ตอนที่ 214 บรรลุถึงสภาวะ
เซี่ยวเฉินพยักหน้าและดึงเสี่ยวไปที่หมดสติเข้ามาในอ้อมอกของเขา เขาถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวไป?”
หลิวสุยเฟิงอธิบาย “มันอยากจะเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งเพื่อช่วยเจ้าเมื่อครู่ พี่สาวของข้าทําให้มันหมดสติ”
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือผู้บ่มเพาะพลัง,หากพวกเขาเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง,มันจะทิ้งผลกระทบแฝงเอาไว้ โดยเฉพาะสําหรับเสี่ยวไป
“ใช่แล้ว พี่น้องเย่ เป็นการดีที่สุดหากจะให้เสี่ยวไปดื่มน้อยลงในอนาคต” หลิวสุยฟังกล่าวอย่างเคร่งขรึม เขานึกถึงตอนที่ถูกเสียวไปไล่กวด
เซี่ยวเฉินรู้สึกสงสัยพร้อมกับถามขึ้น “ทําไม?”
“มันออกจะอธิบายยากเล็กน้อย มันซับซ้อนนิดหน่อย แท้จริงแล้ว มัน…” หลิวสุยเฟิงล้ําอึ้งอยู่นานสองนาน แท้จริงแล้วเขาขายหน้าเกินกว่าที่จะพูกเกี่ยวกับเรื่องที่เสี่ยวไปไล่กวดเขาไปทั่ว
ในช่วงดึก,ดวงจันทร์ลอยสูงท่ามกลางหมู่ดาวบนท้องฟ้า
เซี่ยวเฉินยืนอยู่ในลานส่วนตัวของเขา เขาถือกระบี่เงาจันทร์ไว้ในมือขวา และลูบนิ้วมือข้างซ้ายของเขาไปดาบคมกระบี่
เรืองแสงคมกระบี่สีขาวหิมะกลายเป็นรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น ขณะที่เซี่ยวเฉินลูบไล้ไปตามคมกระบี่,พลังปราณของเขาหมุนเวียนและไหลเข้าไปในกระบี่อย่างต่อเนื่อง
ในวินาทีถัดมา
กระบี่ฉีเฉียบคมยิงออกมาจากคมกระบี่อย่างต่อเนื่อง,บินไปโดยรอบอย่างโกลาหลในอากาศ กระบี่ฉีนี้แตกต่างจากกระบี่ฉีของนักบ่มเพาะพลังทั่วไป
กระบี่ฉีเฉียบคมนี้บรรลุไปด้วยพลังงานสายฟ้าร่องรอยสายฟ้า เคลื่อนตัวไปพร้อมกับกระบี่ฉี เติมเต็มไปบนท้องฟ้าเหนือลานบ้าน
เซี่ยวเฉินดึงนิ้วของเขากลับและกระบี่ฉีในอากาศก็จางหายไปในทันที สายฟ้าแตกตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะไม่บนนลุฟังเสียงของดาบและสื่อสารกับมัน หลังจากกลับออกมาจากมิติมืดมิดนั้น,เขาดูเหมือนจะบรรลุสภาวะอื่นที่เขาไม่รู้จัก
สภาวะนี้ทําให้เขาสามารถปล่อยกระบี่ฉีที่บรรจุสายฟ้าออกมาได้ ขณะที่เขายังอยู่เพียงระดับขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ พลังของกระบี่นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าของระดับขอบเขตนักบุญขั้นต้นเสียอีก นอกจากนั้น,ศักยภาพของมันยังไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มที่
เซี่ยวเฉินฟื้นคืนความคิดกลับมาและมองไปยังกระบี่เงาจันทร์สีขาวหิมะ เขาลังเลอย่างหนักหน่วงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้ เข้าใจถึงกระบี่เล่มนี้แม้แต่นิดเดียว
มิติมืดแห่งนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เซี่ยวเฉินได้ฟังมา จากหลิวหรูเยวที่หลังว่ามันคือพื้นที่แห่งจิตที่ก่อเกิดขึ้นมาจาก เจตนารมณ์กระบี่โบราณ
มันสามารถดึงเจตนารมณ์กระบี่ที่ซ่อนอยู่ลึกในจิตใจของเขาออกมาได้ หลังจากที่เซี่ยวเฉินได้ยินดังนั้นเขางุนงงยิ่งกว่าเดิม
เจตนารมณ์กระบี่ของกระบี่เงาจันทร์คือเด็กสาวประหลาดนางหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของนางได้ชัดเจน,เขาแน่ใจว่านั้นไม่ใช่อ่วเจียว
ในเช้าวันต่อมา,แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างและฉายลงบนใบหน้าของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินฟื้นขึ้นจากการบ่มเพาะพลังและลืมตาขึ้น เมื่อเขาเดินออกไปจากลานบ้าน,เขาก็เห็นหลิวสุยเฟิง
“สุยเฟิง,ขออภัยที่ทําให้เจ้ารอ” เซี่ยวเฉินทักทายเขา
หลิวสุยเฟิงยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไร,ข้าก็เพิ่งมาถึงไม่ได้รอนานอะไร ไปกันเถอะ, ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องสมุด
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันขณะที่เดินไปยังจุดยอดสุดของยอดเขา ระหว่างทาง,เสี่ยวไปปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า มันกระโดดไปที่ไหล่ของเซี่ยวเฉินพร้อมกับเสียง โซว” กําลังจ้องมองไปที่หลิวสุยเฟิง
“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยวเฉินถามขึ้นหลังจากที่เห็นสีหน้าหวาดกลัวของหลิวสุยเฟิง
หลิวสุยเฟิงยิ้มอย่างเลิ่กลั่ก “ไม่มีอะไรไปกันต่อเถอะ ใช่แล้วเจ้ามีแต้มสะสมมากน้อยเท่าไหร? ที่กษะต่อสู้ประเภทไหนที่เจ้าต้องการจะไปแลกเปลี่ยน?”
เซี่ยวเฉินตัดสินใจได้นานแล้วว่าเขาจะเลือกทักษะประเภทอะไร เขาไม่ได้ต้องการทักษะบ่มเพาะพลังเป็นการชั่วคราว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ระดับไหน,แต่ด้วยความรวดเร็วในการบ่มเพาะพลังของเซี่ยวเฉิน,เขารู้ว่ามันเพียงพอที่เขาจะใช้บ่มเพาะพลังไปอีกนาน
เซี่ยวเฉินไม่ได้ต้องการทักษะหมัดหรือทักษะเคลื่อไหวเช่นกัน มันดูไม่เหมือนว่ายอดเขาฉิงหยุนจะมีที่กษะที่ยอดเยี่ยมไปกว่าหมัดพยัคฆ์มังกรหรือมังกรฟ้าเมฆาทะยาน,ดังนั้นไม่จําเป็นต้องไปใส่ใจ
สิ่งเดียวที่เซี่ยวเฉินขาดแคลนก็คือทักษะกระบี่ดีๆสักเล่ม ทักษะกระบี่สายฟ้าฉับพลันได้ถูกปรับแต่งโดยเซี่ยวเฉิน,เปลี่ยนให้มันกลายเป็นที่กษะระดับปฐพีขั้นต่ํา อย่างไรก็ตาม,มันดุดันจนเกินไป,ไม่เหลือทางไว้ให้ถอยกลับ
หากเขาเผชิญหน้ากับศัตรูสักหนึ่งหรือสองคน,มันไม่มีปัญหา ถึงกระนั้น,หากเขาต่อสู้กับกลุ่มศัตรูที่มีระดับพลังใกล้เคียงกับเขา,มันเป็นการยากที่จะรับมือ เขาสามารถทําได้เพียงใช้รูปแบบแปรลักษณ์,และปรับใช้ไปตามสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม,จนกว่าต้นกําเนิดปัญญายุทธจะสามารถทะลวงระดับขึ้นไปได้ ทักษะต่อสู้ที่เลียนแบบมา)มีพลังแตกต่างจากทักษะต่อสู้ที่เซี่ยวเฉินฝึกฝนอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้นเซี่ยวเฉินจึงต้องการทักษะกระบี่อย่างเร่งด่วน ยิ่งดังเป็นระดับปฐพีหรือสูงกว่าขึ้นไป ระดับเหลืองและลึกล้ํามันไร้ประโยชน์,เสียเวลาของเขาไปเปล่าๆ
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเฉินไม่รู้ว่าจะมีทักษะระดับปฐพี่หรือสูงกว่าอยู่หรือไม่ คิดได้ดังนั้นเขาถึงถามขึ้น “มีทักษะกระบี่ระดับปฐพีหรือสูงกว่าหรือไม่ที่ห้องสมุดของยอดเขานิ่งหยุน? ข้ามีหนึ่งพันแต้มสะสม,มันจะเพียงพอหรือไม่?”
รอยยิ้มภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของหลิวสุยเฟิง “หากเจ้าอยู่ที่ยอดเขาอื่น,มันจะยุ่งยากที่เจ้าจะได้รับทักษะระดับปฐพีมาสักเล่ม นอกจากนั้น,มันต้องใช้แต้มสะสมจํานวนมาก ทําให้ไม่มีตัวเลือกมากนัก
“ถึงกระนั้น มันไม่ใช่ปัญหาที่ยอดเขาฉิงหยุน ยอดเขาฉิงหยุน เคยเป็นยอดเขาอันดับหนึ่งแห่งศาลากระบี่สวรรค์ มันมีทักษะต่อสู้มากที่สุดเมื่อเทียบกันในทั้งเจ็ดยอดเขา มีมากกว่า 15 ทักษะ ระดับปฐพีเป็นรองเพียงห้องสมุดของโถงหลักเท่านั้น”
ภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่มีทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์ปรากฏขึ้นมา,ทักษะต่อสู้ระดับปฐพีคือทักษะต่อสู้ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในทวีปเทียนหวู่แห่งนี้ หากตระกูลหนึ่งได้ครอบครองทักษะต่อสู้ระดับปฐพี,มันเพียงพอที่จะทําให้พวกเขารุ่งเรืองไปนับหลายร้อยปี
ศาลากระบี่สวรรค์สมกับที่คงอยู่มานับหมื่นปี เพียงยอดเขาเดียวก็ครอบครองถึง 15 ทักษะต่อสู้ระดับปฐพี,ช่างเป็นข่าวที่น่าตกตะลึง
“ข้ามีเพียงหนึ่งพันแต้มสะสม,มันจะเพียงพอหรือไม่?” เซี่ยวเฉินถามอย่างเป็นกังวล ถึงอย่างไรนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาแลกเปลี่ยนที่กษะต่อสู้ด้วยแต้มสะสม,เขาไม่รู้ถึงมูลค่าของแต้มสะสม
หลิวสุยเฟิงรู้สึกหน่ายใจพร้อมกับพูดขึ้น “อย่าได้ใช้น้ําเสียงเช่นนี้กล่าวเช่นนั้น เจ้าหมายความว่าไง ข้ามีแค่หนึ่งพันแต้มสะสม? เจ้ากล่าวราวกับว่าหนึ่งพันแต้มสะสมมันไม่ได้มีค่าไปมากกว่าอากาศธาตุ ข้ายังหาได้ไม่ถึง 500 แต้มภายในครึ่งปี เป็นเจ้ากล่าวเช่นนั้นมันทําให้ข้าหมั่นไส้”
เซี่ยวเฉินยิ้ม “ข้าไม่รู้นี่ แค่บอกข้ามาว่ามันเพียงพอ”
“ข้ามั่นใจให้หัวเป็นประกันว่า,พอ! มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะซื้อมันมาจริงๆ มันเป็นเพียงการยืมฉบับสําเนา มันพอซะยิ่งกว่าพอ ไม่มีอะไรให้กังวล” หลิวสุยเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง
เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินดังนั้น,เขาก็ผ่อนคลายลง ดูเหมือนว่าเขาพอจะรู้กําลังซื้อของแต้มสะสมแล้ว ใครจะรู้? เขาอาจจะสามารถหยิบยืมตําราทักษะต่อสู้ระดับปฐพีขั้นสูงมาได้
พวกเขาทั้งสองเดินมุ่งหน้าไปที่ยอกเขาต่อไป แม้ว่าถนนบนภูเขาจะขรุขระ,แต่ด้วยการบ่มเพาะพลังของพวกเขามันราวกับว่ากําลังเดินไปบนพื้นราบเรียบ ฝีเท้าของพวกเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก และในไม่ช้า,พวกเขาก็มองเห็นกลุ่มศาลาสูงตระหง่าน
อย่างไรก็ตามเถึงมันจะปรากฎเหมือนใกล้,มันก็ใช้เวลาอีกพักหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ตอนที่พวกเขาอยู่ห่าางไม่ไกลนัก,หลิวสุยเฟิง,ผู้ที่เดินนําอยู่ข้างหน้า,ทันใดนั้นก็หยุดเท้าลง เขาถามเซี่ยวเฉิน “พี่น้องเย่ เจ้าคิดเช่นไรกับพี่สาวของข้า?”
คําถามนี่มาพร้อมหมัดฮุก เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยิน,เขานิ่งอึ้งไป,ทําให้เขาหยุดเท้าลงในทันที เสี่ยวไป.ผู้ที่อยู่บนไหล่ของเขาเกือบจะล้มหัวทิ่มลงไป มันจ้องมองอย่างเดือดดาลไปที่หลิวสุยเฟิง
หลิวสุยเฟิงเมินเสี่ยวไป,ผู้ที่กําลังขู่ฟอด เขายิ้มและถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดเช่นไร? เจ้ารู้สึกอย่างไรกับพี่สาวของข้า?”
เซี่ยวเฉินค่อยๆกล่าวออกมา “นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหมายถึงในรูปแบบไหน คําถามของเจ้ามันกว้างเกินไป”
หลิวสุยเฟิงยิ้มพร้อมกับถามต่อ “เช่นนั้นข้าจะถามให้เจาะจง เจ้าคิดว่าาพี่สาวของข้างดงามหรือไม่?”
“สง่าและงดงามยากที่จะหามาเปรียบ” เซี่ยวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไปตามตรง
หลิวสุยเฟิงหัวเราะเสียงดังและถามต่อ “เจ้าคิดเช่นไรกับความสามารถวิชายุทธของพี่สาวข้า?”
“โดดเด่นและมากพรสวรรค์!”
“เช่นนั้นพี่สาวของข้าดีกับเจ้าหรือไม่? นางลงเวลาไปมากมาย เพื่อเตรียมพร้อมค่ายกลกระบี่สัมบูรณ์โบราณให้เจ้าเมื่อวาน นอกจากนั้น ยังไม่ใช่เรื่องเดียวที่นางทําเพื่อเจ้าจากที่ผ่านมา”
“อ่า….ข้าไม่มีอะไรให้สาธยาย”
รอยยิ้มของหลิวสุยเฟิงฉีกกว้างขึ้น เขาพูดขึ้น “เช่นนั้นหญิงสาวเช่นนี้จะต้องถูกไล่ตามจากบุรุษมากมาย นางจัดได้ว่าเป็นแร่หายาก เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
เซี่ยวเฉินพยักหน้าต่อ “อืม,แน่นอน!”
“เช่นนั้นข้าจะจับคู่เจ้ากับพี่สาวของข้าเป็นเช่นไร?”
เซี่ยวเฉินหยุดหายใจไปชั่วขณะ:เขาคิดว่าเขาได้ยินผิดไป นางสงสัยถึงได้ถามขึ้น “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าพูดซ้ําอีกทีได้หรือไม่?”
หลิวสุยเฟิงหัวเราะเสียงดัง “ได้ยินไม่ชัดพอ? เช่นนั้นข้าจะสะกดให้ฟังช้าๆ มาเป็นน้องเขยของข้าเป็นเช่นไร? ชัดนะ…”
“ฟู่ฟิ่ว!”
เสี่ยวไป.ผู้ที่กําลังนั่งอยู่บนไหล่ของเซี่ยวเฉิน,พุ่งกระโดดตรงไปที่หลิวสุยเฟิงในทันที มันข่วนไปที่หัวของหลิวสุยเฟิงด้วยกรงเล็บสีขาวหิมะของมัน
หลิวสุยเฟิงไม่ทันได้ตั้งตัว เขาปัดป้องไปที่หัวของเขาพร้อมกับกล่าวอย่างกระวนกระวาย “หยุดได้แล้ว ข้าเพิ่งจัดผมมาเมื่อเช้า โอ๊ยเจ็บนะเห้ย..โอ๊ย…”
ท้ายที่สุด ยิ่งหลิวสุยเฟิงพยายามจะเอาเสี่ยวไปออกไปจากตัวเขาเท่าไหร่.มันก็ยิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามมันทัน ระหว่างที่กําลังวุ่นวาย,เขาเสียการทรงตัวและล้มลงไป
เซี่ยวเฉินติดอยู่ที่คําถามของหลิวสุยเฟิง เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องของหลิวสุยเฟิง เขาก็คืนสติกลับมา อย่างไรก็ตาม,มันสายเกินกว่าที่จะเข้าไปช่วย;หลิวสุยเฟิงก็ได้กลิ้งไปไกลแล้ว
แม้ว่าถนนบนยอดเขาจะขรุขระ,แต่มันก็ไม่ได้ชันมาก ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของหลิวสุยเฟิง,เขาไม่ได้รับบาดแผลอะไรเป็นพิเศษ เซี่ยวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับหันหน้าเดินต่อไป
เซี่ยวเฉินเดินไปไม่ไกลนักเมื่อมีสายลมเร็ววูบผ่านเขาไป;หลิวสุยเฟิงพุ่งขึ้นมาดักหน้าของเซี่ยวเฉิน ใบหน้าของเขาขาวซีดพร้อมกับดึงเสี่ยวไปออกจากผมของ
“พี่ใหญ่เย่ ได้โปรดเอาเจ้าตัวน้อยนี่กลับไป ข้ากําลังจะตายอยู่แล้ว”
เสี่ยวไปกําลังนั่งอยู่บนหัวของหลิวสุยเฟิง มีรอยยิ้มนุ่มอยู่บนใบหน้าของมันพร้อมกับตบลงไปบนหัวของหลิวสุยเฟิงด้วยฝ่ามือของมันเป็นครั้งคราว ดวงตาสดใสของมันมองไปที่เซี่ยวเฉินอย่างใสซื่อ
เจ้าตัวน้อยนี่ได้ทําเรื่องไม่ดี แต่มันยังคงทําหน้าชื่อตาใส เป็นผลให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะโกรธมันลง เซี่ยวเฉินทําได้เพียงหยิบมันออกมาและวางลงบนพื้นถนน
หลิวสุยเฟิงในที่สุดก็โล่งอก เขาจัดทรงผมยาวสีดําของเขาและพูดคุยต่อกับเซี่ยวเฉิน “ พี่น้องเย่ คิดเช่นไรกับเรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อครู่? ตอบคําถามของข้ามาเร็ว”
“อย่าได้ลังเล ไม่ใช่เจ้าว่าพี่สาวของข้าสาวงามไปทุกมุมมอง? ทําไมเจ้ายังจะลังเลอยู่อีก? เจ้าชอบนางหรือไม่? เพียงกล่าวออกมาแล้วข้าจะช่วยเจ้าให้ตาย!”
เงาสีขาวลอยไปที่หลิวสุยเฟิงอีกครั้ง ครั้งนี้ หลิวสุยเฟิงได้เตรียมรับมือและหลบออกไปด้านข้าง
เซี่ยวเฉินเห็นว่าเสี่ยวไปยังเข้ามาปวน ดังนั้นเขาจึงจับมันใส่ไว้ ในหยกวิญญาณสีเลือดเป็นการชั่วคราว จากนั้นเขาก็กล่าวกับหลิวสุยเฟิง “ข้าชอบนาง แต่ไม่ใช่แบบรักไคล้ นอกจากนั้น,ตัวข้ายังอ่อนแอ ถึงแม้ว่าข้าอาจจะมีคนที่ชอบอยู่,ข้าคงไม่อาจปกป้องนางได้ ข้าทําได้เพียงจดจ่อไปกับการบ่มเพาะพลังในตอนนี้ พี่น้องหลิว,อย่าได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก”