บทที่ 161 – การผสานของเพลิงสีแดงและน้ำแข็งสีเงิน (4)
หลังจากที่พวกเราพักกินอาหารกันเสร็จ พวกเราก็ได้ขึ้นบันไดไปซึ่งสิ่งที่รอคอยพวกเราอยู่ก็คือห้องโถงขนาดใหญ่และโคมระย้าที่ห้อยลงมาจากเพดาน แน่นอนว่ามันยังทำาจากน้ำแข็งเช่นเดิม นอกจากนี้ก็ยีงมีค้างคาวนับพันที่เกาะอยู่บนโคมไฟ แม้ว่าพวกเราจะจัดการมันได้ง่ายๆ แต่พวกเราก็กังวลเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าปราสาทนี้มันใหญ่กว่าที่เราคิดเอาไว้
“ถ้าเราปล่อยมันไว้จนมันเปลื่ยนเป็ฯพื้นที่ดันเจี้ยนจะเป็นยังไงนะ”
“ฉันก็ไม่รู้เวลาหรอก แต่ว่ามันก็ไม่นานก็จะเป็นแบบนั้นแหละ อย่างล่าสุดพวกมันได้เปลื่ยนเป็นพื้นที่ดันเจี้ยนในวันที 61”
“แล้ววันนี้วันที่ 59…ไม่สิ วันที่ 60 สินะ?”
หรือก็คือถ้าเราคาดการได้ถูกต้องละก็พวกเราจะมีเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการที่มันจะกลายเป็นพื้นที่ดันเจี้ยน ฉันไม่ต้องการจะรีบนัก แต่ว่าความเป็นจริงมันไม่ปล่อยให้เราได้พักสบายๆ
“เราควรจะแยกกันไหม”
“ไม่ พวกเราควรจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพกวเราก่อน พวกเราไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างดังนั้นพวกเราควรจะรวมกันไว้”
แม้ว่าพวกเราจะช้าและดันเจี้ยนกลายเป็นพื้นที่ดันเจี้ยน มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะตาย แต่ว่ามันจะมีปัญหากับโลกมนุษย์ที่มากขึ้นไป อืมม บางทีสถานการณ์นี้มันอาจจะเป็นเรื่องร้ายแรงก็ได้
โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าพวกเราสามารถจะเคลียดันเจี้ยนนี้ได้อย่างง่ายดายถ้าพวกเรามีเอลลิน่าอยู่ฝั่งเดียวกัน ด้วยพลังของเธอที่เหมาะกับวถานที่แห่งนี้แล้วอย่างมาก เธอไม่ได้รู้ว่าเหตุการดันเจี้ยนจะเปลื่ยนไปเป็นพื้นที่ดันเจี้ยนเลย ถ้าเธอรู้ เธอก็จะไม่เมินฉันและเข้ามาช่วยพวกเราแล้ว ถ้าพวกเราไม่ได้เคลียร์ดันเจี้ยน พื้นที่ดันเจี้ยนก็อาจจะคุกคามการใช้ชีวิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
ด้วยความหวังนี้ ฉันจึงพยายามที่จะตรวจหามานาของเอลลิน่าด้วยการตรวจจับมานา แน่นอนว่าฉันไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ในทันที
“ถ้าอย่างนี้แล้ว…”
“ฉันสามารถจะเผาทั้งปราสาทลงไปด้วยไฟของฉัน…?”
“ไม่ ก่อนที่พวกเราจะใช้วิธีที่รุนแรงแบบนี้น พวกเราจำเป็นต้องดูว่ามีใครรอดชีวิตอีกไหม อย่างน้อยที่สุดผู้ใช้พลังระดับ SS ของฝรั่งเศสอาจจะรอดอยู่ก็ได้”
“นายไม่คิดว่าเขาจะถูกจัดการโดยเอลลิน่าหรอ?”
