ตอนที่ 112 รวมขุมพลัง
“สัตว์อสูรวิญญาณประเภทบินระดับ 5 – วิหคสามเศียร, ดูเหมือจะเจอปัญหาแล้ว,พวกเราหลบเลี่ยงมันไปได้ไหม?” ฉู่เฉาหยุ่นถามขึ้นลอยๆแลดูสบายๆ
เจ้าหมูหน้าซีด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่,เขาก็พูดขึ้น “ลดความสูงลง,พวกมันมีเยอะเกินไป ข้าไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกับสัตว์อสูรดุร้ายเป็นฝูงเช่นนี้ อีกเพียงไม่กี่กิโลก็จะถึงที่หมายแล้ว”
ฉู่เฉาหยุ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย “ช้าไปแล้วมั้ง”
พอเขาพูดจบ,วิหคสามเศียรสี่ตัวก็พุ่งตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เมื่อวิหคสี่นัวบินเรียงหน้ากันเข้ามา,พวกมันดูราวกับก้อนเมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้า
“ปัง!ปัง!ปัง!”
ไฟ,น้ำแข็ง,และควันพิษโปรยถล่มลงมาบนเรือ มีม่านพลังสีเขียวบางๆปรากฎขึ้นหุ้มตัวเรือเอาไว้,ป้องกันการโจมตีที่โรยลงมา
ไขมันบนใบหน้าของเจ้าหมูจินสั่นกระเพื่อมพร้อมกับเปิดปากสาปด่า “ข้าต้องเสียไปอีกเท่าไหรในครั้งนี้,จ่ายหินวิญญาณไปมากมายก่อนที่จะได้ไปถึงหุบเขาราชันย์สัตว์อสูรเสียอีก”
เซียวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น “ต้าเป่า,จะเป็นการดีกว่าถ้าจะแยกกันไป ข้าจะช่วยล่อมันไปอีกทาง” เซียวเฉินรู้สึกกดดันเมื่อร่วมเดินทางกับฉู่เฉาหยุ่น,ตอนนี้เขาได้โอกาสที่จะแยกตัวออกไป,เขาไม่ลังเลที่จะคว้าไว้
เรียกใช้คาถาแรงโน้มถ่วง,เซียวเฉินลอยขึ้นไปจากพื้น เขาพุ่งผ่านม่านพลังสีเขียวหยกและลอยออกไปตรงๆ ทันใดนั้นเหล่าวิหคสามเศียรหันไปสนใจเขาโดยทันที,ไฟ,น้ำแข็งและพิษสาดเข้ามา
เซียวเฉินเรียกใช้โล่อัสนีสวรรค์ป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ เขาลอยพุ่งไปข้างหน้าและวิหคสามเศียรทั้งหมดสี่ตัวก็ไล่ตามเขาไป
“แม่มัน,ข้าตั้งใจจะล่อออกมาสักตัวสองตัว,ไม่ใช่ทั้งฝูง” เซียวเฉินพูดขึ้น
การโจมตีของวิหคสามเศียรทั้งสี่ตัวซัดลงบนโล่อัสนีสวรรค์ ไม่นานนักโล่อัสนีสวรรค์ก็แตกเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน ร่างของเซียวเฉินแกว่งไปมากลางอากาศ,ราวกับใบไม้ที่ปลิวไปตามลมพายุรุนแรง
เจ้าหมูยืนอยู่บนหัวเรือและมองดูเซียวเฉินล่อวิหคสามเศียรทั้งสี่ไกลออกไป สีหน้าของเขาในที่สุดก็เป็นสุขและตะโกนออกมาเสียงดัง “พี่น้องเซียวเฉิน,เจ้าช่างแสนดี!”
“เตร่ง!”
เสียงพิณใสดังมาจากบังเหียนเรือ สามคลื่นเสียงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยขึ้นท้องฟ้าตรงไปที่วิหคสามเศียรราวกับดาบแหลมคม
“ฟุ่ว!ฟิ่ว”
ทั้งสามหัวของวิหคสามเศียรส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสังเวช บาดแผลมากมายปรากฎขึ้นทั่วร่างของมัน เลือดสาดกระเซ็นโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อเจ้าหมูเห็นวิหคสามเศียรวกกลับมา,รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อ ความประหลาดใจวูบผ่านดวงตาของฉู่เฉาหยุ่นพร้อมกับมองไปที่บังเหียนเรืออย่างตกตะลึง “ข้าไม่คาดคิดว่าแม่นางเสี่ยวเสี่ยวจะมาอยู่ที่นี้ด้วยเช่นกัน”
หลังจากที่วิหคสามเศียรจากไป,ความกดดันในใจของเขาก็ลดลงอย่างมาก เขาใช้อัสนีหลบหเลี่ยงออกมาหลบการโจมตีสุดท้ายของวิหคสามเศียร
หลังจากตรวจสอบทิศทางแล้ว,เซียวเฉินก็บินมุ่งหน้าไปทางหุบเขาราชันย์สัตว์อสูร เขาเหลือบมองไปทางเรือรบสีทองที่อยู่ไกลออกไปและเห็นสิ่งที่ต้องตกตะลึง
มีชายในชุดเกราะสีทอง มีแสงสีทองเรืองออกมาจากร่างของเขา,เขาถือหอกสีทองยาวกว่าสามเมตรไว้ในมือขวาและหอกสั้นสีแดงไว้ในมือซ้าย
เขากระโดดจากวิหคสามเศียรตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง ในยามที่เขากวัดแกว่งหอกในมือมันดูราวกับเทพสงคราม ฟาดฟันทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง,เลือดสาดกระเซ็นไปทุกที่ เขาสอยวิหคสามเศียรร่วงลงไปทีละตัวๆ
“นั้นขุนนางกุยยี่,หยิงเซียว? ผู้เยาว์อันดับหนึ่งรองลงมาจากหยิงเยว่?” เซียวเฉินครุ่นคิดพร้อมกับจ้องมองด้วยความตกตะลึง
ความแข็งแกร่งของวิหคสามเศียรเทียบเท่ากับระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด ถึงอย่างนั้น,มันก็ถูกหยิงเซียวสอยร่วงไปทีละตัวไร้ทางต่อต้าน เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวถึงเพียงใด
ขุนนางกุยยี่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของเขา เขาหันหัวมาจ้องกลับไปที่เซียวเฉิน
เซียวเฉินไม่อยากมีปัญหาดังนั้นเขาจึงรีบบินออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากบินมาได้ครึ่งชั่วโมง,เซียวเฉินก็เห็นภาพของหุบเขาราชันย์สัตว์อสูรจากบนฟ้า เขาไม่อยากที่จะเป็นจุดสนใจมากนัก,เขาจึงค่อยๆลดระดับความสูงลงมาช้าๆ
เขาเห็นคฤหาสน์น้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลตวนมู่,เรือรบทมิฬของตระกูลจี,และเรือรบของตระกูลฮวาทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่บนฟ้า พวกเขาถูกสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกตามเข้ามาวอแว
หลังจากที่เซียวเฉินลงจอดบนพื้น,ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากรอบตัวของเขา เขาหันหัวไปมาและเห็นนักบ่มเพาะพลังถูกสัตว์อสูรวิญญาณฉีกเป็นชิ้นก่อนที่จะกลืนลงท้อง
