ตอนที่ 54 น้ำพุกำมะถันใต้พิภพ
“ไม่น่าแปลก ร่างของข้านั้นถูกหลอมขึ้นมาโดยผู้นำนิกายรุ่นที่ 3” อ๋าวเจียวพูดอย่างเฉยเมย
โม่ฟ๋านประหลาดใจ “อาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ดาบไม้อัสนี! ไม่ใช่ว่าเจ้าสูญสิ้นไปพร้อมกับจักรพรรดิอัสนีซุงมู่ไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อน?”
อ๋าวเจียวขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ต้องมาสนใจเรื่องของข้านัก เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”
โม่ฟ๋านก้มลงดูขาพิการของเขา “นิกายฟ้าครามนั้นล่มสลายไปนานแล้ว ข้าเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของนิกายฟ้าคราม ขาข้างนี้ก็ถูกทำลายโดนศัตรูทำให้การบ่มเพาะพลังของข้าหยุดชะงัก ในตอนนี้ข้าทำได้ดีที่สุดเพียงอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ เป็นไปได้ไม่ได้ที่จะหลอมอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมา”
อ๋าวเจียวก้มลงคุกเข่าคำนับพร้อมกับพูด “ระดับสวรรค์? แค่นั้นก็เกินพอแล้ว”
เมื่อเซียวเฉินที่รออยู่ด้านนอกรู้สึกได้ว่าม่านพลังที่กันสัมผัสวิญญาณของเขาไว้ได้หายไปแล้วเขาก็รีบเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็ว เขาส่งสายตามองแรงไปที่อ๋าวเจียวแต่นางก็ทำเป็นเมินเขา
เมื่อโม่ฟ๋านเห็นเซียวเฉินกลับเข้ามาเขาก็พูดขึ้น “น้องเซียวเฉินอาวุธวิญญาณชนิดใดที่เจ้าอยากจะหลอมขึ้นมา? วัตถุดิบทุกอย่างพร้อมหรือยัง?”
เมื่อเซียวเฉินได้ยินดังนั้นเขาก็รีบหยิบเอาศิลาแสงจันทร์และโลหะระดับสูงก้อนสีดำออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล “นี่เป็นวัตถุดิบทั้งหมดที่ข้าเตรียมไว้เพื่อหลอมกระบี่”
โม่ฟ๋านมองดูศิลาแสงจันทร์ขนาดสูงกว่าสองฟุต ตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นเขาก็หันสายตาไปมองเหล็กน้ำค้างเหมันต์ระดับสูงสุด
“พระเจ้า! เจ้าไปเอาศิลาแสงจันทร์มากมายขนาดนี้มาจากไหน? แล้วยังเหล็กน้ำค้างเหมันต์ระดับสูงสุดนี่อีก? ไม่อยากจะเชื่อ!”
เซียวเฉินยิ้มพึงพอใจ เขาหยิบกระดาษออกมาและวาดรูปร่างของกระบี่เงาพระจันทร์ก่อนที่จะยื่นให้โม่ฟ๋าน “นี่เป็นรูปร่างที่ข้าคิดไว้ ข้าสงสัยว่าวัตถุดิบที่ข้าเตรียมมาจะพอใช้หรือไม่?”
โม่ฟ๋านรับภาพวาดมาดู อย่างไรก็ตามเขารู้สึกกายหน้าผากเมื่อเห็นมัน ภาพวาดนี่มันไม่อาจเรียกได้ว่าแบบอาวุธ….มันเป็นแค่ภาพวาดเล่นของกระบี่เงาพระจันทร์
“นายน้อยเซียวแบบร่างของเจ้ามันเรียบง่ายและหยาบเกินไป ต้องขออภัยที่ต้องพูดตามตรงแต่แบบร่างกระบี่นี้ออกแบบได้ไม่ดีนัก มีหลายจุดที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้”
ปรับเปลี่ยนได้? เซียวเฉินลังเลในใจ รูปร่างกระบี่นี้เป็นแบบที่เขาชอบ รูปร่างมันเหมือนกับกระบี่ที่เขาเคยเห็นในกาตูนในชีวิตก่อนของเขา การออกแบบใบมีดมันไม่หนาเหมือนของทหารม้า
อย่างน้อยกระบี่เล่มนี้มันก็ออกแบบให้มีความคล่องตัว ในฐานะอดีต ‘โอตาคุ’ เขายังชอบการออกแบบของเขา เขาไม่อยากให้มันเปลี่ยนรูปร่างไปมากนัก
โม่ฟ๋านเห็นเซียวเฉินลังเลก็พูดต่อ “เอาอย่างนี้… ข้าจะร่างแบบขึ้นมาคราวๆแล้วเอาให้เจ้าดูว่าถูกใจมันหรือไม่”
เซียวเฉินพยักหน้าและโม่ฟ๋านก็เริ่มลงมือวาด เซียวเฉินเเละอ๋าวเจียวหลบไปดูอยู่ด้านข้างอย่างตั้งใจ ยิ่งเซียวเฉินยิ่งมองเขาก็ยิ่งเขิน แบบร่างคร่าวๆของโม่ฟ๋านนั้นดูดีกว่าของเขามาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโม่ฟ๋านก็ยื่นแบบร่างที่เสร็จแล้วให้เซียวเฉิน ไม่เพียงแต่ร่างความกว้างยาวหนาบางของมันได้อย่างชัดเจน มันมีกระทั่งข้อความเล็กๆที่บอกถึงวัสดุที่จะใช้
เกรงว่าเซียวเฉินจะไม่เข้าใจมันโม่ฟ๋านที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เริ่มอธิบาย “นายน้อยเซียวจากแบบร่างที่เจ้าให้ข้ามาก่อนหน้านี้กระบี่เงาพระจันทร์นั้นดูเหมือนจะยาวเพียง 1.2 เมตร ข้าเพิ่มความยาวมันเป็น 1.6 เมตร”
กระบี่ยิ่งยาวก็จะยิ่งได้เปรียบในการต่อสู้ อย่างไรก็ตามช่างตีเหล็กส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเพิ่มความยาวของกระบี่ประเภทนี้
เพราะยิ่งตัวกระบี่ยาวเท่าไหรความคล่องตัวก็ลดลงไปเท่านั้น มันจะทำลายรูปแบบโดยรวมและความคล่องตัวของกระบี่ ดังนั่นช่างตีเหล็กส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนรูปแบบโดยรวมและไปปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยแทน พวกเขาจะไม่เพิ่มความยาวของมันเกินกว่า 1.2 เมตร
โม่ฟ๋านอธิบายต่อไป “ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มความกว้าง สำหรับกระบี่ประเภทนี้ 2 นิ้วเป็นขนาดมาตราฐาน”
“ถึงอย่างนั้นด้วยการที่มันยาว 1.6 เมตรข้าแนะนำว่าควรเพิ่มความกว้างของมันอีกครึ่งนิ้ว เช่นนั้นมันจะได้ไม่ดูบางเกินไปเมื่อแทบกับความยาวของมัน”
โม่ฟ๋านอธิบายรายละเอียดทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้น นอกจากนั้นหลังจากปรับเปลี่ยนมันดูดุดันดเข่มยิ่งกว่ากระบี่เงาพระจันทร์เสียอีก
ยิ่งเซียวเฉินมองดูก็ยิ่งพอใจ เขายิ้มพร้อมพูดขึ้น “พี่ใหญ่โม่พวกเราจะใช้แบบที่ท่านร่างขึ้นมา ยังมีส่วนผสมอะไรที่ข้ายังขาดอีกบ้าง? ข้ายังพอมีเวลาและจะจัดส่งมาให้ในสองสามวัน”
โม่ฟ๋านพูดขึ้น “มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอยากจะสร้างอาวุธวิญญาณระดับใด นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับคำขอพิเศษอื่นๆที่เจ้าต้องการอีก”
เซียวเฉินไม่ยักกะรู้ว่ามันจะมีรายละเอียดยิบย่อยเช่นนี้ เขาขอให้โม่ฟ๋านอธิบายให้ฟัง
โม่ฟ๋านจึงอธิบายให้ฟังว่าอาวุธวิญญาณนั้นแบ่งเป็น 4 ระดับจากดีที่สุดไปต่ำที่สุด สวรรค์ ปฐพี ลึกล้ำ เหลือง แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็น 3 ขั้น สูง กลาง ต่ำ
เหนืออาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขึ้นไปจะเป็นอาวุธระดับกึ่งศักดิ์สิทธิ์และระดับศักดิ์สิทธิ์ มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด 10 ชิ้นภายในทวีปเทียนวู่ ทุกครั้งที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์กำเนิดใหม่ขึ้นมาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเก่าก็จะสูญสิ้นไป
หลังจากที่อธิบายเรื่องพื้นฐานให้เซียวเฉินฟังแล้วโม่ฟ๋านก็พูดต่อ “ไม่ว่าจะเป็นอาวุธระดับใดก็ตามมันสามารถฝังแก่นกลางปีศาจธาตุที่ตรงกับความตั้งการของผู้บ่มเพาะพลังได้”
แก่นกลางปีศาจเป็นแก่นกลางของสัตว์อสูรปีศาจ สัตว์อสูรปีศาจก็คือสัตว์อสูรวิญญาณที่ถูกพลังฉีปีศาจเข้าครอบงำ เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรวิญญาณพวกมันนั้นได้กลายพันธุ์แยกออกไป
สิ่งที่ทำให้กลายพันธุ์ก็คือแก่นกลางของสัตว์อสูรวิญญาณ แก่นกลางของสัตว์อสูรวิญญาณนั้นเดิมทีเป็นสิ่งที่ค่อยหล่อเลี้ยงพลังปราณ
หลังจากที่แก่นกลางกลายเป็นแก่นกลางปีศาจมันจะถูกเติมเต็มไปด้วยพลังงานรุนแรง ดูเหมือนมันจะมีการเชื่อมต่อลึกลับกับโลกใบนี้ เมื่อมันถูกฝังเข้าไปในอาวุธมันจะให้พลังมหาศาลแก่อาวุธวิญญาณตามลักษณะธาตุของแก่นกลางปีศาจชิ้นนั้น
เมื่อเซียวเฉินได้ยินดังนั้นเขาก็พูดขึ้น “จากที่ท่านเล่ามาข้ายังขาดแก่นกลางปีศาจธาตุสายฟ้า เป็นเช่นนั้นใช่ไหม?”