“ฉันหวังว่าผู้ใช้พลังคนนั้นจะไม่มีบุคลิกที่ก้าวล้าว…”
เมื่อพิจารณาถึงสภาพอารมณ์ของเอลลิน่าแล้ว มันไม่น่าเป็นไปได้ที่เธอจะโจมตีใครก่อน หรือก็คือถ้าผู้ใช้พลังของฝรั่งเศสไม่ได้พยายามจะสัมผัสเธอเขาก็คงจะยังมีชีวิตอยู่
ยังไงก็ตามถ้าเขาพยายามจะจับตัวเธอ ด้วยการที่เห็นว่าเอลลิน่ายังสบายดีเขาก็อาจจะถูกแช่แข็งจนตายไปในที่ไหนสักแห่งในปราสาทแล้วก็เป็นได้ การละลายน้ำแข็งและช่วยคนออกมานั้นเป็นไปได้เฉพาะแค่ในนิยายเท่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่่พวกเราจะสามารถทำได้ เมื่อคนถูกแช่แข็งก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว
“รีบๆไปกันเถอะนับจากนี้”
“การเดินเร็วขึ้นมันจะทำให้ยิ่งหนาว”
“ขอโทษด้วยนะ แต่ว่าช่วยทนกับมันที”
สเตตัสสูงๆนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนหรือสองเดือนของคนอื่นๆ พวกเราได้เคลียร์ดันเจี้ยนมาหลายร้อยแห่งโดยไม่หยุดพักและได้รับแต้มโบนัสสเตตัสมามากมายก็เพื่อสิ่งนี้
พวกเราแต่ละคนในตอนนี้ได้ผ่านประสบการมามากมายและการได้รับโบนัสสเตตัสทั้ง 200 แต้มนี้ทำให้พวกเรายืนยันได้ว่าพวกเราได้ออกห่างไปจากขอบเขตของมนุษยแล้ว
คนธรรมก็จะถูกแช่แข็งตายไปในทันทีที่เข้ามาในทีแห่งนี้ แต่ว่าพวกเราเพียงแค่บ่นว่ามันหนาวเท่านั้น หลังจากที่เยอึนกลายเป็นผู้ใช้พลังและกลายเป็นนักสำรวจดันเจี้ยน เลเวลอัพและเพิ่มสเตตัส เธอก็อาจจะไม่เคยรู้สึกร้อนหรือหนาวจนเกินไปอีกเลย เมื่อมาถึงปราสาทนี้และความรู้สึกหนาวเธอก็ไม่เคยรู้สึกเลยแม้แต่นิด เธอมักจะอวดมันเสมอ
“ดังนั้นอดทนกับมัน”
“แล้วเธอไม่สามารถพูดว่า ‘อดทนกับมัน’ ในเมื่อเธอไม่ได้รู้สึกแบบเราเลย”
“…”
เวรเอ้ย ฉันกำลังจะเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดนี้ภายในใจนะ แต่ว่าฉันก็คิดว่าทุกคนก็คงเข้าใจ.. ตระหนักได้ถึงความเป็นจริงมันแตกต่างไปจากอุดมคติของฉัน ฉันได้หมดหวัง จากนั้นฉันก็อธิบายกับเยอึนเกี่ยวกับ ‘ความเย็น’ ให้เธอได้รู้
บนชั้นที่ 1 พวกเราได้เจอกับสิ่งที่เอลลิน่าได้พูดถึง เกราะที่ทำมาจากน้ำแข็ง ฉันไม่สามารถจะเข้าใจ ปกติเกราะมีชีวิตมักจะทำเป็นเพราะธรรมดาแล้วโจมตีนักผจญภัยในตอนเผลอ แต่นี้มันหลอมตัวอยู่กับปราสาทไปเลยนี้สิ
ในกรณีนี้มันไม่มีเวลาสำหรับคำถามใดๆอีก ชั้นที่ 1 นี้มันมีพื้นที่ที่กว้างขางและมันก็เต็มไปด้วยศัตรูและการซุ่มโจมตีนับไม่ถ้วน
“อึก”
“มันกำลังมาอีกทางด้านซ้ายนาย”
“โคมไฟนั่นมันมีชีวิต”
“อุหวา กำแพมมันเคลื่อนไหวอีกแล้ว”
