ณ ลานด้านหลัง
หลิน ฟานไม่รู้ว่าจะทําอะไรต่อดี เนื่องจากตอนนี้เหลียงหยงฉีไม่น่าจะได้ออกมาข้างนอกอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เองเมืองหยู ฉางจึงไม่มีเรื่องสนุกๆให้เขาทําอีกต่อไป
สําหรับพ่อลูกตระกูลหยวนต้องบอกว่าพวกเขาโชคดีมาก
เขาไม่เคยพบกับคนเหล่านี้ขณะที่เดินเล่นอยู่ในเมืองมาก่อน พวกเขาค่อนข้างระวังตัวและบางที่พวกเขาอาจจะพยายามหลีกเลี่ยงเขา สาเหตุมันคงมาจากเพราะพวกเขารู้ว่าเขาอันตรายและไม่กล้าเข้ามาใกล้
หลังจากที่คิดอยู่นานนี่น่าจะเป็นความเป็นไปได้เดียวที่เขาคิดออก
เขามองไปที่ระบบสนับสนุนขนาดเล็ก
ในแถบสถานะคะแนนความโกรธที่เขามีนั้นไม่เลวเลยมันเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
คะแนนความโกรธ : 5,826
“การบ่มเพาะไม่เห็นจะยากเลย มันง่ายเกินไปด้วยซ้ำที่ข้าต้องทําก็เพียงแค่เพิ่มคะแนนลงไปเท่านั้น แต่จากสถานการณ์ของข้าตอนนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะการมีตัวตนอยู่ของมือสังหารลึกลับคนนั้น ใครจะรู้ว่าเขาจะมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้นข้าต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้”
ระบบสนับสนุนขนาดเล็กได้ให้ตัวเลือกกับเขามากมาย
เขาสามารถเพิ่มคะแนนลงไปในร่างกายหรือกําลังภายในได้
ส่วนเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจหรือเทคนิคการเพาะปลูกเขาก็สามารถใส่คะแนนลงไปได้เช่นกัน
แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาต้องใช้คะแนนความโกรธอีกมากแค่ไหนถึงจะเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้
หลิน ฟานไม่ได้คิดมากและตัดสินใจลงคะแนนไปที่กําลังภายในทันที
เพราะเขาคิดว่ามันค่อนข้างดี ดังนั้นเขาจึงใช้คะแนนของเขาไปกับมัน
กําลังภายในของเขาที่เดิมอยู่ที่ 90 จุดค่อยๆขยับเพิ่มขึ้นทีละน้อย
กําลังภายใน : 120 (เส้นทางการต่อสู้ขั้นสี่)
เขาใช้คะแนนความโกรธไปทั้งสิ้น 3,000 คะแนน
ทันใดนั้นเองหลิน ฟานที่กําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของกําลังภายในของเขาที่ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กําลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างไม่มีเหตุผลของเขาสามารถเทียบได้กับการพยายามอย่างหนักตลอดหลายปีสําหรับคนธรรมดา
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทําให้เขารู้สึกอึดอัด แต่มันก็จบก่อนที่เขาจะทันได้รู้สึกตัว
“หืม ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถมองเข้าไปในร่างกายได้” โครงสร้างภายในร่างกายปรากฏขึ้นในใจของเขา มันเหมือนกับการเอ็กซเรย์แต่ชัดเจนกว่า
เขาชักนํากําลังภายในของเขาและรู้สึกได้เลยว่ามีพลังงานโปร่งใสกําลังไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณของเขา
นี่คือกําลังภายใน
“ข้าสามารถมองเข้าไปในร่างกายได้เมื่อกําลังภายในบรรลุถึงเส้นทางการต่อสู้ขั้นสี่ ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”
เส้นทางการต่อสู้มีทั้งหมดสิบสองขั้น แต่ละขั้นก็จะมีความพิเศษในตัวของมันเอง
ขั้นที่สี่นั้นน่าสนใจเล็กน้อย ในความคิดของเขาสิ่งต่อไปที่เขาต้องทําก็คือการหาเทคนิคการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง
ช้าก่อน คืนนี้มือสังหารอาจจะไม่มา ตราบใดที่เขาไม่มาในคืนนี้ นั่นก็หมายความว่าข้าจะปลอดภัย! หรือบางที่มือสังหารอาจจะลืมข้าไปแล้วก็เป็นได้
ค่ำคืนได้มาเยือน ท้องฟ้ากลายเป็นมืดสนิท
คฤหาสน์ตระกูลหลินกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ไม่มีใครรู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน
อยู่ๆมันก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธเสียมากกว่า
เสียงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีประกายไฟสว่างขึ้นที่ลานด้านหลังเป็นครั้งคราว
แต่น่าแปลกที่มันกลับไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยทั้งๆที่สถานกาณ์มันรุนแรงขนาดนี้
รุ่งอรุณได้มาเยือน
โกวชิตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยอาการเจ็บที่หลังคอเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงถืออ่างล้างหน้ามารออยู่ที่ด้านนอก
หลังจากที่รออยู่นานเขาก็ไม่ได้ยินเสียงเรียกของนายน้อย
“นายน้อย ท่านตื่นรึยังขอรับ?” หลังจากที่เห็นว่ามันไม่เข้าเกินไปโกวชิจึงถามออกมาอย่างสุภาพ
ไม่มีเสียงตอบกลับ
แอ๊ด~
เมื่อโกวชิผลักประตูเข้าไปเขาก็พบกับนายน้อยที่กําลังนั่งอยู่บนเตียง หลังของท่านหันมาทางเขาโดยที่ร่างไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยราวกับมีบางอย่างเกิดขึ้น
เขาตื่นตระหนกทันทีและคิดว่านายน้อยต้องเจอเรื่องบางอย่างที่เลวร้ายมาแน่
“นายน้อย! นายน้อย!”
“ออกไปซะ และไม่ต้องเข้ามา” หลิน ฟานพูดด้วยเสียงต่ำราวกับเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจ จากนั้นเขาก็พูดกระตุ้นอีกครั้ง “ฟังข้าแล้วออกไป วันนี้ข้าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งนั้น”
โกวชิทําตัวไม่ถูก
มันเกิดอะไรขึ้น?
แม้จะสงสัย แต่เขาก็ยังคงเชื่อฟังคําสั่งของนายน้อย เขาวางอ่างล้างหน้าเอาไว้ที่มุมหนึ่งและเดินออกมาทันที
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ หลิน ฟานจึงเดินมาที่หน้ากระจกและสัมผัสใบหน้าของตนเอง “เชี่ย! นี่ข้าไปล่วงเกินใครกัน? ถ้าเจ้ากล้าก็สังหารข้าในดาบเดียวซะสิ! ทําไมต้องทรมานกันด้วย?”
เมื่อคืนมือสังหารมาที่นี่อีกครั้ง
ขณะที่เขากําลังนอนหลับสบายอารมณ์โดยฝันว่าเขาได้กลายเป็นหัวหน้าตระกูลหลินและได้สิ่งที่เขาต้องการ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่ความฝันของเขาจะจบลงมันก็ถูกขัดจังหวะโดยมือสังหารเสียก่อน
การต่อสู้ระหว่างพวกเขามันดุเดือดมาก
กําลังภายในที่ถึงขั้นสี่ของเขาบวกกับวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตที่ทรงพลัง ทําให้การฟาดฟันของเขาแต่ละครั้งมันรุนแรงและแฝงไปด้วยพลังที่มิอาจหยุดยั้งได้
แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างมันเปล่าประโยชน์
มือสังหารที่เขาเจอในคราวนี้ดุร้ายและรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วมาก มีหลายครั้งที่เขาถูกต้อนจนมุมและเกือบตาย
หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตอันแรงกล้าของเขา เกรงว่าเขาคงจะตายไปนานแล้ว
หลิน ฟานก้มหน้าลงและจมอยู่ในความคิด
ทําไมชายคนนั้นต้องทําแบบนี้ด้วย?
หลังจากที่เขาเข้ามาข้าก็ไม่มีวันที่ดีเลย
“บ่มเพาะ! ข้าต้องบ่มเพาะ! ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นแต่เป็นการอัดมือสังหารคนนี้ให้จมดิน มิฉะนั้นข้าจะไม่มีวันที่สงบสุขเลยแม้แต่วันเดียว”
หลิน ฟานกําหมัดแน่นและพยายามระงับความโกรธในใจ เขาต้องทําเรื่องพวกนี้อย่างไม่เต็มใจ เพราะมันมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถรังแกผู้อื่นได้โดยใช้สถานะของตน และเขาก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นมารังแกเขาได้เด็ดขาด
ด้านนอก
โกวชิรู้สึกไม่สบายใจ นายน้อยไม่ได้ทําตัวเหมือนปกติ มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดไปมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถเดาได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้องโถง
ตอนนี้หลิน วานยี่กําลังผ่อนคลายอย่างมาก
เขาจะดื่มชาในตอนกลางวัน แต่พอตกดึกเขาจะสวมหน้ากากและปลอมตัวเป็นมือสังหารเพื่อสั่งสอนลูกที่ไม่เอาไหนของเขา
โชคดีที่เจ้าเด็กไม่เอาไหนไม่ได้ทําให้เขาผิดหวัง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง
“นายท่าน ความก้าวหน้าของนายน้อยก็เป็นที่ชัดเจนแล้วสําหรับเราทั้งคู่ ดังนั้นข้าคิดว่าท่านน่าจะเลิกกังวลเกี่ยวกับเขาได้แล้วกระมั่งขอรับ” อาวุโสวู่กล่าว
เขารู้สึกเห็นใจนายน้อยจริงๆ
มือสังหารที่เขากังวลนักกังวลหนากลับเป็นพ่อของเขาเองแถมยังทําร้ายเขาอย่างโหดเหี้ยมอีกต่างหาก
