ตอนที่ 62 ความลับของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้า
“บูม!”
เสียง “บูม!” ดังสนั่นในตอนที่ดวงจันทร์ปะทะเข้ากับพื้นเวที ดวงจัทร์ดวงนี้สว่างราวกับเปลวเพลิงทรงพลังกว่าของจางเหอก่อนหน้านี้เสียอีก สนามประลองขนาดใหญ่ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษหินระเบิดเป็นคลื่นปลิวไปทุกทิศทาง ฝูงชนกลุ่มที่ยืนอยู่ใกล้หน่อยโดนเศษหินกระแทกเข้าใส่พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสพลังฉีและโลหิตปั่นป่วน เป็นโศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึง
เนื่องจากฝุ่นควันที่กระจายปกคลุมไปทั่วเวทีประลองผู้คนที่อยู่ด้านหลังไม่อาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ พวกเขาวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ข่างเป็นจันทราโชติช่วงที่รุนแรงอะไรเช่นนี้ พลังของมันอาจจะมากกว่าของจางเหอเสียอีก”
“ฝุ่นลอยไปทั่วทุกที่! ใครเป็นผู้ชนะ?”
แม้ว่าเหล่าฝูงชนจะกังวลเกี่ยวกับผลแพ้ชนะแต่พวกเขากังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า ไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้สนามประลอง มีผู้ที่นอนสาหัสอยู่เป็นตัวอย่างให้พวกเขาดูแล้ว
หลังจากนั้นเป็นพักใหญ่ในที่สุดฝุ่นควันก็จางหายไปและเหล่าฝูงชนก็เห็นสถานการณ์บนสนามประลองได้ชัดเจน สนามประลองสูงกว่าสองเมตรสร้างขึ้นมาจากศิลาผาสวรรค์ในตอนนี้ไม่มีอยู่อีกแล้วเหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จางเหอนอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่มีใครทราบว่าเป็นหรือตาย ดาบอริยะเงาได้หายไปแล้ว
เจ้าลานประลองแสดงสีหน้าสิ้นหวังอยู่ด้านข้างของเวที สนามประลองของเขาที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากและแหล่งรายได้เดียวของเขาได้หายไปแล้ว แม้ว่าเขาจะได้ค่านายหน้าหนึ่งในสิบส่วนจากของเดิมพันมันก็ไม่อาจเอามาโปะความสูญเสียของเขาครั้งนี้ได้
มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้วและทุกคนก็ได้ทราบถึงผลการประลอง เซียวเฉินเป็นผู้ชนะ เขาที่เป็นเพียงระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางเขาล้มระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลางจางเหอ เมืองม่อเหอจะต้องตึกตะลึงกับข่าวนี้และมันจะแพร่กระจายไปทั่วมณฑลฉี่จื๊อ เซียวเฉินล้มจางเหอได้จริงๆแม้จะมีช่องว่างระหว่างขอบเขตพลังก็ตาม ข่าวนี่จะต้องดังเป็นพลุแตก ชื่อเสียงขยะของเซียวเฉินจะถูกลบล้างออกไปด้วยผลการประลองในครั้งนี้ ทุกคนได้ประจักษ์ว่าอัจฉริยะได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้มีอยู่หนึ่งคนที่กำลังยืนตัวแข็งปรากฎสายตาซับซ้อน นั้นคือพี่ชายของเซียวเฉิน,เซียวเจี้ยนมีแก่นกลางอยู่ในมือของเขา แก่นกลางของนาคารุ่งอัคคี ก่อนที่เซียวเฉินจะจากไปเขาโยนมันมาให้เซียวเจี้ยน เขาอยากจะโยนมันทิ้งไปไกลๆเพราะไม่อาจยอมรับความสงสารจากเซียวเฉิน แต่เขาก็ไม่อาจจะทำได้
…
สามวันหลังจากนั้น ณ ตระกูลเซียว
“นายน้อยสอง ผู้อาวุโสหนึ่งส่งคนมาเชิญท่านให้เข้าไปพบอีกแล้ว จะให้ข้าไล่กลับไปเช่นเดิม?” เป่าเอ๋อพูดด้วยเสียงเบาในขณะนี้พวกเขาอยู่ในลานบ้านของเซียวเฉิน เซียวเฉินฟื้นคืนมาจากสภาวะบ่มเพาะพลัง เขายิ้มขมๆอยู่ในใจมันไม่ใช้เรื่องที่ต้องไปเป็นกังวลเลย เรียกข้าไปพบสิบครั้งในสามวัน