ถ้าหากว่ามันยังมีอีกคำที่ว่า ‘เฮ้ปราสาททั้งหมดเป็นมอนสเตอร์’ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็จะต้องฉีกปราสาทออกจากกัน
โชคดีที่โคมไฟและกำแพงน้ำแข็งมันเป็นน้ำแข็งที่ไปปลอมตัวเท่านั้น มันไม่มีอะไรเลยที่เราจะไว้ใจได้ในปราสาทแห่งนี้
ในเวลาเดียวกันด้วยพวกเราได้ทำลายศัตรูทุกๆตัวในเส้นทาง ปราสาทแห่งนี้ก็ได้ถูกทำให้สะอาดขึ้นอย่างชัดเจน พวกเราได้จบลงด้วยการเคลียร์ชั้นที่ 1 ในเวลาเพียง 2 ชม. เท่านั้น มันเร็วยิ่งกว่าที่เราใช้เคลียร์ชั้นใต้ดินเสียอีก หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ขึ้นไปที่ชั้น 2 ในทันทีด้วยการขึ้นบันไดที่เราได้เจอทางฝั่งตะวันตกของปราสาท
ชั้นที่สองนี้ไม่มีห้องโถงแต่เป็นทางเดินยาวที่มีห้องแยกย่อยหลายๆห้อง น่าแปลกใจมากที่เรารู้สึกถึงตัวตนของมนุษย์จากที่นี่ ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นของเอลลิน่า ฉันได้เรียกคนอื่นๆทันที
“มีคนรอดชีวิตอยู่ เร็วเข้า”
“ชิน ฉันจะเผาชั้นที่ 2 นี้ ฉันจะต้องใช้มานาทั้งหมด ดังนั้นฝากอยู่ใกล้ๆฉันด้วย”
“โอเค ขอบคุณมาก”
เพลิงสีขาวของฮวาหยาได้กระจายออกไปทุกทิศทางและเราก็วิ่งไปในทางที่เราสัมผัสถึงผู้คน ศัตรูที่เราได้เจอในระหว่างทางได้ถูกจัดการอย่างรวดเร็วด้วยกองทัพเพลิงของฮวาหยา เพื่อแลกกับความรวดเร็วนี้ฮวาหยาได้กลายเป็นหน้าซีดและดูเหมือนเธอใกล้จะเป็นลมแล้ว
[ก๊าซซซซ]
หลังจากเวลาได้ภาพไปทั้งค้างคาว หนู ภาพวาด โคมไฟและเกราะทั้งหมดก็ได้ถูกหลอมด้วยไฟของฮวาหยา ดังนั้นพวกเราจึงได้วิ่งต่อไปข้างหน้าโดยปราศจากอุปสรรค ไม่นานนักพวกเราก็ได้มาถึงหน้าประตูบานใหญ่
[อ๊าาาาาาาา]
โกเลมยักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูเหมือนผู้เฝ้าประตูได้คำรามออกมา มันได้ชูไม้กระบองน้ำแข็งขึ้นแต่แล้วก็ถูกละลายลงไปด้วยสัตว์เพลิงสีขาวก่อนที่มันจะได้เหวี่ยงเสียอีก
“ชินฉันจะ….”
“ฮวาหยา!”
ในขณะที่ฉันคิดอยู่มันดูเหมือนว่ากองทัพเพลิงโดยเฉพาะอย่างยิงกับเพลิงสีขาวมันจะสร้างภาระอย่างมากกับร่างกายและพลังมานาของเธอ ในวินาทีที่กองทัพเพลิงได้หายไป ฮวาหยาก็ได้ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ฉันได้รีบวิ่งไปข้างหลังของเธอและจับเธอเอาไว้ ร่างกายของเธอเย็นมาก มันเป็นอาการหนึ่งของการที่สูญเสียมานาโดยสมบูรณ์
“เธอไม่สามารถขยับได้เลยหรอ?”
“ไม่….”
“ฉันคิดว่ามันคงไม่มีทางเลือกแล้ว มันอาจจะอึดอัดหน่อยนึงนะ แต่ว่าฉันจะ….”
