ตอนที่ 137 ช่วยเหลือสาวงาม
เซี่ยวเฉินมองเห็นกลอุบายที่อยู่เบื้องหลัง ปรมาจารย์ยุทธทั้งสี่ผู้นี้ใช้ทักษะต่อสู้ผสานร่วมกัน ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาเชื่อมโยงกับอีกคนเสมอ นอกจากนี้พวกเขายังได้ฝึกฝนร่วมกันมาอย่างยาวนานและร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
ประกายแสงของกระบี่และคลื่นพลังลอยอยู่โดยรอบ มีเสียงคํารามออกมาจากการต่อสู้มากมาย กระบี่บางของเหลิ่งหลิวซูปลดปล่อยแสงกระบี่อันน่าสะพรึงออกมา ลมพัดอย่างรุนแรงพัดฝุ่นควันลอยขึ้น ในตอนท้ายก็ปรากฏรอยแยกอยู่บนพื้นดิน
รอยแยกดูเหมือจะเต็มไปด้วยกฏแห่งเต๋าที่กําลังแผ่พลังอํานาจของนักปราชญ์ออกมา
เหลิ่งหลิวซูหลบหลีกไปซ้ายและขวาท่ามกลางคนทั้งสี่และใช้ออกด้วยค่ายกลตรึงอักขระอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นางมิสามารถทลายวงล้อมออกมาได้
แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความตื่นตระหนกบนใบหน้าของนาง นางส่งกระบี่แสงออกไปอีกครั้งขณะใช้กระบี่ และป้องกันการผสานโจมตีของปรมาจารย์ยุทธทั้งสี่ขณะที่นางจ้องไปที่เหลิ่งเทียนเยว่
ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะที่พูดด้วยเสียงต่ำ “เหลิ่งเทียนเยว่ เจ้าต้องการสังหารข้าถึงเพียงนั้นเชียว? สําหรับตําแหน่งผู้สือทอดช่างน่าดึงดูดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าไม่กลัวบิดาของเจ้าจะลงโทษหลังจากที่ทราบเรื่องนี้”
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นการแสดงออกของเหลิ่งเทียนเยว่ ที่อยู่เบื้องหลังหน้ากาก เขาไม่ได้ตอบคําถามของเหลิ่งหลิวซู เขากล่าวอย่างเฉยเมย “ พวกเจ้าทั้งหมดเป็นขยะรีไง? หลังจากใช้ทักษะต่อสู้ผสานแล้วสมควรจะสังหารระดับนักบุญได้อย่างง่ายดาย ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังจัดการนางไม่ได้ แม้จะผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วเช่นนั้นหรือ”
หลังจากทั้งสี่ได้ยินคําตําหนิของเหลิ่งเทียนเยว่ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะใส่แรงเพิ่มเข้าไปอีก เหลิ่งหลิวซูรับการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้น
“วิหคเพลิงร่ำร้อง!”
“มังกรคํารน!”
“พยัคฆ์คํารน!”
“เต่าทมิฬ!”
หลังจากทั้งสี่เห็นว่าการต่อสู้กําลังถูกยื้อไว้ พวกเขาตัดสินใจเช่นเดียวกันและกระโดดขึ้นพร้อมคํารามออกมา
นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังที่สุดของทักษะต่อสู้ผสานร่างทั้งสี่ปรากฏขึ้นเหนืออาวุธของพวกเขา วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว เต่าทมิฬ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ปรากฏภายในรูปแบบราวกับพวกมันยังมีชีวิตอยู่
“สี่สัตว์รวมเป็นหนึ่ง!”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ร้องออกมาและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าผสานกัน มันทําให้รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก อากาศดูเหมือนจะแข็งตัวภายใต้พลังอํานาจนี้
เซียวเฉินรู้สึกตกตะลึกขณะยืนอยู่บนหัวเรือและสังเกตสถานการณ์อย่างระวัง ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าจิตวิญญาณยุทธของคนทั้งสี่มีร่องรอยของสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยพลังอํานาจในตอนที่ปลดปล่อยออกมาคนเดียวแต่มันจะยิ่งน่ากลัวมาก ยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาปลดปล่อยพร้อมกัน
ข้าสงสัยว่าเหลิ่งเทียนเยว่พบคนทั้งสีได้เช่นไร มองการร่วมมือของพวกเขา พวกเขาสมควรฝึกมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์
เหลิ่งหลิวซูขมวดคิ้วเล็กน้อย ชุดสีแดงของนางพริ้วไหวไป ตามสายลมอย่างแรง ในขณะที่นางมองไปที่สัตว์ทั้งสี่ที่ผสานกันเป็นทักษะเดียวบนท้องฟ้า นางไม่ปรากฏแม้เพียงความผวา
ลมพัดอย่างรุนแรงและผมสีดําของนางก็ปลิวไปตามสายลม ชุดยาวของนางขยับปลิวไปมาเหมือนดังคลื่นทั้งหมดนี้ รวมกับใบหน้าผุดผ่องทําให้นางมีรูปร่างที่งดงาม เหมือนดั่งนางเป็นเทพธิดาสงครามบรรพกาลที่ยืนอยู่บนพื้นพิภพ
“วิญญาณเผาไหม้ ความโกรธเกรี้ยวแห่งปราชญ์-ระบําเพลิง!”
เหลิ่งหลิวซูถือกระบี่ด้วยมือขวาและกรีดมือซ้ายของนางอย่างเชื่องช้า เลือดสีแดงสดไหลผ่านคมกระบี่และหยดลงบนพื้น
ดูเหมือนเลือดจะใช้รอยแยกที่เต็มไปด้วยเต๋าแห่งปราชญ์ เพื่อปลุกปราชญ์บรรพกาลที่อยู่ในอาวุธศักดิ์สิทธิ์
“มันเป็นอาวุธที่ถูกใช้โดยนักปราชญ์อย่างแน่นอน เป็นฉีคุณธรรมที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!” เซี่ยวเฉิน ผู้ที่อยู่ในเมฆาพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
“บึ้ม!”
เปลวเพลิงพุ่งขึ้นสู่นภาจากรอยแยกที่อยู่บนพื้น มีเสียงคํารามโกรธเกรี้ยวออกมาจากเพลิงแดงฉาน ดูเหมือนว่ามัน จะข้ามมิติและกาลเวลามาจากหลายหมื่นปีที่แล้ว
เหลิ่งหลิวซูยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง แสงกระพริบจากแสงเพลิงฉาบลงบนใบหน้าของนางจนหน้าของนาง เป็นสีแดงเพลิง นางกระโดดสูงไปในอากาศ กระบี่ของนาง ปกคลุมไปด้วยเพลิงไร้ขีดจํากัดและขอบเขต
“ปัง!”
เป็นดั่งกิ่งก้านที่แตกออกมาจากต้นไม้ กระบี่เองก็ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงแห่งพลังอํานาจปราชญ์ ทันใดนั้นก็ทะลุผ่านสี่สัตว์ที่รวมเป็นหนึ่ง วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์แตกเป็นเสี่ยง เต่าทมิฬหลบลี้หนีหาย มังกรฟ้าถูกผ่าตัดครึ่ง และ พยัคฆ์ขาวถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” คนทั้งสี่ตกลงไปที่พื้นอย่างแรง จิตวิญญาณยุทธของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ใบหน้าของพวกเขาซีดอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาเสียความสามารถในการต่อสู้ไปชั่วคราว
“แคว่ก!”
