย
ในขณะที่หยุนชิงวูกำลังพูดนางปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาจากภายใน อย่างไรก็ตามมันหายไปอย่างรวดเร็วราวกับมังกรหยกที่บินหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ
ท่วงทำนองของกู่เจิ้งยังคงดังสะท้อนในอากาศอย่างไพเราะและผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ด้านล่างไม่มีอารมณ์เพลิดเพลินกับบทเพลงแม้แต่น้อย
แม้นางจะไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาแต่เป็นความจริงที่หยุนชิงวูสามารถบรรเลงบทเพลงท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ได้ และมันยิ่งสะท้อนให้เห็นว่านางอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ในตอนนั้นราวกับมีดาวที่ส่องสว่างเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้า แม้แต่ไป่ฉือในร่างอสูรก็ยังเสียความโดดเด่นไป
ทำนองเพลงจบลงแต่การต่อสู้ยังไม่จบ
หยุนชิงวูวางมือลงและจ้องมองเหล่าศิษย์ด้านล่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง
อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขาหยุนชิงวูทรงพลังมากจนไม่กล้าสบตา
เอาล่ะมาเริ่มกันเถอะ หยุนชิงวูพูดเบาๆและกู่เจิ้งโบราณก็หายไปจากหัวเข่าของนาง
รับทราบ! ร่างสีดำยืนขึ้นด้านหลังหยุนชิงวูตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะแยกย้ายประจำตำแหน่งรอบตัวหยุนขิงวู
ไป่ฉือกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้งนางคว้าหนานกงเฮาที่หมดสติแล้วเดินไปหาหยุนชิงวู ชุดขนสีขาวหิมะช่างดูน่ากลัวในท้องฟ้ายามค่ำคืน
ไป่ฉือเจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ! หยานหยิงพุ่งเข้าหานางทันทีเมื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ ค่ายกลปีศาจเพลิงทั้งสิบ! ร่างสีดำทั้งสิบตะโกนขึ้นไม่นานเปลวเพลิงสีดำก็ลุกไหม้
เปลวเพลิงสีดำลุกไหม้ปกคลุมร่างทั้งสิบในทันทีนอกจากนี้มันยังเป็นโล่ปกป้องหยุนชิงวูและไป่ฉืออีกด้วย
ตูม!กำปั้นของหยานหยิงปะทะกับเปลวเพลิงสีดำส่งคลื่นกระแทกออกไปทั่วทุกทิศทาง
อย่างไรก็ตามเปลวเพลิงสีดำไม่ดับลงกลับกันมันลุกโชกมากกว่าเดิมราวกับสายลมเข้าไปเติมเชื้อเพลิงให้กับมัน
มันลุกไหม้มากขึ้นเพราะสายลม?ข้าเกรงว่าจะทำลายมันได้จากด้านในเท่านั้น? มู่ฉิงเฟิงขมวดคิ้วอย่างจริงจัง ดูเหมือนเขาจะกังวลอย่างมาก
นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถทำลายมันได้? โม่ฉานฉือกำมือแน่นด้วยความโกรธอย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหนก็ไม่รู้จะทำยังไงกับอาการบาดเจ็บทั้งหมดนี้อยู่ดี ไม่พวกเราต้องลอง! มู่ฉิงเฟิงกัดฟันแน่นและตอบกลับ
ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ? เฉียนยู่เคลื่อนไหวขณะที่พูด นางตวัดดาบคู่สีเงินและพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับเหยี่ยว
ตูม!แรงระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้ง เปลวเพลิงสีดำรุนแรงมากขึ้นราวกับมันกำลังลุกไหม้ท้องฟ้าทั้งผืน
ไม่ไฟที่ลุกไหม้มีแรงลมเติมเต็มตลอดเวลา แม้พวกเราจะสร้างรอยแตกเล็กๆได้ก็ตาม แต่ลมกระโชกแรงช่วยทำให้มันลุกไหม้มากยิ่งขึ้น! หยานหยิงพูดอย่างจริงจัง
เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้? โม่ฉานฉือยอมรับไม่ได้อย่างไรก็ตามเป็นอย่างที่หยานหยิงและมู่ฉิงเฟิงพูด ผู้อาวุโสทั้งสิบแห่งดินแดนปีศาจใช้ค่ายกลปีศาจเพลิง มันจะพังลงง่ายๆได้ยังไง?
ด้วยความโกรธและอัดอั้นในใจ!
มันก่อเกิดความสิ้นหวังเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่มนุษย์ไม่สามารถสู้กับอสูรได้อีกแล้ว หลังจากที่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือบาดเจ็บสาหัส
อาคมศักดิสิทธิ์- ยึดวิญญาณ! ในตอนนั้น พวกเขาได้ยินเสียงจากภายในเปลวเพลิงสีดำ พวกเขารู้สึกถึงพลังของสวรรค์และโลก
วงกลมขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นรอบเปลวเพลิงราวกับระลอกคลื่น
เฮาเอ๋อร์! หนานกงเทียนไม่ได้หนีไปอย่างไรก็ตาม เขาจะเผชิญหน้ากับราชาอสูรนับสิบด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง?
หนานกงเทียนรู้สึกทนไม่ได้กับภาพตรงหน้า
พวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จจากความพยายามหลายพันปีแต่กลับล้มเหลวอีกครั้ง ความสิ้นหวังเกาะกินหัวใจของเขา
เขากำมือแน่นแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ราชาอสูรหลายสิบตัวอยู่ตรงหน้า
ยิ่งกว่านั้นแม้เขาจะฝ่าราชาอสูรออกไปได้ก็ไม่สามารถทำลายปีศาจเพลิงทั้งสิบได้อยู่ดี
ความสิ้นหวังที่เกิดจากการไม่ยอมรับ
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ไม่มีใครสนใจหนานกงเทียน
ไม่มีใครสนใจศิษย์ที่หนีไปเพราะตอนนี้มนุษย์แทบไม่มีโอกาสเปลี่ยนกระแสสงครามแม้แต่น้อย
ผู้นำอันดับสองถ้าเราไม่หนีตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
อืม! เต๋าซิงพยักหน้าเหลือบมองคนที่สวมชุดขาวท่ามกลางปีศาจเพลิงทั้งสิบ จากนั้นขยับริมฝีปากเล็กน้อย
มันไม่มีเสียงแต่ริมฝีปากของนางกำลังเคลื่อนไหวราวกับพูดอะไรบางอย่าง
เมื่อริมฝีปากของนางเคลื่อนไหวเต๋าฮุนที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศก็จู่โจมทันที จากนั้นก็หันมองเต๋าซิงอย่างจริงจัง
เต๋าฮุนเริ่มเคลื่อนไหว เขาพุ่งผ่านราชาอสูรด้วยความเร็วสูงสุดขึ้นไปถึงยอดต้นไม้เทพเจ้าในชั่วพริบตาราวกับกระสุนดาวตก
ฉากตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
เมื่อถึงยอดต้นไม้เทพเจ้าเขาหันกลับแล้วพูดว่า ผู้นำมู่ ผู้นำโม่ ผู้นำเฉียน จงมีความหวังตราบที่ยังมีชีวิต พวกเราอาจจะแพ้ในวันนี้ ทำไมไม่หนีไปก่อนที่จะสูญเสียมากกว่านี้ และกลับมาแก้แค้นในวันข้างหน้า! มีคนๆหนึ่งอยู่ในแขนของเต๋าฮุนในขณะที่เขาพูดขึ้น
เขาคือเหยียนซิวผู้ที่หมดสติอยู่
เต๋าฮุนเจ้า … โม่ฉานฉือตกใจเมื่อได้ยินเต๋าฮุนพูด ถึงอย่างนั้นเขาก็โกรธเกินกว่าที่จะพูดจนจบประโยค
เฒ่าโม่! มู่ฉิงเฟิงกัดฟันแน่นอย่างไรก็ตามเขาถอนหายใจและพูด ไม่จำเป็นที่จะตายที่นี่ ผู้นำเต๋าพูดถูกแล้ว!
พวกเราต้องไปจริงๆเหรอ? โม่ฉานฉือตอบอย่างไม่เต็มใจ ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าพยายามหนีงั้นหรือ? ถ้าทำได้ก็ลองดู! พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะของไป่ฉือ มันเป็นน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่น้อย
ความจริงแล้วใครๆคงจะรู้สึกดีถ้าได้อยู่ในสถานะเดียวกับนางตอนนี้ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้แล้ว
อย่างไรก็ตามมีเรื่องที่สมบูรณ์แบบบนโลกนี้ด้วยงั้นหรือ?
แน่นอนว่าไม่
อย่างเช่นในขณะที่ไป่ฉือกำลังหัวเราะอย่างตื่นเต้นแต่เสียงหัวเราะนั่นไม่มีทางคงอยู่ได้ตลอดไป
ตูม!
นางลอยกระเด็นออกจากค่ายกลปีศาจเพลิงร่างของนางลอยสูงขึ้นไปในอากาศราวกับเสาแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
……………………………………..