โม่ฟ๋านพยักหน้า “ข้ากับอ๋าวเจียวได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว อันที่จริงข้าเพิ่งได้แก่นกลางของอสูรปีศาจระดับ 6 วิหคอัสนี ข้าเอาให้เจ้าก่อนได้ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากข้า”
เมื่อเซียวเฉินได้ยินเช่นนั้นเขาด็ดีใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาหยิบเรื่องนี้มาคิดดูดีๆเขาพบว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ คำพูดของโม่ฟ๋านเมื่อครู่ราวกับถูกเตี๊ยมมาเพื่อยกแก่นกลางปีศาจให้กับเซียวเฉิน
เมื่อเขามองไปที่อ๋าวเจียวเขาพบใบหน้าไร้เดียงสามองกลับมาที่เขา สายตาผู้บริสุทธิ์นั้นจ้องมองมาทำให้เขาปวดหัว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่ไปเสียเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เวียวเฉินพูดขึ้น “ในเมื่อท่านไม่ขาดเหลืออะไรแล้ว คิดว่ามันจะเสร็จได้เมื่อไหร?”
โม่ฟ๋านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “นายน้อยเฉินหากเจ้ารีบใช้ข้าสามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันนี้ แต่ต้องขอยืมแรงเจ้าด้วย หากเจ้าไม่เร่งรีบข้าจะจัดการให้เสร็จภายในสามวันแล้วส่งให้ถึงมือเจ้า”
เมื่อทำให้มันเสร็จเร็วได้ทำไมเขาจะไม่ทำ มันเป็นการดีกว่าถ้าจะได้จับอาวุธวิญญาณดีๆในทันที ต้องรอถึงสามวันจะทำให้เขาเป็นกังวลซะเปล่าๆ
ทันใดนั้นเหมือนเซียวเฉินจะนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ พูดคุยกันมานานแล้วท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเราจะสร้างอาวุธวิญญาณระดับใด”
โม่ฟ๋านหยิบศิลาแสงจันทร์และเหล็กน้ำค้างเหมันต์ขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้น “ด้วยศิลาแสงจันทร์มากมายขนาดนี้น่าจะได้ถึงระดับสวรรค์ขั้นสูง”
ระดับสวรรค์ขั้นสูง! เซียวเฉินยืนตัวแข็ง
อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์นั้นไม่เคยปรากฎในทวีปนี้มากว่าร้อยปีแล้ว เหตุผลหลักๆเลยก็คือขาดแคลนศิลาแสงจันทร์อีกเหตุผลสำคัญก็คือขาดแคลนช่างตีเหล็กฝีมือดี
ภายในร้อยปีมานี้ก็มีคนที่รววบรวมศิลาแสงจันทร์ที่พอจะสร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขึ้นมาได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ปรากฎออกมานั้นเป็นเพราะขาดแคลนช่างตีเหล็กฝีมือยอดเยี่ยม
ตามที่เซียวเฉินเข้าใจผู้ที่สามารถหลอมอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ออกมาได้ในทวีปเทียนวู่นี้มีเพียงคนจากนิกายฟ้าคราม
มีสายเลือดลึกลับไหลเวียนอยู่ในร่างของคนจากนิกายฟ้าคราม พวกเขาเกิดมาพร้อมกับค้อนฟ้าคราม สานุศิษย์ของนิกายทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นช่างตีเหล็กศักดิ์สิทธิ์
เป็นความจริงที่ว่าช่างตีเหล็กศักดิ์สิทธิ์ในทวีปนี้นั้นล้วนมาจากนิกายฟ้าคราม นี่เป็นความได้เปรียบจากสายเลือดของพวกเขา เป็นสิ่งที่ทำให้คนนอกต่างอิจฉาตาร้อนในสิ่งที่พวกเขาไม่มี
อย่างไรก็ตามพรสวรรค์นั้นก็ได้นำพวกเขาไปสู่ความตาย
ตามตำนานเมื่อ 600 ปีที่แล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์เทียนวู่ต้องการให้พวกเขาสร้างอาวุธศักดิ์สทธิ์ใหม่ขึ้นมา
ตั้งแต่โบราณนิกายฟ้าครามก็มีข้อห้ามที่ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา อย่างมากที่สุดพวกเขาก็ได้รับอนูญาตให้สร้างได้เพียงอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ด้วยข้อห้ามที่แปลกประหลาดนี้เองนิกายฟ้าครามจึงปฏิเสธคำขอจากแดนศักดิ์สิทธิ์
จากนั้เป็นต้นมาก็ไม่นิกายฟ้าครามก็ไม่ปรากฎในโลกนี้อีก และในหลายร้อยปีที่ผ่านมาทวีปเทียนวู่ก็ไม่ได้มีอาวุธระดับสวรรค์เกิดขึ้นมาอีกเลย
เมื่อเซียวเฉินถามเกี่ยวกับระดับอาวุธ โม่ฟ๋านบอกว่าเขาตั้งใจจะสร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ เป็นไปได้ว่าทักษะของเขาเทียบได้กับผู้สืบทอดของนิกายฟ้าคราม?
เซียวเฉินเก็บความสงสัยของเขาไว้ในใจและเดินตามโม่ฟ๋านไป พวกเขาเดินผ่านประตูหลังและพบก็พบกับลานกว้าง โม่ฟ๋านนำทางพวกเขาผ่านบ้านสองสามหลังก่อนที่จะมาหยุดที่บ้านหินหลังหนึ่ง
หยิบกุญแจออกมาไขประตูของบ้านแล้วค่อยๆผลักประตูหินเข้าไปด้านใน ภายในนั้นมือสนิท เป็นเพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างบนที่อับแสง แสงแดดด้านนอกไม่อาจส่องมาถึง
โม่ฟ๋านจุดตะเกียงน้ำมันและเปิดทางลับ เขากล่าวขึ้น “เนื่องจากอุณภูมิของเตาหลอมเหล็กนั้นสูงเกินไปข้าเลยต้องสร้างมันเอาไว้ใต้ดินเช่นนี้ เรายังต้องเดินกันอีกไกล”
เซียวเฉินพยักหน้าส่งสัญญาณว่าเขาเข้าใจแล้ว เขาเดินตามโม่ฟ๋านเข้าไปในทางเดิน กว่าครึ่งชั่งโมง ห้องหินขนาดใหญ่ก็ปรากฎต่อหน้าของเซียวเฉิน
ภายในห้องหินแห่งนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย เตาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางดึงดูดสายตาของทุกคน ด้านข้างของเตาไฟนั้นก็มีถังขนาดใหญ่
เซียวเฉินเดินเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจดูและเขาพบว่าในถังนั้นเต็มไปด้วยของเหลวสีดำ มันดูราวกับน้ำหมึกแต่ก็ไม่ใช่น้ำหมึก มันเป็นสีดำที่ดูเหมือนจะส่องแสงออกมา อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสังเกตดูดีๆมันก็ไม่ได้เรืองแสงอยู่ นี่มันช่างย้อนแย้ง
เซียวเฉินไม่เคยเห็นน้ำแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนและเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากถามขึ้น “สิ่งที่อยู่ในถังนั้นคืออะไร?”
โม่ฟ๋านกำลังจัดระเบียบภายในห้องใต้ดินที่เขาไม่ได้เปิดใช้มาเป็นเวลานาน เขาไม่ว่างมาตอบคำถามของเซียวเฉินในตอนนี้ อ๋าวเจียวก็พูดขึ้น “นี่คือน้ำจากน้ำพุกำมะถันใต้พิภพ มันเป็นน้ำที่ดีที่สุดในการนำมาชุบเย็น”
น้ำพุกำมะถัน?
เซียวเฉินตัวสั่นถอยห่างจากถังนั้นอย่างรวดเร็ว เหตุผลหลักคือตำนานน้ำพุกำมะถันใต้พิภพจากโลกเดิมของเขานั้นฝังลงไปในจิตใจของเขา เขาทำได้แต่ถอยกลับไปหลายก้าวอย่างช่วยไม่ได้
*** น้ำพุกำมะถันในอีกความหายหนึ่งแปลว่านรกของจีนครับ
อ๋าวเจียวมองไปที่เซียวเฉินอย่างงงๆ “เจ้าเป็นบ้าอะไร? เจ้ากลัวน้ำพุกำมะถัน?”
แม้ว่าเซียวเฉินจะกลัวน้ำจากน้ำพุกำมะถันนี้จับใจ เขาก็ไม่อาจยอมรับได้ เซียวเฉินพูดขึ้นอย่างใจเย็น “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? จริงสิ,พี่ใหญ่โม่ตรงนั้นมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”