ผลของเม็ดยากลืนเมฆาหมดลงไม่นานหลังจากที่การประลองจบลง ผลข้างเคียงของมันตามติดมาในทันที เซียวรีบพุ่งกลับบ้านหลังจากฉกดาบอริยะเงามาแล้ว เขากลัวว่าจะมีการลอบจู่โจมเกิดขึ้น เขาเป็นกังวลว่าผลข้างเคียงของยาจะทำให้เขาอ่อนแอลง
เขาเก็บตัวเงียบมาเป็นเวลาสามวัน ขับผลข้างเคียงของเม็ดยากลืนเมฆาออกจากร่างกาย เขาเก็บข้อมูลมาได้มากมายจากการประลอง
เซียวเฉินปฏิเสธทุกการเข้าพบงดเยี่ยมเยียนทุกกรณี ในตอนนี้เขาทำได้เพียงสกัดผลข้างเคียงของเม็ดยากลืนเมฆาออกไปให้หมด
แม้ว่าเขาจะเข้าใจถึงของผลเม็ดยาจาการใช้มันในการประลองแต่ก็ไม่ได้เข้าใจมันเสียทั้งหมด เขาต้องศึกษามันเพิ่มอีกในอนาคต
ผู้อาวุโสหนึ่งจะต้องส่งคนมาลากเขาเป็นแน่หากเขาไม่ไปพบในครั้งนี้ พอคิดได้ดังนั้นเซียวเฉินก็พูดไปที่ประตู “เป่าเอ๋อ ไปบอกพวกเขาเดียวข้าจะตามไป”
เขาจัดเครื่องแต่งกายและกลั่นกรองสิ่งที่เขาจะเอาไปพูดกับผู้อาวุโสหนึ่ง เซียวเฉินเปิดประตูสูดหายใจเข้าไปคำโตและเดินไปทางบ้านของผู้อาวุโสหนึ่ง ในระหว่างทางเขาได้เดินผ่านศิษย์ตระกูลเซียวสองสามคน สีหน้าของพวกเขาเมื่อได้เห็นเซียวเฉินนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เขามักจะเคยได้ยินเสียงซุบซิบนินทาแต่ในตอนนี้ไม่มีอะไรเลย พวกเขาต่างเคารพเซียวเฉิน เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นจากเหล่าศิษย์ตระกูลเซียวมาก่อน เขาก้าวเดินไปตามทางมาถึงที่ลานบ้านของเซียวเฉียงในอีกครู่ต่อมา
เซียวเฉียงและเซียวอวี่หลันนั่งอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะหินภายในลานบ้าน เซียวอวี่หลันก็ยังคงงดงามเช่นเดิมทำให้ใครที่ได้เห็นต่างก็หลงไหล “น้องเซียวเฉินหลังจากเจ้าดังใหญ่แล้วก็เริ่มทำตัวห่างเหิน ปฏิเสธแม้แต่จะพบพี่สาวคนนี้?” เมื่อเห็นเซียวเฉินเดินตรงเข้ามา นางก็เยาะเย้ยเซียวเฉินด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
เซียวเฉินคำนับไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งก่อนจะนั่งลง “พี่อวี่หลันข้าต้องขออภัยสำหรับเรื่องนั้น ข้าต้องการฟักฟื้นจากอาการบาดเจ็บสองสามวัน ดังนนั้นข้าจึงไม่สะดวกที่จะพบใคร”
เมื่อเซียวอวี่หลันเห็นเซียวเฉินขอโทษเป็นจริงเป็นจัง นางก็รีบพูดขึ้น “ข้าเพียงแค่หยอกเจ้าเล่น ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเจ้ากำลังพักฟื้น”
ตั้งแต่ที่เซียวเฉินเดินเข้ามาสายตาของเซียวเฉียงก็จับไปที่ร่างของเขาอย่างไม่วางตา เขารีบพูดต่อขึ้นทันที “นายน้อยสองยังมีอาการบาดเจ็บอะไรหลงเหลืออีกบ้าง? ในคลังของตระกูลเซียวมีสมุนไพรระดับ 7 เก็บไว้ เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว”
ตั้งแต่ที่ตระกูลเซียวได้เข้ามาครอบครองภูเขาชีเจี่ยวกว่าร้อยปีมันไม่น่าแปลกใจหากพวกเขาจะมีสมุนไพรระดับ 7 เก็บไว้ เซียวเฉินพูดขึ้น “ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสหนึ่งมาก”
“เป็นเช่นนั้นข้าก็เบาใจ ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการทอดสอบคลื่นป่าทมิฬในอีกสองวันข้างหน้า” เซียวเฉียงพูดขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อ “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ถึงรายละเอียดสิ่งที่เจ้าได้รับมาจากถ้ำจักรพรรดิอัสนี?”
คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจได้ว่าทำไมจู่ๆเซียวเฉินถึงระเบิดพลังแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึงเพียงนี้ แต่เซียวเฉียงรู้ได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับถ้ำของจักรพรรดิอัสนี
เซียวเฉินสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงเขารู้มานานแล้วว่าสักวันผู้อาวุโสหนึ่งจะต้องถามคำถามนี้กับเขา เขาวางกระบี่เงาจันทร์ลงบนโต๊ะและพูดขึ้น “นี่เป็นดาบไม้อัสนีของจักรรดิอัสนีใช้ ข้าหลอมมันขึ้นมาใหม่เป็นอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งข้าได้รับการสืบทอดมาจากจักรพรรดิอัสนีจากมัน”
ที่เซียวเฉินเล่ามามีความจริงเพียงครึ่งเดียวแต่มันก็สมเหตุสมผล เขาโกหกเกี่ยวกับการที่เขาได้รับการสืบทอดจากจักรพรรดิอัสนีมาได้อย่างไร เซียวเฉียงฟังเรื่องที่เขาเล่าและพบว่าเขาก็เชื่อ เขาพูดกับเซียวเฉินอย่างรอบคอบ “เจ้า ‘ห้าม’ บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็จขาด มิเช่นนั้นเจ้าจะได้พบกับหายนะ เรื่องนี้มันสำคัญมาก ใครจะรู้เรื่องนี้อาจจะทำให้ตระกูลเซียวของเรายิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก”
จักรพรรดิอัสนีเป็นจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ที่โด่งดังที่สุดในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขาในทวีปกระจายไปอย่างกว้างขวางฝังลึกเข้าไปในใจของผู้คน หลายคนฝันถึงอยากจะรับการสือบทอดจากเขา หากมีใครรู้ว่าเซียวเฉินได้รับการสืบทอดจากจักรพรรดิอัสนีเขาจะตกเป็นเป้าไล่ล่า
เซียวอวี่หลันหยิบกระบี่เงาจันทร์ขึ้นมาตรวจดูก่อนที่จะพูดขึ้น “กระบี่เล่มนี้คือของนำโชคของน้องเฉินอย่างแท้จริง ในตอนนั้นกระบี่เล่มนี้ก็ช่วยให้เราหนีออกมาจากลหลุมนั้นได้ ในตอนนี้มันยังมอบการสืบทอดของจักรพรรดิอัสนีให้น้องเฉิน เป็นกระบี่ที่ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง”
เซียวเฉินยิ้มในใจ แม้ว่าพี่สาวของเขาอวี่หลันจะเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ ความคิดของนางก็ยังง่ายๆ อาวุธปีศาจอันแข็งแกร่งตอนนี้นางเอาคำว่า ‘ของนำโชค’ มาแปะลงไป ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบดาบอริยะเงาออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและยื่นไปทางเซียวอวี่หลัน “พี่อวี่หลัน ในตอนนั้นเจ้ายกศิลาแสงจันทร์ให้ข้าทั้งหมด ข้าให้ดาบอริยะเงาเล่มนี้เป็นการตอบแทน”
เซียวอวี่หลันยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น “ข้าไม่อาจรับมันไว้ได้ ผู้นำตระกูลจางมาที่นี้หลายต่อหลายครั้งในสองสามวันที่ผ่านมา เขาอยากจะได้มันคืน”
“พวกเราไม่อาจจะให้พวกมันซื้อคืนไป นี่มันเป็นของที่เราได้มาอย่างชอบธรรม เอาเป็นว่าแค่ช่างพวกมันไป” เซียวเฉินพูดขึ้น “ดาบอริยะเงาเล่มนี้หลอมมาจากเหล็กน้ำค้างเหมันต์ระดับสูง” นอกจากนั้นมันยังบรรจุพลังฉีคุณธรรมเอาไว้ อย่างไรก็ตามเพราะว่าตอนที่หลอมมันขึ้นมานั้นพวกเขาใช้ศิลาแสงจันทร์ไปไม่มาก ระดับของมันเลยต่ำลงไป ความจริงคุณค่าของมันควรจะสูงกว่านี้
พูดกันตามจริง เซียวเฉินก็ไม่อยากจะยกดาบเล่มนี้ให้เซียวอวี่หลันนัก หลังจากที่ทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ของเขาขึ้นมาถึงชั้นที่ 2 เขาคิดอยากจะหลอมของอุปกรณ์ป้องกันขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจจะทำได้เนื่องจากขาดวัตถดิบสำคัญ เขาเชื่อว่าเขาจะสามารถสร้างสมบัติที่คุณภาพเหมาะสมออกมาได้หากเขาเก็บดาบเล่มนี้ไว้ หากมันถูกซื้อกลับไปที่ตระกูลจางมันก็คงเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของเซียวเฉิน
เซียวอวี่หลันเห็นท่าทีเป็นกังวลของเซียวเฉินก็ยิ้มขึ้น ใบหน้าของนางงดงามราวกับมวลดอกไม้และไม่ปรากฎสีหน้าเย็นชาตามปกติของนาง นางพูดขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อของเจ้าก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เราจะไม่คืนของที่พวกเราได้รับมาโดยชอบธรรม หากมันเป็นสิ่งที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าก็จะรับไว้”
เซียวเฉินเขินอาย พี่สาวอวี่หลันบุคลิกเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากเจ้าหญิงน้ำแข็งที่จะแช่แข็งทุกคนเมื่อได้เห็น นางยังเล่นมุกตลกออกมาถึงสองครั้ง ช่างโชคร้าย เขาไม่เข้าใจได้ว่านางกำลังเล่นมุกตลกหยอกล้ออยู่ เขาไม่อาจเข้าใจถึงความคิดของผู้หญิงได้ พูดคุยเล่นกับผู้คน…. น่าจะขึ้นอยู่กับคนที่นางคุยด้วย หากศิษย์ตระกูลเซียวคนอื่นได้มาเห็นสาวงามน้ำแข็งชื่อดังแห่งตระกูลเซียวกำลังพูดคุยหยอกล้อกับเซียวเฉิน พวกเขาคงแปลกใจไม่ใช่น้อย
ทั้งสามพูดคุยกันเรื่องคลื่นป่าทมิฬต่อไปอีกเป็นเวลานาน เซียวเฉียงเล่าถึงประสบการณ์ในป่าทมิฬที่เขาเคยเข้าร่วมให้กับทั้งสองคนฟังโดยปราศจากความลังเล มีบางอย่างเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ในขณะที่เซียวเฉินกำลังจะกลับออกไปผู้อาวุโสหนึ่งถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณยุทธของเซียวเฉิน นอกจากนั้นเขาอยากจะขอตรวจดูมันเป็นการส่วนตัว
นี่มันทำให้ความสงสัยในใจของเซียวเฉินเมื่อนานมาแล้วหวนคืนกลับมา อาจเป็นไปได้ว่าจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้ามีความลับที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้?
เมื่อจิตสำนึกของเซียวเฉียงเข้ามาในร่างของเซียวเฉิน เซียวเฉินซ่อนจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าไว้ในก้อนเมฆขาว จากนั้นเขาใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อเลียนแบบเปลวเพลิงสีม่วงขึ้นมา แม้ว่านี่มันจะซ่อนไว้จากเซียวเฉียงได้ เซียวเฉินก็ยังครุ่นคิดถึงข้อสงสัยของเขา เซียวเฉินโดดลงบนเตียงพร้อมกับขบคิด
ทำไมผู้อาวุโสหนึ่งถึงได้ติดใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณยุทธของเขานัก? จิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าของเซียวเฉินที่ไม่ได้ปรากฎตัวมากว่าพันปี มันไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะตื่นตัว อย่างไรก็ตามเซียวเฉินรู้สึกได้ถึงความกลัวจากผู้อาวุโสหนึ่ง ความหวาดกลัวต่อมังกรฟ้า ทุกครั้งที่เขายืนยันได้ว่าจิตวิญญาณยุทธในร่างของเขาไม่ใช่มังกรฟ้าสีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งกลายเป็นโล่งใจ
ความลับที่ถูกปิดซ่อนไว้ของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าคืออะไรกันแน่?
จากนั้นเสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากหยกวิญญาณสีเลือดที่อยู่ตรงหน้าอกของเซียวเฉิน มันมองไปทั่วเพื่อหาตัวอ๋าวเจียว ท่าทางเป็นกังวลของมันช่างดูน่ารัก เซียวเฉินมองไปที่เสี่ยวไป๋ก็ปรากฎรอยยิ้ม ทุกทุกครั้งที่เจ้าตัวน้อยนี่กระโดดออกมามันจะต้องมองหาอ๋าวเจียวเสมอ เมื่อมันหาไม่เจอมันก็จ้องมาที่เซียวเฉินด้วยสายตาน่าเวทนา
เซียวเฉินรู้ว่ามันติดใจพลังที่มันกินไปในวันนั้น อย่างไรก็ตามอ๋าวเจียวถูกผนึกไว้ในกระบี่เงาจันทร์ เซียวเฉินไม่อาจรู้ได้ว่าจะได้พบกับนางอีกเมื่อไหร เมื่อคิดถึงตรงนี้เซียวเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ ปราศจากสาวน้อยผู้นั้นอยู่รอบข้างก็เหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
อุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมาเซียวเฉินเริ่มส่งพลังปราณเข้าไปในร่างของมันหมุนเวียนวิถีบ่มเพาะเก้ามายาสวรรค์
เขาเริ่มทำเช่นนี้มาสามวันหลังจากที่กลับมา สัตว์อสูรวิญญาณเริ่มบ่มเพาะพลังเร็วเท่าไหรก็ยิ่งดีเท่านั้น เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์อสูรงิญญาณระดับ 6 มาตั้งแต่กำเนิด มันจะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับเซียวเฉินในอนาคต