ไม่สามารถหนีได้? ปิงหยางไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟางเจิ้งจือพูด
นางไม่เข้าใจว่ามันสายเกินไปที่จะหนีหรือฟางเจิ้งจือไม่มีทางหนีพ้น
ฟางเจิ้งจือไม่คิดจะอธิบายอย่างไรก็ตามถ้าดูจากสถานการณ์ปัจจุบันก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ
ศาลาเต๋าสวรรค์ถูกโจมตีจากสี่ทิศทาง
มันเป็นกลยุทธ์เพื่อทำให้ศัตรูไขว้เขวและมนุษย์สามารถฆ่าราชาอสูรได้อย่างง่ายดาย
แล้วหลังจากนั้นจะเป็นยังไง?
หากฟางเจิ้งจือไม่ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าผาด้านหน้าของศาลาเต๋าสวรรค์แน่นอนว่าพวกอสูรและปีศาจต้องไปรวมตัวกันที่ด้านหน้าซากปราสาทสีดำซึ่งที่นั่นก็มีกองทัพหลักของมนุษย์อยู่เช่นกัน ฟางเจิ้งจือไม่สามาถหนีได้เพราะเขาทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
ถ้าเขาทำนั่นหมายถึงการต่อสู้อันโหดร้ายระหว่างมนุษย์กับปีศาจและอสูร
โดยเฉพาะถ้าตัวตนระดับเทพเจ้าปรากฎตัวขึ้นไม่มีทางที่กลุ่มพันธมิตรของมนุษย์จะสู้ได้แน่นอน
ฟางเจิ้งจือไม่คิดจะเป็นวีรบุรุษอย่างไรก็ตามช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้เขาได้เข้าใจเรื่องหนึ่ง แม้ว่ามนุษย์จะไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ แต่ฟางเจิ้งจือที่อยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเขาก็ไม่สามารถนั่งดูมนุษยชาติล่มสลายไปเฉยๆได้
เหมือนหยุนชิงวู
จุดเด่นของนางคือเรื่องของความฉลาด
ตอนห้าขวบถูกส่งออกจากเมืองหลวงพร้อมกับทหารคุ้มกันและเงินเพียงเล็กน้อยแต่นางกลับใช้โอกาสนั้นพัฒนากองกำลังทั้งหมดของตัวเอง จากหลักสิบเป็นหลักร้อยและหลักพันในที่สุด…
จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของครึ่งเซียนคังหยางนางสามารถเอาชนะดินแดนรอบๆเมืองเงาเลือดได้ทั้งหมดสุดท้ายนางกลับไปที่เมืองหลวงพร้อมกับกองทัพปีศาจขนาดใหญ่
หยุนชิงวูใช้เวลาเพียงห้าปีในการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ
และสิบปีต่อมาหยุนชิงวูได้ทำสิ่งเดียวกัน นางหาโอกาสเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งนี้นางใช้วิธี’หาตัวช่วย’
หาคนที่มีศักยภาพพอที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้เพื่อที่ฟางเจิ้งจือจะสามารถเอาชนะหยุนชิงวูรวมถึงเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรเขาเองก็ต้องหาตัวช่วยในการหาข่าวและข้อมูลรวมถึงความร่วมมือในเรื่องอื่นๆ
ใครก็ตามที่อยู่ตัวคนเดียวย่อมมีขีดจำกัด
ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อหืมม…ฉลาดจริงๆ! เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นด้านหลังราชาอสูรทั้งหก จากนั้นชายในชุดสีดำก็ปรากฎตัวขึ้น
ท่านเทพปีศาจ!
ท่านเทพปีศาจพวกเรา…
…
เมื่อเห็นเทพปีศาจราชาอสูรทั้งหกและทหารปีศาจคุกเข่าลงทันที
เหอะเจ้าพวกเศษสวะไร้ประโยชน์! เทพปีศาจตวัดมือเพียงครั้งเดียวร่างของทหารปีศาจกระเด็นออกไปไกลในทันที
ฉากนี้ทำให้ทหารปีศาจที่เหลือและเหล่าราชาอสูรตกใจมาก
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือร่างที่กระเด็นออกไปทุกคนต่างนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่มีที่ท่าว่าจะลุกขึ้นมาอีก ใบหน้าพวกเขาแห้งขาวเหมือนใบไม้ที่ตายแล้ว … ความเงียบเข้าปกคลุม เมื่อเห็นแบบนี้รองหัวหน้าดินแดนปีศาจคนหนึ่งอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไป
หืม?ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดสินะ? เทพปีศาจกล่าวก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปทันที
ปัง!
