ตอนที่ 258 ต้นกําเนิดปัญญายุทธรูปแบบพลัง
เซี่ยวเฉินจัดลําดับความคิดของตัวเองก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ข้าเพียงแค่อยากจะรู้…กระบี่สุดท้ายนั้นเป็นสิ่งที่ท่านได้มอบให้กับข้า หรือมันเป็นบางสิ่งที่กระบี่เงาจันทร์ได้สะสมเอาไว้ด้วยตัวมันเอง?”
ความแข็งแกร่งของกระบี่สุดท้ายนั้นขึ้นไปถึงระดับที่น่าหวาดกลัว ตลอดมา เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นความแข็งแกร่งของกระบี่เงาจันทร์ กลับกัน,เขากลับเชื่อว่ามันรือสิ่งที่หลิวเทียนยู่ได้ใช้วิธีลับบางอย่างฝังมันลงในกระบี่เงาจันทร์
อย่างไรก็ตามในตอนสุดท้ายที่เขาปลดปล่อยกระบี่จู่โจมนั้นออกมา, พลังงานของมันช่างเป็นสัมผัสที่คุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อ มันรู้สึกราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นได้ส่งมอบให้มา
หลิวเทียนยู่กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าได้บอกเจ้าไว้นานมาแล้วนี้เป็นพลังของกระบี่เงาจันทร์ เพียงแต่ว่าตัวเจ้าในตอนนี้ยังไม่อาจเข้าใจถึงมันได้”
เซี่ยวเฉินนึกสงสัย เขาถามขึ้น “ทําไม?”
หลิวเทียนยู่ตอบกลับ “ถึงยังไง,กระบี่เงาจันทร์ของเจ้าก็คือดาบไม้อัสนีของจักรพรรดิอัสนี แม้ว่ารูปร่างของมันจะเปลี่ยนไป,มันก็ยังคงบรรจุต้นกําเนิดปัญญายุทธเอาไว้”
“ต้นกําเนิดปัญญายุทธได้ถูกแบ่งออกเป็นหกชิ้น แต่ละชิ้นบรรจุทักษะลับเอาไว้ สําหรับตอนนี้เจ้าได้รับมาแล้วสองชิ้น รูปแบบแปรลักษณ์ และรูปแบบพลัง”
“จักรพรรดิอัสนี้ได้ส่งต่อรูปแบบแปรลักษณ์ให้กับเจ้าด้วยตัวเอง ดังนั้นเจ้าจึงได้เข้าใจบางส่วนของมันได้ แต่อย่างไรก็ตาม,ไม่มีใครชี้แนะเจ้าถึงรูปแบบพลัง,ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เจ้าจะบรรลุถึงมันได้”
เซี่ยวเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง,และกล่าวขึ้น “ท่านกําลังจะพูดว่ากระบี่จู่โจมอันน่าหวาดกลัวนั้น เป็นผลมาจากต้นกําเนิดปัญญายุทธรูปแบบพลัง?”
“ถูกต้อง!”
เซี่ยวเฉินถามอย่างงุนงง “ข้าได้รับรูปแบบพลังมาตั้งแต่ตอนไหน? ทําไมข้าไม่เห็นรู้เรื่อง?”
หลิวเทียนยู่กางมือของเขาออกและยิ้มอย่างขมขืน “แม้แต่ตัวเจ้าเองยังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
คําของเจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่มักตกหล่นรายละเอียดอีกครึ่งหนึ่งอยู่เสมอ ไม่เกิดผลอะไรหากจะจี้ถามเขาไปเรื่อยๆ ข้าอาจจะต้องรอให้อ่าวเจียวตื่นขึ้นมา ข้าจะสามารถถามเอาจากนางได้
เซี่ยวเฉินครุ่นคิดหนัก เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหลิวเทียนยู่รู้ถึงคําตอบ,แต่ไม่ยินยอมที่จะบอก อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจไปทําอะไรได้
คิดได้ดังนั้น,เซี่ยวเฉินรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปพบปะกับคนผู้นี้มันอันตรายเกินไป ดังนั้นเขาหันกลับและเริ่มมุ่งหน้าลง
“เจ้าไม่อยากที่จะรู้ว่าต้นกําเนิดปัญญายุทธชิ้นที่สามอยู่ที่ไหน? กระบี่หักเล่มนี้ถูกทําลายโดยจักรพรรดิอัสนี้ในอดีต หากไม่ใช่เพราะว่าศาลากระบีสวรรค์มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ค่อยปกป้อ งมันอยู่,มันคงถูกเขาฉกฉวยเอาไปแล้ว เจ้าไม่อยากรู้รึ?” เสียงของหลิวเทียนยู่ดังมาจากข้างหลังของเซี่ยวเฉินอย่างไม่เร่งรีบ;เขาพูดอย่างยียวนชวนอยากรู้
เซี่ยวเฉินไม่อาจไปวอแวกับเขา เขาเพียงกระโดดลงจากหน้าผาไป เขายอกย้อนกลับ “อยากรู้แม่เจ้า!”
“อยากรู้แม่ข้า? อยากจะรู้จักแม่ข้าไปทําไม? นางตกตายไปตั้งนานแล้ว” เมื่อเขาได้ยินที่เซี่ยวเฉินตอบกลับมาใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรวามงงงวย เขาไม่เข้าใจว่าทําไมเซี่ยวเฉินถึงได้ปฏิเสธ
แน่นอนว่าเซี่ยวเฉินอยากที่จะรู้ว่ากระบี่หักที่บรรจุต้นกําเนิดปัญญายุทธชิ้นที่สามอยู่ที่ไหน แต่ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะทุบตีเขาให้ตายเข้าก็ไม่ยินยอมพอใจที่จะสนทนากับหลิวเทียนยู่ต่อ
ไม่เคยมีเรื่องดีเมื่อเขารับอะไรบางอย่างมาจากหลิวเทียนยู่ แม้ว่าเซี่ยวเฉินจะสามารถกลับออกมาจากมิติย่อยได้ เขาผลาญพลังปราณและจิตวิญญาณไปหมดสิ้นอย่างสมบูรณ์
หากไม่มีเวลาสักหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะพักผ่อนและบํารุงร่างกาย,เขาไม่อาจที่จะฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเต็มร้อยได้
ดังนั้น เมื่อหลิวเทียนหยู่พยายามจะล่อลวงเขาอีกครั้ง เขาอดที่จะสาปด่าออกมาไม่ได้
สายลมพัดผ่านใบหูของเซี่ยวเฉินพร้อมกับเขาใช้คาถาแรงโน้มถ่วงบินกลับไปที่ลานบ้านของเขา
โดยที่ไม่ได้มีพลังปราณเต็มเปี่ยม,เซี่ยวเฉินไม่กล้าที่จะใช้ความเร็วสูงสุด หลังจากบินมาได้หนึ่งชั่วโมง,เขาค่อยๆลงจอดที่ตรงกลางของลานบ้าน
เมื่อเซี่ยวเฉินกลับมาที่ห้องนอนของเขา เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะห้ามไม่ให้หัวทิ่มลงหมอน เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงของเขา และค่อยๆหมุนเวียนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์และเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลัง
“ปู ปะ!”
เสี่ยวไปกระโดดออกจากหยกวิญญาณสีเลือดและพุ่งออกจากหน้าต่างไป เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ว่ามันกําลังจะไปที่ไหน และไม่ได้ไปเป็นกังวล มีคนอื่นๆที่อยู่ในมิติย่อยดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะปล่อยมันออกมา
ตอนนี้พวกเขาอยู่บนยอดเขาฉิงหยุนเขาปล่อยให้มันออกไปเล่นสนุก ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีอันตรายโดยรอบ
วังวนฉีสีม่วงค่อยๆหมุนวนที่จุดต้นเทียนของเขา พลังจิตวิญญาณธาตุสายฟ้าบริสุทธิ์ในอากาศไหลเข้าสู่ร่างของเซี่ยวเฉินอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขายกระดับขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญ,เซี่ยวเฉินพบว่าในตอนที่เขาบ่มเพาะพลังเขาจะซึมซับเพียงพลังจิตวิญญาณธาตุสายฟ้า ถึงแม้ว่าเขาเลือกที่จะดูดซับพลังจิตวิญญาณธาตุอื่น
นี่มันทําให้เซี่ยวเฉินปวดหัว ด้วยพลังงานธาตุวายฟ้าบริสุทธิ์ นี่,ทําให้ทักษะกระบี่สายฟ้าฉับพลันทรงพลังมากขึ้นกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นอุปสรรคในอตนที่เขาจะฝึกฝนทักษะต่อสู้อื่นๆ เช่นทักษะกระบี่หลิงหยุน สภาวะสายฟ้ามันยากที่จะผสานเข้ากับสภาวะขุนเขา มันทําให้สภาวะขุนเขายากที่จะพัฒนาขึ้น
สิ่งที่ทําให้เขาประหลาดใจก็คือสภาวะสายฟ้าและสภาวะ เมฆาผสานเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม เป็นผลให้สภาวะเมฆาของทักษะกระบี่หลิงหยุนของเขาพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มันเป็นทั้งผลดีและผลเสีย การเพิ่มระดับสภาวะเป็นสิ่งที่ใฝ่หา,แต่ยากที่จะได้รับ แต่อย่างไรก็ตาม,ทักษะกระบี่หลิงหยุนแสวงหาความสุมดลกันระหว่างขุนเขาและเมฆา หากสภาวะเมฆาของเขาพัฒนารวดเร็วเกินไป,มันจะส่งผลให้ความสมดุลพังทลายในอนาคต
เมื่อถึงตอนนั้น,นอกจากทักษะกระบี่หลิงหยุนจะไม่พัฒนา,พลังของมันอาจจะลดลงด้วยซ้ําตอนที่เขาใช้ออกมา
ขณะที่เซี่ยวเฉินบ่มเพาะพลัง,เขาก็ครุ่นคิดถึงปัญหานี้ หากมันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ และข้าไม่อาจหาหนทางแก้ไขได้,ข้าจะทําได้เพียงค้นหาทักษะกระบี่ธาตุสายฟ้าบริสุทธิ์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม,ทักษะกระบี่ระดับปฐพีทั่วไปไม่อยู่ในสายตา ของเซี่ยวเฉินอีกต่อไป มันจะต้องเป็นทักษะระดับปฐพีขั้นสูง,เป็นอย่างน้อย
ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ที่ห้องสมุด,ข้าไม่พบทักษะกระบี่ธาตุสายฟ้าแม้แต่เล่มเดียว มีเพียงทักษกระบี่ธาตุคู่วายุและสายฟ้า ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาโอกาสลงจากเขา
เวลาค่อยๆไหลผ่านไป, หยดของเหลวสีม่วงผลึกหยดลงจากวังวนอย่างรวดเร็ว พลังปราณที่เดือดแห้งของเซี่ยวเฉินค่อยๆฟื้นคืนกลับมา
“ฟุบ! ฟุบ!”
เซี่ยวเฉินได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกของลานบ้าน เสียงเท้าที่มาพร้อมกับกระแสพลังที่แข็งแกร่ง
ยอดฝีมือ!
เซี่ยวเฉินรีบหมุนหมุนเวียนพลังปราณของเขาและแสงสีม่วงวูบไหวในดวงตาของเขา สัมผัสวิญญาณของเขาบินออกไปราวกับลูกศร,เขามองเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจน
หรือจะเป็นนาง? เมื่อเซี่ยวเฉินมองเห็นรูปร่างของคนผู้นั้น เขาตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก พร้อมกับเขารับลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก คนผู้นั้นกําลังมุ่งหน้ามาที่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว
“ฟีด!”
กระตูเปิดออกและหยิงเยว่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดเกราะหญิงสีทอง มีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าอันงดงามของนางพร้อมกับจ้องมองมาที่เซี่ยวเฉิน
เมื่อหยิงเยว่เปิดอ้าปาก,เสียงของนางก้องดังไพเราะ “มันก็นานมาแล้วนะ ข้าไม่คาดคิดว่าระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธตัวน้อยในตอนนั้น จะก้าวขึ้นมาถึงระดับขอบเขตนักบุญแล้ว”
เมื่อเซี่ยวเฉินได้เห็นใบหน้าของหยิงเยว่อีกครั้ง เกิดแรงกระเพื่อมในหัวใจของเขา แม่นางผู้นี้จะงดงามเกินไปแล้ว:วลีที่ว่า “สวยสังหาร” นับได้ว่าใช้อธิบายถึงตัวอย่างได้อย่างลงตัว
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือเซี่ยวเฉินจําได้ว่าเขาได้ทําบางอย่างที่หยาบคายกับเรือร่างของนาง
นอกจากนั้น,หยิงเยว่จะต้องไม่มาตามหาเขาโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เหมือนจะมีปัญหาแล้ว
แม้ว่าเขาจะตื่นตระหนกในใจ,ท่าทางของเซี่ยวเฉินก็ยังคงสงบ ถึงอย่างไร,เขามั่นใจในคาถาเปลี่ยนลักษณ์ของเขาเป็นอย่างมาก
เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าว่าข้าไม่ได้รู้จักเจ้า?”
หยิงเยว่เหลียวมองไปที่เซี่ยวเฉินโดยไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้น,นางหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปที่ลานบ้าน เขี้ยวเฉินรีบตามนางไปอย่างระวัง
หลังจากที่หยิงเยว่นั่งลงที่โต๊ะหิน,นางยิ้มบางเบา “เจ้ายังจะทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้? จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าเซี่ยวเฉินหรือเย่เฉิน? เจ้าอยากใช้ชื่อไหน?”
น้ําเสียงของหยิงเยวรแสนธรรมดา กล่าวได้ว่าค่อนข้างเป็นกันเอง แต่อย่างไรก็ตาม สําหรับผู้อื่น มันทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นกระแสพลังของผู้ปกครองที่กําเนิดจากตระกูลราชวงศ์ ไม่ว่าพวกเขาจะปกปิดเช่นไร,พวกเขาก็ปลดปล่อยมันออกมาโดยไม่รู้ตัว
ดูเหมือนหยิงเยว่ได้รู้ถึงทุกสิ่งอย่าง มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ด้วยอํานาจที่นางมี,ทุกสองอย่างภายในอาณาจักรต้าฉันอยู่ในการควบคุมของนาง
หากหยิงเยว่อยากจะสืบหาใครสักคน แม้ว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตา,นางก็จะตามหาจนพบ หากนางออกแรงสักหน่อยมันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เซี่ยวเฉินนั่งลงตรงข้ามกับหยิงเยวและกล่าวขึ้น “ในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดซ่อนอีกต่อไป แค่กล่าวมา, ทําไมเจ้าถึงได้ตามหาข้า? หากเป็นเรื่องขุนนางกุยยี่,ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
หยิงเยว่หยิบเอารูปสลักผู้หญิงที่ทําจากไม่ออกมา ผู้หญิงนางนั้นสวมชุดเกราะสีทองใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ การแกะสลักที่แสนประณีตทําให้มันราวกับเป็นคนจริงๆ ราวกับว่ามันเป็นหยิงเยวตัวเล็ก
เซี่ยวเฉินเหงื่อตกในใจ เขาไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขากลัว หยิงเยวมาเพราะเรื่องนี้จริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม หากเป็นแต่เรื่องรูปสลักเซี่ยวเฉินไม่น้องเกรงกลัว
“เป็นรูปสลักที่แสนประณีต.ดูราวกับเป็นคนจริงๆ ข้าสงสัยว่าใครกันที่แกะสลักมันขึ้นมา นี่มันดูเหมือนเจ้าจริงๆ” เซี่ยวเฉินเริ่มกล่าววิจารณ์รูปสลัก,ราวกับว่ามันไม่ได้มีความเชื่อมโยงอะไรกับตัวเขา
หยิงเยว่หยิบมันขึ้นมาและโยกมันเล่นไปมา นางยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าว “ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าใครเป็นคนแกะสลักมันขี้นมา พวกชนชั้นสูงที่เมืองหลวงมีกันทุกบ้าน ทุกคนดูเหมือนจะมีคนละหนึ่งอัน ข้าต้องไปจ่ายไปตั้งหนึ่งร้อยหินวิญญาณ เพื่อรูปสลักหนึ่งตัว”
“ข้าไม่คาดคิดว่ามันจะมีราคาถึงเพียงนี้ หากข้าเงินขาดมือในอนาคต,ข้าสามารถเอามันไปขายยังได้”
แพงฉิบหาย! หินวิญญาณระดับต่ําหนึ่งร้อยก้อน ให้ตาย,ดูเหมือนข้าจะโดนไอ้หมูเวรนนั้นเอาเปรียบ,สีหน้าของเซี่ยวเฉินเปลี่ยนสีเล็กน้อย พร้อมกับสาปด่าจินต้าเปาอยู่ในใจ
“เจ้าเป็นอะไรไป? สีหน้าเจ้าดูไม่ดี” หยิงเยว่ยิ้มอ่อน
เซี่ยวเฉินรีบดึงสีหน้ากลับและหัวเราะขึ้น “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกหดหูเล็กน้อย”
“ปะ!”
ทันใดนั้น,หยิงเยวาตบฝามือของนางลงบนโต๊ะหิน กระแสพลังอันน่ากลัวของนางถูกปลดปล่อยออกมา เมื่อกระแสพลังและน้ําเสียงของนางผสานเข้าด้วยกัน,เซี่ยวเฉินขวัญกระเจิง
“เจ้าจะทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกนานไหม? เจ้ายังไม่ยอมรับมันอีก” สีหน้าของหยิงเยวพลันเปลี่ยนและนางหยิบเอารูปสลักออกมาอีกหนึ่งตัว
ใบหน้าของรูปสลักเหมือนกันกับรูปสลักตัวก่อน แต่อย่างไรก็ตาม,ตัวนี้มีเสื้อผ้าน้อยชิ้นลงมันมีเพียงชุดชั้นในบางๆ
อย่างไรก็ตาม,นั้นยังไม่สําคัญ ที่สําคัญคือของที่ยื่นออกมาจากหน้าอกนั้นเสียหายลบหายไป รูปสลักที่แสนสมบูรณ์แบบกลายเป็นเช่นนี้
เซี่ยวเฉินไม่อาจนั่งตัวไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป เขารู้สึกน้ําตาตกในใจ,มองค่าศีลธรรมของเจ้าหมูสูงเกินไป
แม้ว่าจินต้าเปาจะอ้อนวอนเขาอยู่นาน,เซี่ยวเฉินก็ไม่ยอมแกะสลักให้เขา แต่อย่างไรก็ตาม,ขณะนั้นเขาขาดแคลนลูกศร ปราณแสง,เขาจึงต้องจําใจแกะสลักขึ้นมาให้หนึ่งตัว