Immortal and Martial Dual Cultivation – ตอนที่ 63 ป่าทมิฬ

ตอนที่ 63 ป่าทมิฬ

เหลืออีกเพียงสองวันเท่านั้นที่จะถึงการทดสอบในป่าทมิฬ ระหว่างวันเขาไตร่ตรองถึงการต่อสู้กับจางเหอ ในขณะที่ตอนกลางคืนเขาบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์

เซียวเฉินรู้สึกได้ว่าเขาได้มาแตะขอบของทักษะแปรลักษณ์ของต้นกำเนิดปัญญายุทธแล้ว อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขากลับมาเขาอยากจะใช้สยายปีกแต่หลังจากพยายามมาหลายครั้งกลับพบว่าเขาไม่สามารถใช้มันได้อีกแล้ว เซียวเฉินพยายามคิดถึงเหตุผล หนึ่งเหตุผลหลักเลยก็คือในตอนนั้นเขาถูกจันทราโชติช่วงกดดันจนทำให้ร่างกายของเขารีดประสิทธิภาพออกมาจนถึงขีดสุด อีกเหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาใช้เม็ดยากลืนเมฆาทำให้ความแข็งแกร่งของเขายกระดับมากกว่าระดับพลังปัจจุบันของเขาจนเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นอันไหนการทดสอบป่าทมิฬก็เติมเต็มความหวังให้เขาได้ โดยการทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์กดดันและอันตราย ในระหว่างความเป็นความตายอาจจะสามารถทำให้เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ทักษะแปรลักษณ์ของต้นกำเนิดปัญญายุทธ การเข้าสู่การต่อสู้ไปเรื่อยๆจะยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายของเขา การเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังอย่างสันโดษไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร

สองวันต่อมาก็ถึงกำหนดการการทอดสอบ ผู้อาวุโสหนึ่งนำทางเซียวเฉินและคนอื่นๆไปที่ใจกลางเมืองม่อเหอ ทั้งสามตระกูลใหญ่และตระกูลอื่นๆจะมารวมตัวกันที่นี้ จากนั้นด้วยการนำของเจ้าเมืองม่อเหอพวกเขาจะตรงไปยังชายขอบป่าทมิฬและการทดสอบก็จะเริ่มขึ้น

ในครั้งนี้มีสิบคนจากตระกูลเซียวเข้าร่วมในการทดสอบ อย่างน้อยทุกคนจะอยู่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูง เซียวเจี้ยนและเซียวอวี่หลันทั้งคู่อยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในสามตระกูลใหญ่

เมื่อพวกเขามาถึงที่ลานกลางเมือง พบว่าทั้งตระกูลจางและตระกูลถังได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองตระกูลมองมาที่ตระกูลเซียวอย่างไม่เป็นมิตร พวกเขาทั้งสองตระกูลทนทุกข์ทรมานจากน้ำมือของตระกูลเซียว ความเกลียดชังเก่าที่ซ้อนทับด้วยความเกลียดชังใหม่และพวกเขาอยากจะถล่มตระกูลเซียวให้ราบไปซะเดียวนี้

มีแท่นหินอยู่ตรงกลางของลาน เจ้าเมืองยังไม่ปรากฎตัวออกมาตอนนี้  เซียวเฉินและเซียวอวี่หลันพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย พวกเขาคิดว่าเจ้าเมืองนั้นปล่อยให้คนอื่นรอเพื่อที่จะอวดฐานะของเขา

“เจ้าจะต้องเป็นเซียวเฉิน”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยอยู่นั้นเองก็มีคนเดินตรงเข้ามาจากด้านข้าง เซียวอวี่หลันหันไปมองบุคคลนั้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย นางพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “นั้นคนจากตระกูลถัง” ด้วยสัมผัสวิญญาณของเขาเซียวเฉินเห็นผู้ที่ปรากฎตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน เขาไม่ได้แปลกใจ เขาหันไปหาและยิ้มขึ้น “เป็นข้าเอง ข้าสงสัยว่าพี่น้องถังเฟิงมีธุระอะไรกับข้า”

เมื่อถังเฟิงได้ยินเซียวเฉินเรียกชื่อเขาออกมาเขาก็รู้สึกแปลกๆ ถังเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไป “ไม่มีอะไรพิเศษ พี่น้องเซียวมีชื่อเสียงโด่งดังแล้วตอนนี้ทุกๆคนในเมืองม่อเหอต่างรู้จักเจ้า ข้าก็แค่อยากมาผูกมิตรด้วย”

เซียวอวี่หลันยิ้มอย่างเย็นชา “ผูกมิตร? พี่ใหญ่ของเจ้าถังหยวนถูกฆ่าบนภูเขาชีเจี่ยว แทนที่จะมาล้างแค้นเจ้ากลับมาผูกมิตร?” หลังจากที่ถังเฟิงได้ยินดังนั้นรอยยิ้มของเขากว้างขึ้นไปอีก “เจ้าหมอนั้นมักจะมาท้าทายข้าอยู่เสมอ ตอนนี้มันก็ได้ตายด้วยน้ำมือของพี่น้องเซียว มันสมควรแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะกล่าวขอบคุณด้วยซ้ำ ทำไมข้าจึงจะต้องมาแก้แค้น?”

ในใจของถังเฟิงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเก้าอี้ผู้นำตระกูลเขาได้ตบตีแย่งชิงกับพี่ของเขา เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่โบราณกาลไม่ได้ผิดปกติอะไร อย่างไรก็ตามเซียวเฉินนั้นรู้จักเขาตั้งแต่ที่ศาลาหลินหลาง เขารู้ว่ามันเป็นคนเช่นไร ทำไมเขาต้องไปเชื่อคำพูดของหมอนี่?

เซียวเจี้ยนสีหน้าเปลี่ยนเมื่อเขาได้ยินคำของถังเฟิง ไม่รู้แน่ชัดว่าเขาคิดอะไรอยู่

เซียวเฉินเดินไปข้างหน้าของถังเฟิงและกระซิบที่ข้างหู “หินวิญญาณระดับต่ำก้อนนั้นข้าเป็นคนเอาไปเอง ยังอยากจะเป็นเพื่อนกับข้าอีกหรือไม่?”

สีหน้าของถังเฟิงเปลี่ยนอย่างมากและรอยยิ้มเมื่อครู่ก็หุบไปอย่างรวดเร็ว หน้าเขาซีดขาวพร้อมกับพูดขึ้น “คนที่มาป่วนแผนของข้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือเจ้านั้นเอง! อย่าได้อวดดีไป เป็นการดีกว่าที่เจ้าจะไม่เข้าไปในป่าทมิฬ หากเจ้าเข้าไปอยากหวังจะได้กลับออกมา”

เขาสะบัดแขนไปด้านหลังและเย้ยหยันก่อนที่จะเดินจากไป

เซียวเฉินรู้สึกขุ่นควงในใจ ตามคำของถังเฟิงเป็นไปได้ว่ามีความตายรอเขาอยู่ที่ป่าทมิฬ

“น้องเฉินเจ้าไปพูดอะไรถึงทำให้เขาทำหน้าน่าเกียจออกมาได้เช่นนั้น?” เซียวหวี่หลันถามออกมาอย่างสงสัย พวกศิษย์ตระกูลเซียวคนอื่นๆก็มองมาที่เขาอย่างสังสัยเช่นกัน เซียวเฉินยิ้มขึ้น “ข้าบอกว่าเจ้าล้างหน้ายังไงขี้ตายังติดอยู่เช่นนั้น ด้วยสารรูปเช่นนี้ยังกล้าลุกมาพูดคุยกับผู้อื่นมันช่างเสียมารยาท”

ฝูงชนต่างหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น มีเพียงเซียวเฉินที่ยังมีเงาอยู่ในใจ เขาไม่อาจจะสลัดมันออกไปได้แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังไงเขาก็ต้องเข้าไปในป่าทมิฬ

ช่างแม่ง! เรื่องเกิดก่อนค่อยจัดการ ข้าพร้อมแล้ว ยิ่งคิดมากในตอนนี้ก็มีแต่จะเพิ่มความกังวล เซียวเฉินปลอบใจตัวเอง

ในตอนนี้ ทันใดนั้นฝูงชนก็ส่งเสียงขึ้นมา เซียวเฉินมองขึ้นไปเห็นว่านั้นคือเจ้าเมืองตู้กู่เฟิงที่ปรากฎตัวออกมา นี่เป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดในเมืองม่อเหอ เซียวเฉินอยากรู้อยากเห็นเขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปก็พบว่าเขาไม่อาจมองเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเจ้าเมือง