ยิ่งเขาเข้ามาลึกเท่าไหร,สัตว์อสูรวิญญาณในป่าอำมหิตก็จะน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เซียวเฉินกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างระมัดระวังเขาปิดซ่อนกระแสพลังของเขามิดชิดและรอให้สัตว์อสูรวิญญาณตัวนั้นผ่านไปก่อนที่จะกระโดดลงมา
เมื่อเขามาถึงที่นี่,ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยอันตราย หากเขาไม่ตื่นตัวเข้าไว้,เขาคงจะตกตายด้วยน้ำมือของสัตว์อสูรวิญญาณ เซียวเฉินไม่กล้าที่จะประมาทเขาปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาพร้อมกับมุ่งหน้าไปที่หุบเขาราชันย์สัตว์อสูรอย่างไม่เร่งรีบ
เป็นเพราะหุบเขาราชันย์สัตว์อสูรเป็นที่พักพิงสุดท้ายของเหล่าราชันย์อสูร,ไม่มีสัตว์อสูรวิญญาณตัวไหนเข้าไปใกล้ทางเข้าหุบเขาราชันย์สัตว์อสูร เซียวเฉินเห็นนักบ่มเพาะพลังกลุ่มใหญ่รวมตัวกันที่ทางเข้าของหุบเขาราชันย์สัตว์อสูร,พวกเขาไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป
“ในที่สุดข้าก็มาถึง การเดินทางครั้งนี้มันเป็นหายนะ ข้าเห็นระดับขอบเขตนักบุญหลายคนตกตายอย่างน่าเวทนา ช่างน่ากลัว”
“แน่นอน,ไอ้จางเหอที่นำพวกเรามาเมื่อครู่ถูกสัตว์อสูรอำมหิตจับกินไปแล้ว”
“ทำไมคนของตระกูลชั้นสูงยังไม่โผล่มาสักคน? คนที่มาถึงเร็วหน่อยพบว่าราชันย์สัตว์อสูรที่นั้นยังไม่ตาย ก่อนที่เขาจะทันได้วิ่งหนีก็ถูกทุบตายทั้งกลุ่ม”
“โชคของข้า,ข้ามีไหวหริบรวดเร็ว ข้าเพียงแค่ไปส่องจากระยะไกลหรือมิฉะนั้นก็คงหนีกลับออกมาไม่ทันเช่นกัน ที่นั้นมีราชันย์สิงโตทองคำตัวมหึมาราวกับขุนเขา ตอนที่มีดดาบแทงเข้าใส่,หนังของมันไม่เป็นรอยแม่แต่น้อย”
เซียวเฉินเดินปะปนไปกับฝูงชน,ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมกลุ่มนักบ่มเพาะพลังถึงมายืนกองกันอยู่ที่ทางเข้าหุบเขา เป็นเพราะในหุบเขาราชันย์สัตว์อสูรยังมีราชันย์สัตว์อสูรที่ยังไม่จบชีวิตลง นอกจากนั้น,มันยังมีมากกว่าหนึ่งตัว
“ปัง!”
เรือรบทองคำของขุนนางกุยยี่มาถึงเป็นลำแรก กลุ่มนักรบที่สวมชุดเกราะสีทองกระโดดลงมาจากเรือรบ ขุนนางกุยยี่โดดขึ้นม้าตัวขนาดเท่ามังกรและกระโดดลงมาจากเรือรบ,นำกลุ่มนักรบของเขาเข้าไปในหุบเขา”ขุนนางกุยยี่มาถึงแล้ว,และที่ตามหลังเขาไปก็คือเหล่าองครักษ์ทองคำ พวกเขาแต่ละคนอยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด นอกจากนั้น,พวกเขาทั้งหมดยังมีประสบการณ์ในสนามรบโชกโชน ไม่มีอะไรต้องกลัวในครั้งนี้
เซียวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจสอบคนกลุ่มนี้ เขาสามารถเห็นกระแสพลังสีดำระเหยออกมาจากหัวของพวกเขา นี้เป็นกลิ่นอายที่ก่อตัวขึ้นมาเมื่อคนคนนั้นสังหารคนไปเป็นจำนวนมาก
“ปัง!”
เรือรบทมิฬของตระกูลจีในที่สุดก็มาถึง จีชางคงนำกลุ่มนำกลุ่มนักบ่มเพาะพลังของตระกูลจีกระโดดลงมาจากหัวเรือ หลังจากนั้น,ระดับขอบเขตนักบุญของตระกูลเจียงก็กระโดดตามลงมา
“คนของตระกูลจีมาถึงแล้วเช่นกัน ให้ตายเถอะ,ระดับขอบเขตนักบุญจำนวนมหาศาล แม้แต่หกนักบุญของตระกูลเจียงก็มาด้วยกันหมด พวกเขาน่าจะเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ตระกูลชั้นสูง
“ปัง!ปัง!”