“ความก้าวหน้าของเขาช่างรวดเร็วจริงๆ เพียงพริบตาเดียวกําลังภายในของเขาก็มาถึงเส้นทางการต่อสู้ขั้นสี่แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเพราะเขาเลื่อนระดับเร็วเกินไป หรือว่าเขาจะทะลวงระดับได้โดยบังเอิญงั้นหรือ?” หลิน วานยี่รู้สึกงงงวย
สําหรับคนธรรมดาแล้วมันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะมาถึงระดับเส้นทางการต่อสู้ขั้นสี่ เมื่อนําความเร็วนั้นมาเทียบกับเจ้าเด็กไม่เอาไหนแล้วของเขามันเร็วเกินไปจริงๆ
เขาเพิ่งขึ้นขั้นสามมาได้ไม่นาน แต่เมื่อคืนเขากลับเลื่อนเป็นขั้นสี่แล้ว
ขนาดคนที่ใช้ยาช่วยยังไม่เร็วขนาดนี้
อาวุโสวู่ยิ้ม “บางทีนี่อาจจะเป็นผลจากความพยายามที่เขาสั่งสมมาตลอดหลายปีก็เป็นได้ขอรับ”
หลิน วานยี่ไม่เชื่อเหตุผลที่อาวุโสวู่อ้างมา คนอย่างเจ้าเด็กไม่เอาไหนจะระเบิดศักยภาพได้อย่างไร? ใครจะรู้บางทีเขาอาจจะเจอเข้ากับโชคบางอย่างก็เป็นได้
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก เพราะตอนที่เขายังเด็กเขาก็เจอเข้ากับโชคที่ว่าเช่นกัน
“แล้วสถานการณ์ของม่านพลังที่ภูเขาวานลี่เป็นเช่นไรบ้าง?” หลิน วานยี่ถาม
สีหน้าของอาวุโสวู่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “ข้าได้ไปตรวจสอบมันและพบว่าตอนนี้มันยังเสถียรดี ดังนั้นมันน่าจะไม่มีปัญหาในเร็วๆนี้ แต่ถ้าหากดูจากที่ผ่านมาข้าเกรงว่ามันน่าจะเปิดอีกภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า”
ภูเขาวานลี่คือภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเมืองหยูฉางไปหลายร้อยไมล์ มันเป็นเรื่องยากที่จะออกมาหากมีคนหลงเข้าไป เว้นแต่จะมีความคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์ของพื้นที่แถวนั้น
“นายท่าน เราควรจะส่งนายน้อยออกไปในช่วงนี้เลยหรือไม่?” อาวุโสวู่ถาม
แม้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็มั่นใจว่าท่านต้องการเช่นนี้แน่นอน
ด้วยระดับการบ่มเพาะของนายน้อย หากเขายังอยู่ที่นี่ไม่เพียงแต่เขาจะไร้ประโยชน์เท่านั้น แต่เขาจะกลายเป็นภาระด้วยซ้ำซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทําไมเราควรจะส่งเขาออกไป
“อืม ข้าก็กําลังคิดอยู่ว่าควรจะส่งเขาไปที่ไหนดี เห้อ มันเป็นความผิดของข้าเองที่สร้างศัตรูไว้มากเกินไป ถ้าเจ้าพวกนั้นรู้ว่าข้าจะส่งบุตรชายของข้าออกไป มั่นใจได้เลยว่าพวกมันจะต้องกลั่นแกล้งเขาจนตาย” หลิน วานยี่ปวดหัว
เขาสร้างปัญหาไปทั่วเมื่อเขายังเด็ก เพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะมีลูก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลยแม้น้อย
แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัวมันก็ได้เกิดบางสิ่งที่ยากจะอธิบายขึ้น เขาทําผู้หญิงท้องและเขาก็ต้องรับผิดชอบมัน
สิบปีต่อมา
เมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้ทีไรมันก็เขาก็ทําให้เขาปวดหัวทุกที
ข้าจะส่งเขาไปที่ไหนดี?
มันจะมีที่ไหนบ้างที่ปลอดภัยสําหรับเขา?
อาวุโสขู่ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะเขารู้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลดุร้ายแค่ไหน
ส่วนเรื่องที่เขามีศัตรูมาก? ความจริงแล้วคําว่ามากยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
เมื่อมาลองคิดดูอีกที สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
และตอนนี้เมืองหยูฉางก็ยังปลอดภัย