“ฉันจะแบกคุณเองพี่สาว คุณจะต้องสบายใจมากกว่าถ้าเป็นผู้หญิงแทนที่จะเป็นผู้ชายใช่ไหม?”
“เยอึน เธอ….”
เมื่อฮวาหยาได้ตอบสนองการสัมผัสของเยอึน เธอก็ยิ้มเงียบๆ จากนั้นเยอึนก็มาข้างหลังฉันและแบกฮวาหยาขึ้นบนหลัง เมื่อนั้นฉันก็คิดว่าพวกเธอได้พัฒนาความสัมพันธ์กันแล้ว! ฉันได้รู้สึกประทับใจมาก ยังไงก็ตามวอร์คเกอร์ที่อยู่ถัดไปจากฉันได้กระซิบออกมาอย่างจริงจัง
“คังชิน ฉันคิดว่านายควรจะไปนายนะ อึก!”
“หืม? อะไรหรอ?”
“ฉันรู้ถึงความซับซ้อน ฉันควรจะเชียพี่สาว แต่…”
“มะ ไม่ มันต้องเป็นรูเดีย ด้วยแบบนี้มันจะมีความหวังบ้างสำหรับฉัน…!”
“เอ๊ะ..? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อพวกเราได้เปิดประตู ภาพโศกนาฏกรรมข้างหน้าของเราก็มากพอที่จะหยุดเรื่องเล็กน้อยก่อนหน้านี้
“พระเจ้า”
“คนพวกนี้….”
ศพแช่แข็งได้มีอยู่ทุกๆที่ ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าหากจะมีคนเข้าใจผิดว่านี่เป็นประติมากรรมน้ำแข็ง มีคนอยู่อย่างน้อย 40 คนโดยที่แต่ละคนต่างก็มีใบหน้าที่แตกต่างกัน แต่ว่ามีท่าทางที่น่าอนาถเหมือนๆกัน เอลลิน่าทำอะไรกันนะ? ด้วยเหตุการที่เหมือนกับหนังสยองขวัญทำให้เราไม่สามารถซ่อนอาการตกใจได้
“ชิน”
“โอเค ฉันรู้แล้ว”
ฉันคิดว่ายังมีคนรอดอยู่ เขาก็อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชในขณะที่ตั้งเท้าของเขาถูกแช่แข็งไปจนเกือบถึงจมูก เขาได้สังเกตเห็นพวกเขาและเปิดตากว้าง แต่ว่าปากของเขาไม่สามารถจะเปิดออกมาได้ ในความจริงแล้วฉันตกใจว่าเขามีชีวิตอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง อย่างแรกฉันได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีมอนสเตอร์เหลืออยู่อีกและจากนั้นก็ถามรูเดีย”
“รูเดียเธอสามารถช่วยเขาได้ไหม?”
“ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้แน่ พวกเราจะต้องละลายน้ำแข็งเขาออกก่อน”
อย่างที่คิดเอาไว้พวกเราจะต้องทำมัน! ในกรณีนี้มันอาจจะดีกว่าที่จะย้ายเขาไปในที่ๆปลอดภัยก่อนที่พวกเรา
คลืดดดด
ได้มีเสียงดังลั่นขึ้น เมื่อพวกเราได้หันไปบอกประตูที่เปิดอยู่ก็ได้ปิดลง นอกจากนี้อากาศโดยรอบก็ได้เย็นขึ้นๆเรื่อยๆ มันเย็นขึ้นจนฉันรู้สึกถึงมัน ฉันพลาดแล้วสินะ? เมื่อฉันกำลังจะขยับชายคนนั้น พ่อก็ได้เรียกออกมา
“เดี๋ยวก่อนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“พ่อหมายยถึงอะไรงงั้นหรอ?”
“ปลายนิ้วของพ่อมันแข็ง”
“จริงจัง….!”
ฉันได้หันไปรอบๆทันทีและตรวจสอบสถานะของพ่อ แม้ว่าพ่อขะพูดออกมาแบบเล่นๆ แต่ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาของพ่อเท่านั้น นอกจากฉันและฮวายหามือและเท้าของทุกๆคนได้แข็งอย่างช้าๆ หรือก็คือศพที่ถูกแช่แข็งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเอลลิน่า แต่ว่าเป็นด้วยการดำรงอยู่ของสิ่งอื่นในพื้นที่นี้
[ก๊าาาาาา]
[กว๊าาาาา]
ศพที่ฉันคิดว่าตายไปแล้วได้เริ่มเคลื่อนไหวขณะที่ส่งเสียงแปลกๆมา ศพของผู้ใช้พลังกำลังถูกใช้งาน
“ฮวาหยา มานาเธอเป็นไงมั้ง!?”
“ฉันต้องการเวลาอีกหน่อยเพื่อเติมมัน”
“อิลิกเซอร์มานารูเดีย!”
“ฉันเปิดช่องเก็บของ…ไม่ได้…”
เวรเอ้ย ถ้าฉันทำได้ ฉันก็จะเปิดช่องเก็บของของรูเดีย แต่ยังไงก็ตามช่องเก็บของนั้นมีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่เปิดได้ นี้ก็อาจจะนับว่าเป็นผลของสถานะหนึ่งสินะ? ถ้างั้นฉันก็น่าจะสามารถแก้ไขมันได้ด้วยวอคลาย ยังไงก็ตามหลังจากที่ฉันคิดถึงเรียกนี้ฉันก็ตระหนักได้ว่าแม้แต่ทักษะวอคลายรั้รนกเลิกได้เพียงแค่น้ำแข็งกัดไม่ก็อาการอัมพาตจากความหนาวได้ แต่ไม่สามารถตะป้องกันอาการถูกแช่แข็งได้ นอกจากนี้ถ้าฉันใช้สถานะสุดยอดเกราะแล้วให้พวกเขาขยับมั่วๆอาจจะเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงขึ้นได้ ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ในกรณีนี้ฉันสามารถทำมันด้วยตัวเองได้เท่านั้น ศพที่ถูกแช่แข็งหรืออีกอย่างก็คือซอมบี้น้ำแข็งได้เข้ามาใกล้ ฉันได้เลียริมฝีปากและกระจายมานาออกไป ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรก็ตามที่แช่แข็งเราฉันก็จะต้องเจอมัน
จากนั้น….
[มนุษย์…. มนุษย์มักจะห่วงแต่ชีวิตของพวกเขาเองเสมอในสถานการณ์ที่คับขัน ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงแกล้งทำเป็นสนใจคนอื่นล่ะ?]
เสียงนั่นได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่ผ่านวัยรุ่น มันเป็นเสียงที่เย็นชา ฉันได้เงยหน้าขึ้นไป
[นายคิดยังไงล่ะ ฮีโร่ของมนุษย์?]
เด็กผู้ชายที่อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงได้มาอยู่ตรงหน้าของฉัน ด้วยท่าทางที่ไม่พอใจเขาได้ดุงบางอย่างบนเสื้อด้วยมือราวกับว่าเขาไม่ชอบอะไรบางอย่าง
[เอาล่ะ นายอาจจะไม่ได้ยินหรือเห็น]
เมื่อฉันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างทันใดนั้นประตูที่ปิดก็ถูกเปิดออก เอลลิน่าผู้ที่หายไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนได้ยืนอยู่ตรงนั้น
“อย่า… ฆ่าเขา”
[เธอ….?]
เมื่อประตูได้ถูกเปิดออก เด็กผู้ชายก็สะดุ้งและหันไปมอง เมื่อฉันเห็นเธอรอยยิ้มที่โล่งอกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากเธอ เมื่อได้เห็นเธอก้าวขึ้นมาเพื่อใครบางคนที่เพียงแค่ให้ราเมนกับเธอ ฉันได้กลายเป็นแน่ใจว่าเราไม่ได้คิดผิด
ฉันสามารถจะรู้สึกได้ถึงชัยชนะในอากาศได้เลย เพื่อให้ชัยชนะนั้นมีความแน่นอนยิ่งขึ้นและเปลื่ยนมันให้เป็นความสุข ฉันได้ทำบางอย่าง
ฉันได้ตัดสินใจที่จะใช้แต้มทักษะที่ฉันได้เก็บเอาไว้