ตระกูลฮวาและตระกูลตวนมู่ในที่สุดก็สลัดพวกสัตว์อสูรวิญญาณที่ตามมาวอแวทิ้งไปได้ พวกเขาต่างพาคนของพวกเขาตรงเข้าไป ตอนนี้,คนของตระกูลชั้นสูงทั้งหมดได้มาถึงแล้ว
เหล่านักบ่มเพาะพลังที่ทางเข้าไม่รอช้าและตามพวกเขาเข้าไป,ด้วยความหวังว่าจะเข้าไปหยิบฉวยอะไรออกมาได้บ้าง เซียวเฉินสังเกตเห็นว่ามีนักบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกำลังซ่อนตัวไม่รีบร้อนเข้าไป
เซียวเฉินก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรเช่นกันและไม่ได้ตามเข้าไป เขาจดจ่อสัมผัสวิญญาณไปที่คนของตระกูลจี เขาเห็นเจียงหมิงเหิงอยู่ในหมู่พวกนั้นและให้ความสนใจอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นกว่าสี่ชั่วโมง,ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ่ต่างเข้าไปกันหมดแล้ว เซียวเฉินไม่คิดที่จะรออีกต่อไป เขารู้สึกได้ว่าตระกูลจีกำลังฆ่าราชันย์สัตว์อสูรลงผ่านทางสัมผัสวิญญาณของเขา
“พี่น้องเซียวเฉิน,รอข้าด้วย ไปพร้อมกันเถอะ” ทันใดนั้นเสียงอวบๆก็ดังมาจากข้างหลังของเขา
เซียวเฉินหันกลับไปมองก็พบจินต้าเป่ายิ้มแย้มพร้อมตะโกนออกมา ซู่เสี่ยวเสี่ยวกอดพิณของนางยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าแสนบริสุทธิ์ของนางเผยรอยยิ้มบางๆ
เมื่อเซียวเฉินเห็นซู่เสี่ยวเสี่ยว,เขาประหลาดใจเล็กๆ เขานึกย้อนกลับไปในตอนที่เขาถูกโจมตีจากวิหคสามเศียร,ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงพิณ ซู่เสี่ยวเสี่ยวน่าจะเป็นคนลงมือ
“ขอบคุณแม่นางเสี่ยวเสี่ยวสำหรับการช่วยเหลือเมื่อครู่” เซียวเฉินกล่าวขอบคุณซู่เสี่ยวเสี่ยวเมื่อพวกเขาเดินเข้ามา
ซู่เสี่ยวเสี่ยวยิ้มเรียบๆ,ท่าทางซึกซนปรากฎขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของนาง “ไม่ใช่ว่านายน้อยเฉินเกรงกลัวปัญญานิ่มๆของข้า?”
เซียวเฉินละลายในใจ,สาวน้อยคนนี้ช่างผูกใจเจ็บ ข้าลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าข้าพูดอะไรไปบ้าง พอคิดอย่างถี่ถ้วน,เขาคิดไปเองคนเดียวว่าซู่เสี่ยวเสี่ยวเป็นเช่นไร
เยี่ยงเชียงหยุ่นไม่ได้อ่อนแอ,นั้นเป็นเพราะเขาเสียท่าจากความประมาทในตอนแรกและถูกเซียวเฉินทุบตีอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดก็คือซู่เสี่ยวเสี่ยวไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินจะโจมต่อเขาต่อหน้านาง
เจ้าหมูจินถือพัดสีทองไว้ในมือและยิ้มขึ้น “รีบไปกันเร็ว ท่านหมูผู้นี้ต้องไปถอนทุนคืนมา”
เซียวเฉินไม่เห็นฉู่เฉาหยุ่นก็คิดว่ามันแปลกๆ รู้สึกสงสัย,เขาจึงถามขึ้น “ฉู่เฉาหยุ่นไปไหน?”
เจ้าหมูตอบกลับ “รีบไปกันเถอะ,ไม่ต้องไปพูดถึงเจ้าหมอนั้น เขาจากไปทันทีที่พวกเรามาถึง”
พวกเขาทั้งสามเดินเข้าไปในหุบเขาและหลังจากเดินมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ,หุบเขาราชันย์สัตว์อสูรก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ถึงจะพูดว่าหุบเขาราชันย์สัตว์อสูรเป็นหุบเขา,ขนาดของมันก็เท่ากับเมืองเล็กๆ แม้เซียวเฉินจะขยายสัมผัสวิญญาณไปจนสุด,เขาก็ไม่อาจครอบคลุมมันได้ทั้งหมด
ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าต่อไป มีกองกระดูกขนาดใหญ่มากมายตามรายทาง เมื่อเจ้าหมูเห็นดังนั้น,ดวงตาเขาก็เบิกกว้าง พวกนี้เป็นกระดูกของราชันย์สัตว์อสูรระดับสูง
หลังจากผ่านมากว่าพันปี,พวกมันไม่มีความเสียหายแม่แต่น้อย ช่างน่าเสียดาย,โครงกระดูกพวกนี้เชื่อมแข็งติดกันอย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางที่จะพังมันด้วยดาบหรือกระบี่ ไม่อาจยกมันไปทั้งชิ้นด้วยเช่นกัน แม้จะเห็นสมบัติอยู่ตรงหน้าก็หยิบไปไม่ได้
รู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางๆออกมาจากโครงกระดูกที่ตั้งสูงตระหง่าน แม้จะผ่านมาเป็นพันปี,พวกมันก็ยังเป็นราชันย์สัตว์อสูร กระแสพลังของมันยังคงอยู่
เจ้าหมูนบหน้าอกอย่างเศร้าสร้อยและพูดขึ้น “ช่างน่าเสียดาย มีโครงกระดูกมากมายที่นี้ หากข้าเอามันกลับไปได้สักหนึ่งชิ้น,แม้ข้าจะไปหยิบฉวยอะไรจากซากโบราณไม่ได้,การเดินทางมาครั้งนี้ก็ได้กำไรแล้ว”
เซียวเฉินไม่เข้าใจและถามขึ้น “กระดูกพวกนี้มีค่าขนาดนั้น? ทำไมข้าไม่เห็นรู้สึก? ถึงแม้กระดูกพวกนี้จะแข็งมากและเอามาใช้เป็นอาวุธได้,ก็ไม่มีเครื่องมือที่จะเอามันมาขึ้นรูปได้”
เจ้าหมูเหลือบมองไปที่ซู่เสี่ยวเสี่ยวและยิ้มขึ้ยบางๆ “อย่าดูถูกหมู่บ้านหุบเขาทักษะสวรรค์ จากสิบสุดยอดอาวุธวิญญาณที่พวกเขาสร้างขึ้นมา,สามในนั้นสร้างขึ้นมาโดยใช้กระดูกของราชันย์สัตว์อสูรอายุหนึ่งพันปี”
“นอกจากนั้น,อาวุธที่สร้างขึ้นมาจากกระดูกอย่างเดียวเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ฝึกฝนทักษะต่อสู้บางชนิด นอกจากเอามาสร้างอาวุธ,พวกมันยังนำมาใช้สกัดเม็ดยาได้ หากข้าเจอโครงกระดูกอันเล็กกว่านี้,ท่านผู้ผู้นี้จะเอากลับไป”
อาวุธวิญญาณที่สร้างมาจากกระดูก,นี้มันเกินความคาดหมายของเซียวเฉินไปไกล พวกเขาทั้งสามเดินตางไปและเห็นผู้บ่มเพาะพลังคนหนึ่งกำลังลูบคลำไปรอบๆโครงกระดูก