เขางุนงงประหลาดใจ คิดไปคิดมาการบ่มเพาะพลังของท่านเจ้าเมืองน่าพิศวง เซียวเฉินไม่แม้แต่จะคิดว่ามันเป็นเพราะเเข็งแกร่งเกินไปจนเขาสัมผัสพลังไม่ได้

ท่านเจ้าเมืองพูดกล่าวสองสามคำและแนะนำตัวผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขา ทันใดนั้นก็มีจุดเล็กๆปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อจุดสีดำนั้นบินเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัดเจน มันคือสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกขนาดใหญ่ – ค้างคาวมู่ลี่ มันเป็นค้างคาวกลายพันธ์ุ มันไม่มีขนบนร่างกายและมีผิวดำเงา ขนาดตัวของมันใหญ่มากเมื่อกางปีกออกเมื่อมันกางปีกจนสุดวัดได้กว่าสิบเมตร

มันร่อนลงและเกิดเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่บนพื้นฝุ่นหินดินทรายลอยไปทั่วบริเวณทำให้ทุกคนต้องหลับตาลง

กลุ่มของตระกูลเซียวที่ติดตามเซียวเฉียงมามองไปที่ค้างคาวมู่ลี่อย่างตื่นเต้น พวกเขาในกลุ่มนี้ไม่มีใครเคยเห็นค้างคาวมู่ลี่มาก่อน ในตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะได้ขี่พวกมัน เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้น

แม่ว่าเซียวเฉินจะมีคาถาแรงโน้มถ่วงที่ทำให้เขาบินขึ้นไปได้ เขาก็ยังคงคาดหวังในตัวค้างคาวมู่ลี่ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่จะได้ขี่มัน

หลังจากที่ค้างคาวมู่ลี่กางปีกสุดสุดหลังและปีกของมันก็เหมือนกับแท่นขนาดใหญ่ ด้วยคำแนะนำจากผู้คุมทุกคนถอดรองเท้าและถุงเท้าของพวกเขาก่อนที่จะปีนขึ้นไปด้วยเท้าเปล่า

เมื่อยืนอยู่บนหลังของค้างคาวมู่ลี่ด้วยเท้าเปล่าเซียวเฉินรู้สึกราวกับเท้าถูกดูดติดไว้อย่างแน่นหนา เมื่อเขาต้องการจะยกเท้าขึ้นเขากลับยกเท้าก้าวออกไปได้อย่างง่ายดายราวกับยืนบนพื้น เซียวเฉินรู้สึกประหลาด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสัตว์อสูรประเภทบินส่วนใหญ่ที่มักจะเอามาใช้งานกันก็คือค้างคาวมู่ลี่ แม้ว่ามันจะดูน่าเกียจไปนิดหน่อยแต่มันก็สะดวกมาก

ค้างคาวมู่ลี่ร้องออกมาก่อนที่จะสร้างพายุ ด้วยเสียง ‘สูว’ มันก็บินขึ้นไปในอากาศ เจ้าค้างคาวมู่ลี่นี่ไม่ได้ใช้การกระพือปีกเพื่อบินขึ้นกลับกันมันใช้การควบคุมอากาศแทนมันรวดเร็วมาก

ฝูงคนบินออกไปและเมืองม่อเหอก็เล็กลงเล็กลงจนในที่สุดมันก็กลายเป็นจุดเล็กๆก่อนที่จะหายไป เสียงของลมดังมากแต่ก็ไม่มีใครตื่นกลัวเนื่องจากแรงดูดที่ใต้เท้า รอยยิ้มของพวกเขาไม่ได้จางหายไป

พื้นที่ของป่าทมิฬค่อนข้างห่างไกลจากเมืองม่อเหอ แม้จะนั่งค้างคาวมู่ลี่มามันก็ใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมง เซียวเฉินไม่อยากจะเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ดังนั้นเขาจึงนั่งขัดสมาธิเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลัง ใบหน้าของเซียวเฉียงเต็มไปด้วยความยินดี เซียวเฉินทั้งไม่หยิ่งผยองอารมณ์ไม่ร้อนและเขายังเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิอัสนี เขาจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต

จากอิทธิพลของเซียวเฉินคนอื่นๆก็สลัดความตื่นเต้นออกและนั่งลงขัดสมาธิเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังเช่นเดียวกัน

“ปัง!”