ร่างของรองหัวหน้าดินแดนปีศาจที่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นทันทีต่างจากปีศาจที่ถูกส่งกระเด็นออกไปก่อนหน้านี้ หัวของเขาถูกแยกออกเป็นสองส่วน
่ท่านเทพปีศาจพวกเรา… รองหัวหน้าดินแดนคนอื่นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ตายพวกเศษสวะ ไปตายกันให้หมด! ฮ่าฮ่า… หลังจากเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังขึ้น ร่างของรองหัวหน้าดินแดนปีศาจอีกคนก็ล้มอยู่บนพื้น
มันเป็นฉากที่โหดร้ายและดูไร้เหตุผลมาก
โจวฉีผู้เป็นเทพปีศาจไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเหตุผลเดียวที่พวกเขาตายคงเป็นเพราะความไร้ประโยชน์
ฉากนี้ทำให้ราชาอสูรทั้งหกและทหารปีศาจตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผาก
อืมข้าพอเข้าใจแล้วดูเหมือนเจ้าจะเป็นเพียงคนโง่เขลาชอบทำเรื่องได้ไม้คุ้มเสียสินะ? ฟางเจิ้งจือถอนหายใจเมื่อเห็นศพจำนวนมากบนพื้น
…
…
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
ไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งจือพูดถึง’เรื่องได้ไม่คุ้มเสีย’ซึ่งพวกปีศาจและอสูรนั้นเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ
แต่พวกเขาตกตะลึงเพราะคำว่า’โง่เขลา’
ใบหน้าของราชาอสูรทั้งหกและทหารปีศาจต่างเต็มไปด้วยความซับซ้อนพวกเขาไม่รู้จะขอบคุณเมิ่งเทียนที่กล่าวว่าโจวฉีแทนพวกเขาหรือสรรเสริญเมิ่งเทียนที่เขาเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป
อย่างไรก็ตามเสียงหนึ่งทำลายความคิดพวกเขาลง
ได้ไม่คุ้มเสียคืออะไร? ปิงหยางถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสา ดวงตาของนางกระพริบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ถ้าอธิบายให้เป็นทางการหน่อยก็คือ’ฆ่าทหารของศัตรูพันคนแต่แลกมาด้วยทหารของตัวเองแปดร้อยคน’ ฟางเจิ้งจือเอามือกุมหัวขณะอธิบาย
แล้วถ้าเป็นคำอธิบายแบบไม่เป็นทางการล่ะ?
ข้าบอกไปแล้วเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดว่า’โง่เขลา’หรือไง?
ฮ่าฮ่าฮ่า… เสียงหัวเราะของปิงหยางดังก้องทั่วหน้าผา ใบหน้าของเทพปีศาจกลายเป็นสีดำคล้ำ
นอกเหนือจากพวกเขาแล้วทหารปีศาจและราชาอสูรที่อยู่รอบๆต่างสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมาในอากาศ
มันทั้งทรงพลังและน่าหวาดกลัว
หลบเร็วเข้า!
ถอยไป!
ราชาอสูรทั้งหกออกคำสั่งในทันที
อย่างไรก็ตามมีทหารปีศาจที่ไม่สามารถถอยได้ทันเวลาพวกเขาล้มลงบนพื้น ใบหน้ากลายเป็นสีม่วง ร่างกายของพวกเขา’เหี่ยวเฉา’ลงอย่างรวดเร็วราวกับถูกดูดพลังชีวิตไปจนหมด
เจ้าคนโง่เขลาช่วยบอกชื่อของเจ้าให้ข้าสนุกมากกว่านี้หน่อยได้ไหม? แทนที่จะถอย ฟางเจิ้งจือก้าวเดินไปข้างหน้าเผชิญหน้ากับจิตสังหาร
โจวฉี! เสียงอันเย็นชาดังขึ้น
โอ้เจ้ายอมรับด้วยว่าตัวเองโง่เขลา? ตาย!
การพูดคุยอย่างเรียบง่ายแต่ทำให้โจวฉีเลือกที่จะโจมตีในทันทีร่างของเขาหายไปและปรากฎตัวขึ้นด้านหน้าฟางเจิ้งจือ
มันใกล้มาก…
ใกล้จนฟางเจิ้งจือเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของโจวฉีรอยแผลเป็นสีแดงเหมือนรูปไม้กางเขนแห่งความตาย
ปัง!สองฝ่ามือปะทะกัน
จากนั้นทั้งสองร่างก็กระเด็นออกไปยังทิศทางตรงข้ามกันทันทีโจวฉีกลับไปยังตำแหน่งเดิมทิ้งรอยเท้าลึกไว้ที่พื้น
ด้านฟางเจิ้งจือเขาลอยตกลงไปจากหน้าผา
… ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
ราชาอสูรและทหารปีศาจรอบๆเบิกตากว้างเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป
สำหรับปิงหยาง… นางยืนนิ่งอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าอันว่างเปล่า
นางมองโจวฉีที่ห่างออกไปไม่ไกลนักบวกกับราชาอสูรทั้งหกและทหารปีศาจจำนวนมาก
อย่าบอกนะว่าเจ้าไร้ยางอายคิดจะล้อเล่นกับข้าในช่วงเวลาแบบนี้? ปิงหยางชอบความตื่นเต้น แต่สถานการณ์แบบนี้มันมากเกินไปสำหรับนาง
ฟางเจิ้งจือตกลงไปจากหน้าผา?
ไม่รู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง?
แล้ว…
นางต้องรับมือทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองงั้นหรือ?
ลมเย็นๆพัดผ่านหน้าผา
อันที่จริง..คือข้า…ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้เฉยๆ! หลังจากพูดจบ ปิงหยางก็หันหลังและวิ่งไล่ตามฟางเจิ้งจือไปทันที
อย่างไรก็ตามทันทีที่นางหันหลังร่างสีดำได้บินผ่านหัวนางไปและหยุดยืนอยู่ด้านหน้านาง
ดูเหมือนก่อนหน้านี้เจ้าจะหัวเราะอย่างมีความสุข? เสียงอันเย็นชาดังขึ้น
ข้าหัวเราะด้วยหรือ? ปิงหยางกระอักกระอวน
ถ้าเจ้ายังสามารถหัวเราะได้ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า โจวฉีกล่าวขณะเดินเข้าไปใกล้ปิงหยาง
ฮ่าฮ่า… ปิงหยางหัวเราะ แต่สีหน้าของนางแย่ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
นางรู้ว่าฟางเจิ้งจือยังไม่ตายแต่ด้วยความสูงชันของหน้าผาอย่างน้อยฟางเจิ้งจือต้องใช้เวลาสิบนาทีในการปีนกลับขึ้นมา
สิบนาที…
นางอาจจะตายได้อย่างน้อยสิบครั้ง
นางควรทำยังไงดี?
สู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี? หรือยิ้มเพื่อถ่วงเวลา
ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจของปิงหยางจากนั้นนางก็คว้าหอกฉีหลินและพุ่งเข้าใส่โจวฉี
โจวฉียืนนิ่งมองปิงหยางที่ถือหอกอันสว่างไสวกำลังพุ่งเข้ามา
จากนั้นเขาก็หัวเราะ
ฮ่าฮ่าฮ่า… เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับได้เห็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต
อย่างไรก็ตามหลังจากหัวเราะเสร็จจิตสังหารก็พวยพุ่งออกมาจากตัวเขาอีกครั้ง
เศษสวะอีกชิ้นหนึ่ง! โจวฉีก้าวไปข้างหน้า
ไม่อย่าพึ่งฆ่าข้า ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้จริงๆ… ขาของปิงหยางสั่นรัวก่อนจะล้มลงกับพื้นราวกับนางไม่มีทางแรงพอที่จะยืนอีกต่อไป
ราชาอสูรทั้งหกและทหารปีศาจมองหน้ากันพวกเขาพูดไม่ออก เซียน!
นางเป็นเซียน?
แต่เมื่อเจอกับตัวตนระดับเทพเจ้า…
มันกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ในทันที
ตาย! โจวฉีเข้าถึงตัวปิงหยางและตบนางด้วยฝ่ามือที่ปล่อยคลื่นสีเทาออกมา
อ้ะข้ามีข้อมูลสำคัญจะบอก มันเกี่ยวกับเมิ่งเทียนและแหล่งพลังเทพเจ้า… ปิงหยางเอามือกุมหัวด้วยความหวาดกลัว
หืม?! โจวฉีหยุด
เขาไม่ได้หยุดเพราะได้ยินปิงหยางแต่เพราะหอกฉีหลินที่ปิงหยางโยนออกมากระทบเข้ากับมือของเขา
ตัวหอกนั้นมีลวดลายเมฆสีแดงมีแสงสีทองเปล่งออกมาอย่างต่อเนื่องที่ปลายหอก
จากนั้นผงปูนขาวก็ถูกโยนออกมาจากมือของปิงหยาง
ในระยะประชิดความเร็วในการโยนของนางนั้นถือว่าเร็วมาก
แม้แต่ฟางเจิ้งจือที่ระวังตัวตลอดเวลายังไม่สามารถหลบได้ยิ่งตอนนี้ความสนใจของโจวฉีอยู่ที่หอกเพลิงฉีหลิน เขายิ่งไม่ได้ระวัง
ดังนั้นผงปูนขาวจึ้งเข้าตาของเขาตรงๆ
จากนั้นใบหน้าของโจวฉีก็กลายเป็นสีขาวราวกับหิมะ
……………………………………..
��