ในขณะนั้นเอง เหลิ่งเทียนเยว่เคลื่อนไหวกะทันหัน แสงหนาวเหน็บปรากฏขึ้น มันเป็นเพียงแสงกระบี่ เหลิ่งเทียนเยว่ ตอนนี้อยู่ด้านข้างของเหลิ่งหลิวซู
ความเร็วของกระบี่นั้นรวดเร็วมาก จังหวะเองก็เหมาะเจาะเป็นอย่างมาก เขาลงมือในขณะที่พลังอํานาจของปราชญ์ที่เหลิ่งหลิวซูใช้ลดลง
ถ้าเขามอบเวลาให้นางฟื้นตัว อัตราที่จะทําร้ายนางจนบาดเจ็บจะลดลง แม้ว่าเหลิ่งหลิวซูจะคาดการณ์การโจมตีนี้ไว้แล้ว นางก็ไม่มีทางที่จะหลบได้เลย
กระบี่ฟันลงมา และมันก็ทําให้เกิดบาดแผลบนหน้าอกของเหลิ่งหลิวซู เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศ เหลิ่งหลิวซูขมวดคิ้วและแสดงออกด้วยความเจ็บปวด กระบี่ในมือนางฟันออกไปเบื้องหน้า
กระบี่ฟันลงไปที่เหลิ่งเทียนเยว่ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนโดนอากาศ มันเป็นเพียงแค่ภาพติดตา เหลิ่งเทียนเยว่หลบไปด้านข้างนางแล้ว เขาพ่นลมเย็นออกจากจมูกและเตะเท้าออกไป ทําให้เหลิ่งหลิวซูที่บาดเจ็บตกลงมา
แรงเตะของเขาหนักหน่วงเป็นอย่างมาก เหลิ่งหลิวซูไถลไปตามพื้นโดยไม่หยุด นางนิ่มกระบี่ลงไปที่พื้น และสร้างร่องยาวขึ้นมาก่อนที่จะยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า
เหลิ่งเทียนเยว่ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่ต้องการที่จะเปิดช่องว่างใดๆให้กับเหลิ่งหลิวซู ร่างของเขากลายเป็นลําแสงในท้องฟ้า ในขณะที่เขากําลังลงมา มีแสงอันโชติช่วงปรากฏขึ้นบนกระบี่ของเขาและผ่าตรงไปยังเหลิ่งหลิวซู
เหลิ่งหลิวซูพยายามอย่างหนักเพื่อยกกระบี่ขึ้นมาป้องกัน แต่นางมิสามารถยกขึ้นได้ นางลอยไปด้านหลังคล้ายกระสุนปืนใหญ่และตกลงบนพื้นอย่างแรง
ท่าทางของเซี่ยวเฉินเปลี่ยนไป เขาไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกกลับในระยะเวลาสั้นๆ ตอนแรกเขามองดู เหลิ่งหลิวซูจัดการกับคนทั้งสี่ด้วยตัวคนเดียว และคิดว่าไม่จําเป็นที่เขาจะเข้าไปแทรกแซง
“อัสนีร่วงหล่น!”
เส้นสายฟ้าของอัสนีฟาดผ่าลงมาจากนภา และขัดขวางการเคลื่อนไหวของเหลิ่งเทียนเยว่ได้สําเร็จ เซี่ยวเฉินใช้ทักษะแปรลักษณ์เพื่อเลียนแบบทักษะต่อสู้ของจี้ฉางคง เขาเปลี่ยนเป็นดาวตกและบินลงมาอย่างรวดเร็ว
เหลิ่งเทียนเยวมองไปที่ดาวตกบนท้องฟ้าและขมวดคิ้ว ทักษะต่อสู้ของตระกูลดี้แห่งแคว้นหนานหลิง…จี้ฉางคงอยู่ที่นี่? นั่นเป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่ทักษะต่อสู้ของตระกูลจื้อย่างสมบูรณ์
“เจ้าคนหลอกลวง ข้าจะทําให้เจ้าเผยตัวตนแท้จริงออกมา!” เหลิ่งเทียนเยว่หัวเราะเย็นเยือกและกระโดดขึ้นไป เขาทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังบนท้องฟ้า ความเร็วของเขาเพิ่มถึงจุดสูงสุด แสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนกระบี่ของเขาในขณะที่ฟาดไปทางเซี่ยวเฉินอย่างรุนแรง
“บึ้ม!”
เซี่ยวเฉินเผยตัวของเขาและคํารามเสียงเบา ดอกไม้ไฟสีแดงพุ่งสู่ท้องนภา ก่อนที่เหลิ่งเทียนเยว่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกโจมตีเสียแล้ว เนื้อหนังของเขาฉีกขาด ร่างของเขากระเด็นสูงไปในท้องฟ้าโดยคลื่นกระแทก
“เพลิงแท้อัสนีม่วง! ทะลวง!”
มองเห็นเหลิ่งเทียนเยว่บนท้องฟ้า เซี่ยวเฉินรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรงจากการระเบิดของยันต์ระเบิดระดับสาม เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เขาโคจรเพลิงม่วงไปรอบนิ้วของเขา และยิ่งไปทางเหลิ่งเทียนเยวต่อ
เกราะคุ้มกันล้อมอยู่รอบตัวเหลิ่งเทียนเยว่ เพลิงสีม่วงระเบิดบนเกราะคุ้มกัน คลื่นกระแทกส่งเขาออกไปไกลกว่าเดิมในท้องนภา
อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถสร้างความเสียหายแก่เขาได้ เซียวเฉินเจาะผ่านเกราะคุ้มกันด้วยสัมผัสจิตวิญญาณ และเห็นหยกชิ้นหนึ่งอยู่บนหน้าอกของเขา มันปลดปล่อยรังสีเจือจาง สิ่งนี้น่าจะเป็นสมบัติลับ
เกราะคุ้มกันน่าจะเป็นผลมาจากสมบัติลับ เมื่อเซี่ยวเฉินลงพื้น เขาเห็นเหลิ่งหลิวซูหน้าซีดมาก และนางได้หมดสติเพราะเสียเลือดไปมาก
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาอุ้มนางขึ้นบนไหล่และบินออกไปไกล เขาใช้ออกด้วยทักษะมังกรฟ้าเมฆาทะยานด้วยพลังสูงสุด และหายไปในพริบตา
จากนั้นไม่นาน เหลิ่งเทียนเยว่ตกลงมาจากฟ้า เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าของเขาดูมืดมนเป็นอย่างมาก หน้ากากเขาปลิวหายไปนานแล้ว
เขาตะเกียกตะกายครู่หนึ่งก่อนที่จะยืนได้ เขาเห็นเซียวเฉินจากไปพร้อมกับเหลิ่งหลิวซู ดวงตาของเขาเผยท่าทางที่ยากจะเข้าใจเป็นอย่างมากออกมา เขาพึมพํากับตนเอง “เจ้ารอดไปได้เพราะโชคช่วย!”
เขาหันหลังกลับ และกําจัดผู้บ่มเพาะทั้งสี่ที่อยู่บนพื้นด้วยกระบี่ของเขา จากนั้นเขาก็หันกลับและมุ่งหน้าไปยังเมืองหยุนหยางเพียงลําพังโดยปราศจากอารมณ์
เซี่ยวเฉินแบกเหลิ่งหลิวซูเดินมานานแล้ว เขามาถึงป่า และหยุดเมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครไล่ตามมาแล้ว
เขาวางเหลิ่งหลิวซูลงพิงกับต้นไม้ เขาเห็นแผลอันน่ากลัวบนหน้าอกของนางและรู้สึกประหลาดใจ การโจมตีของเหลิ่งเทียนเยวโหดร้ายมาก ไม่เพียงแค่รวดเร็ว แต่ยังทรงพลังจนน่าตกใจเช่นกัน
แม้จะมีเกราะทองคําที่สวมอยู่บนอกของเหลิ่งหลิวซูก็ยังทะลุ ยังคงมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลจนย้อมเกราะเป็นสีแดง
เซี่ยวเฉินกดจุดสองสามจุดบนหน้าอกของเหลิ่งหลิวซูเพื่อหยุดเลือดที่ไหล จากนั้นเขาค่อยถอดเสื้อผ้าด้านนอกของเธอออกอย่างเชื่องช้า
ไม่นาน เขาพบว่าความคิดของเขามันไม่เหมือนเรื่องจริงเหลิ่งหลิวซูสวมชุดยาวสีแดง ส่วนบนเชื่อมยาวลงไปส่วนล่าง ถ้าเขาต้องการจะถอดมันออก เขาจะต้องถอดทั้งหมด
เป็นเรื่องปกติที่เซี่ยวเฉินไม่อาจทําเช่นนี้ได้ เขาทําได้เพียงนํามีดขนาดเล็กออกมา และตัดผ้าส่วนบน
หลังจากผ้าส่วนบนถูกตัด ผิวสีขาวราวหิมะก็ปรากฏต่อ เซียวเฉิน มันช่างยั่วยวนยิ่งนัก แต่เซียวเฉินตั้งสมาธิกับตนเอง และทําความสะอาดบาดแผลอย่างระวัง
มีเศษผ้าติดอยู่ในบาดแผล เซียวเฉินจึงดึงมันออกมาอย่างเชื่องช้า เหลิ่งหลิวซูที่หมดสติครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เซี่ยวเฉินทําได้แค่ลงมือด้วยความอ่อนโยนกว่านี้
หลังจากทําความสะอาดบาดแผล เซี่ยวเฉินนําเม็ดยาหวนคืนโลหิตออกมาและบดมัน เขาค่อยๆนําผงยาโรยลงไปที่บาดแผลและนําเม็ดยาหวนคืนโลหิตอีกเม็ดออกมาและป้อนเข้าไปในปากของนาง
หลังจากทําทั้งหมดนี้ เซี่ยวเฉินก็พักผ่อนอย่างช้าๆ มันเป็นเรื่องดีที่หัวใจของนางไม่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามบาดแผลค่อนข้างลึก ด้วยคุณสมบัติทางยาอันมากมายของยาเม็ดหวนคืนโลหิต มันไม่ควรจะเป็นปัญหา
เขานําชุดเสื้อผ้าสะอาดออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและห่มมันให้กับนาง ใบหน้าซีดเผือดของนางดูนุ่มนวลขึ้นมาทันที ทันใดนั้น เซี่ยวเฉินรู้สึกว่าฉากนี้ช่างคุ้นเคยนัก
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงช่วงเวลาในป่าทมิฬ เขาได้พบกับ องค์หญิงอิงเยวในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน ไม่ว่าหญิงสา วจะแกร่งแค่ไหน เธอจะยังมีด้านที่อ่อนโยนเสมอ
เขานําขวดยาเม็ดหวนคืนฉีและขวดยาเม็ดหวนคืนโลหิตออกมา จากนั้นเขาก็จดคําอธิบาย และแนะนํายาเม็ดรักษา จากนั้น เขาก็วางมันลงด้านข้างของเหลิ่งหลิวซู เซียวเฉินพุ่งออกจากพื้นและกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่
เซี่ยวเฉินนั่งไขว้ขาและทําสมาธิ เขาเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลัง และปลดปล่อยออร่าออกมาชัดเจน ทําให้สัตว์ป่าใกล้เคียงไม่เข้ามาใกล้
เวลาผ่านไป และค่ำคืนก็มาถึง แม้ว่าเซียวเฉินจะหมกมุ่นกับการบ่มเพาะ เขาก็ยังจับสัมผัสจิตวิญญาณของเหลิ่งหลิวซูและตรวจสอบสภาพของนางตลอดเวลา