หลังจากบินมาเป็นระยะเวลานาน ในที่สุดค้างคาวมู่ลี่ก็หยุดลง เซียวเฉินลืมตาขึ้นใส่ถุงเท้ารองเท้าของเขาก่อนที่จะกระโดดลงอย่างนุ่มนวล

เขาเห็นป่าทึบสีเทาอยู่เบื้องหน้า เขาคิดในใจนี่จะต้องเป็นป่าทมิฬ ข้าสงสัยจะมีเรื่องประหลาดใจอะไรรอข้าอยู่

ในจังหวะนั้นเซียวเฉินก็สัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันตรงมาทางเขา มองไปยังทิศทางที่รังสีฆ่าฟันพุ่งมาเขาก็เห็นผู้นำตระกูลจาง เขาไม่พยายามปกปิดมันแม้แต่น้อยในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง คลื่นเจตนาฆ่ากระหน่ำมาทางเซียวเฉินแต่เขาก็ไม่ได้ตื่นกลัวแม้แต่น้อย ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้ใส่ใจอะไรแม้แต่น้อย

“ผู้อาวุโสเซียว คนเหล่านี้คือคนที่ตระกูลเซียวส่งมา?” เจ้าเมืองม่อเหอนำผู้เฒ่าสี่คนตรงเข้ามา

เซียวเฉียงพยักหน้าและชี้ไปที่พวกเขาทั้งสิบ เมื่อเขามาถึงเซียวเฉียงภายใต้คำขอของท่าเจ้าเมืองเซียวเฉียงก็แนะนำตัวพวก

“ผู้อาวุโสเซียวนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านมา ท่านเข้าใจกฎชัดเจนใช่หรือไม่?”

เซียวเฉินพยักหน้า “ในสิบคนที่ข้านำมาขอบเขตพลังที่สูงที่สุดในหมู่พวกเขาคือระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลาง อายุมากที่สุดคือ 18 ท่านเจ้าเมืองสามารถตรวจสอบได้”

สำหรับการทดสอบป่าทมิฬ ผู้เข้าร่วมต้องมีระดับขอบเขตพลังไม่เกินเชี่ยวชาญยุทธและอายุต้องไม่เกิน 20 ปี หากพวกเขาระเมิดข้อกำหนดพวกเขาอาจจะถูกฆ่าได้ เซียวเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอกเขาไม่ได้คาดคิดถึงข้อกำหนดนี้ หากไม่มีระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธเข้ามาต่อให้ตระกูลถังและตระกูลจางร่วมมือกันมาจัดการกับเขา เขาก็ไม่กลัว

หลังจากที่ตู้กู่เฟิงและกลุ่มของเขาจากไปเซียวเฉียงก็มองไปที่คนที่เขาพามาอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะไม่อธิบายถึงอันตรายของป่าทมิฬพวกเจ้าทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว หากในหมู่พวกเจ้ามีความขุ่นเคืองกันให้วางมันทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน”

“การทอดสอบนี้มันยากลำบากมาก เซียวเฉินจะเป็นผู้นำกลุ่ม คำสั่งของเขาคือคำสั่งของข้า”

เมื่อทั้งกลุ่มได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความประหลาดใจในสายตาของพวกเขาแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความแข็งแกร่งของเซียวเฉินมันไมน่าแปลกที่เขาจะได้เป็นผู้นำ

เซียวเฉียงยกมือปรามห้ามปากของเซียวเฉินไว้ “ห้ามปฏิเสธ ข้ายังไม่ได้บอกภารกิจของเจ้า นำพาคนกลุ่มนี้และห้ามให้มีใครตาย เก็บแก่นกลางปีศาจระดับ 2 มา 200 ชิ้นและภาระกิจของเจ้าจะเสร็จสมบูนณ์”

เซียวเฉินอับจนหนทางแต่ผู้อาวุโสหนึ่งได้ตัดสินใจไปแล้วและเขาไม่อนุญาตให้มีใครปฏิเสธ เซียวเฉินต้องรับอย่างจำใจและช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงทุกคนก็เตรียมตัวเสร็จ ด้วยการนำของเซียวเฉินทุกคนก็เดินเข้าไปในป่าสีเทา พวกเขาก็เห็นอีกสองกลุ่มกำลังเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

“หนาวชะมัด!”

ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในป่าพวกเขาทุกคนรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่จู่โจมเข้ามา โคลนบนพื้นสีดำสนิทและทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบาย เงยหน้าของเขาขึ้นไปต้นไม้สูงส่งกิ่งก้านบังแสงอาทิตย์ป่ามืดสนิท ทัษนะวิสัยของทุกคนพล่ามัว เซียวเฉินมองไปทางข้างหน้า เขาเห็นหมอกสีดำเต็มไปในอากาศทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน

เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปและพบว่ามีพลังอะไรไม่รู้ขัดขวางอยู่ สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินไปได้ไกลเพียง 200 เมตร

เซียวเฉินประหลาดใจเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโวยวาย เซียวเฉินหยิบแผนที่ที่ได้รับจากผู้อาวุโสหนึ่งออกมาดูจากนั้นก็เดินนำกลุ่มของเขาไปข้างหน้า

หลังจากนั้นยี่สิบนาทีทิวทัศน์ด้านหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็มีบางคนทนไม่ไหวและบ่นออกมา “เซียวเฉินเจ้าจะพาเราไปที่ไหน? หลังจากเดินกันมานานแล้วพวกเราก็ยังไม่เห็นอสูรปีศาจสักตัว หากยังเป็นเช่นนี้พวกเราคงไม่อาจจะเก็บรวบรวมแก่นกลางปีศาจได้ครบ 200 ชิ้น”

เซียวเฉินรู้สึกช่วยไม่ได้ในใจ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีคนทนความเหงาไม่ไหว งานผู้นำนี่มันน่ารำคาญเสียจริง

“เจ้ากระตือรือล้นที่อยากจะพบกับอสูรอสูร ไม่กลัวที่จะถูกมันจับกิน?” บางคนพูดหยอกเขาขึ้นมา

“ปากพล่อย! ข้ามาเพื่อฆ่าพวกอสูรปีศาจไม่ใช่กระโดดเข้าปากมัน”

“มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” คนคนนั้นพูดออกมาเสียงดัง

เซียวเฉินไม่อยากไปยุ่งด้วย แต่อย่างไรก็ตามเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย เขารีบตะโกนออกมา “อันตราย! ทุกคนระวังตัว”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที คนที่พูดขึ้นมาก่อนหน้านี้มองไปมอบๆก็ไม่เจออะไร เขาพูดขึ้น “อันตราย? อันตรายไหนที่เจ้าพูดถึง? ข้าหาไม่เห็นเจอ?”

“ฟุ่ว!ฟิ่ว!”

ข้างบนหัวคนที่เปิดปากพูดออกมา คนรอบข้างได้เห็นฉากน่าสยดสยอง มีลิ้นยาวสีแดงสดยื่นลงมาและคว้าตัวเขาดึงขึ้นไป

Immortal and Martial Dual Cultivation

Immortal and Martial Dual Cultivation

เซี่ยวเฉินได้ซื้อ ‘ตำราบ่มเพาะพลัง’ มาจากเถาเป่าพร้อมกับเม็ดยาเซียนที่จะทำให้เซี่ยวเฉินเข้าสู่โลกแห่งเซียนได้ ถึงกระนั้นเขาได้เขาได้ฝึกฝนตามตำรามากว่าสามปีแต่กลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจที่จะกินเม็ดยาเซียนเข้าไปและมันทำให้เขาข้ามภพไปเกิดในร่างของเด็กหนุ่มที่มีชื่อเดียวกับเขา ไปสู่โลกทวีปเทียนหวู่ไปสู่โลกที่ถูกปกครองด้วยศิลปะการต่อสู้ไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของเขา ผู้แต่ง : 月如火 Reach the peak of immortal cultivation and become able to run amok without fear! Use the power of martial arts to rule the world and defeat heroes! The weather changes at the whim and wave of a palm. He who cultivates both immortal techniques and martial arts, who could possibly defeat him! Xiao Chen is a shut-in who purchased a ‘Compendium of Cultivation’. Soon after, he crossed over into the Tianwu World, a world ruled by martial arts. He then refined pills, drew talismans, practiced formations, crafted weapons and cultivated the Azure Dragon Martial Soul that had not been seen for thousands of years. This is a story that tells of an exciting and magnificent legend!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset