บทที่ 170 – สิ่งที่เธอไม่ได้รับอนุญาต (1)
พวกเราได้นิ่งไปทันที อย่างแรกฉันได้เอาฮวาหยาออกไปอย่างใจเย็นและวางไอน่าลงไปแม้ว่าเธอจะพยายามเกาะฉันก็ตาม
“ลูกเป็นพ่อคนแล้งน้า”
“ใครที่อยากจะไปยกมือที”
ฉันได้เมินพ่อและถามทุกๆคน มันไม่จำเป็นต้องอธืบายอะไรเพิ่มอีก ในเหตุการการจู่โจมนี้พวกเราจะไม่ตายกันจริงๆ ดังนั้นมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว ฉันจะได้ถือว่าเป็นการสำรวจกิลด์และนักสำรวจคนอื่นๆไปในทีเดียวอีกด้วย ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์หรือการสูญเสียสำหรับเรา แต่ว่าพวกเราไม่จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงพวกนั้นเพราะว่าพวกเราไม่ได้รู้จักพวกเขา
“ฉันขออยู่นี่ละกัน ฉันยังไม่แข็งแกร่งพอ บางทีเมื่อฉันได้เลื่อนไปที่ดันเจี้ยนที่สอง…”
“ฉันก็ขออยู่นี่เหมือนกันชิน… พลังในการป้องกันของฉันอาจจะไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับบาซิลิสยักษ์”
วอร์คเกอร์และชูนะเป็นคนแรกที่ปฏิเสธออกมา เยอึนก็ยังยกมือขึ้น
“ฉันก็ไม่ไปเหมือนกันชิน จนกว่าฉันจะได้เรียนเทคนิคที่อาจารย์จะสอน ฉันก็จะมีปัญหาในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ การไปมันอาจจะทำลายความภูมิใจของฉันได้”
ทุกๆคนก็ยังเงียบ ในทางกลับกันคือมีฮวาหยา พ่อ รูเดีย สุมิเระ ไอน่าและฉันที่จะไป ฉันได้ถามกับไอน่า
“ไอน่าหนูไหวนะ?”
“อื้อ! หนูแข็งแกร่งขึ้นแล้วด้วย”
ในตอนนี้เธอได้กลายมาเป็นนักสำรวจเธอได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ปริมาณมานาของเธอแม้แต่เทียบได้กับฮวาหยาแล้ว เมื่อพูดถึงด้านมานาแล้วไอน่าเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ใช้พลังของโลก มันยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่สามารถควบคุมพลังของเธอได้อีกด้วย….
“อื้อ? พ่อร้องไห้หรอ? อย่าร้องไห้สิ!”
“มะ ไม่ พ่อจะร้องไห้ทำไมล่ะ”
ฉันได้ลูบหัวไอน่าและยิ้มออกมา จากนั้นก็หันไปถามรูเดีย
“เธอล่ะโอเคนะรูเดีย?”
“พลังของฉันมันคือการสนับสนุน ดังนั้นมันไม่มีปัญหา ฉันจะเน้นไปที่การสนับสนุนชินและคุณพ่อ”
“ฮ่าๆ ขอบคุณ”
“รูเดีย อย่าไปทำให้คุณลุงยงอูกลายเป็นพ่อของเธอสิ เธอก็จะต้องสนับสนุนฉันเหมือนกันนะ”
“หุหุ ฉันหวังว่าเธอก็จะสนับสนุนฉันเหมือนกันนะเพลรูเดีย”
ฉันไม่จำเป็นจะต้องถามฮวาหยาและสุมิเระ ฮวาหยาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกิลด์และด้วยชื่อของเทพเจ้าที่แท้จริงของสุมิเระนั้นแข็งแกร่งกว่าชูนะอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากดนี้ด้วยความเร็วในการพัฒนาอย่างผิดปกติของสุมิเระ ฉันรู้สึกว่าเธอจะข้ามมาทีดันเจี้ยนที่หนึ่งเร็วๆนี้ แม้ว่าชูนะจะกำลังพยายามอย่างนักับรูเดีย…เอ๊ะ?”
“แล้วนี่รูเดียเธอยังคงปาตี้กับเอลลิสอยู่ไหม?”
“ไม่แล้ว ฉันไม่สามารถจะติดต่อเขาได้พักหนึ่งแล้ว พวกเราก็ยังได้แยกออกไปตอนสองเดือน ดังนั้นพวกเขาก็เลยแยกกันนะ ชูนะและฉันแข็งแกร่งพอที่จะขึ้นไปด้วยตัวเองแล้วในตอนนี้”
….มันดูเหมือนว่าการเคลียร์เหตุการดันเจี้ยนในสองเดือนจะประสบความสำเร็จในการเสริมพลังให้กับทุกคน ฉันได้มองไปที่ทุกคนด้วยรอยยิ้ม ทุกๆคนดูเหมือนจะต่างมีความคิดของตัวเอง
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเราจะไปกันหกคน”
“นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้เห็นนักสำรวจจากดันเจี้ยนที่หนึ่ง ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน…”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันขอเช็คก่อนนะว่าล็อทเต้สามารถจะไปกับเราได้ไหม?”
ฉันได้ส่งข้อความไปหาล็อทเต้ แต่ว่าาเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากตอบมาว่า ‘ฉันเชื่อใจฮีโร่’ ดูเหมือนว่าจะยังคงยุ่งอยู่กับการฝึก มันไม่มีทางเลือกถ้าฉันต้องการจะบินฉันก็คงจะต้องใช้พลังของชาราน่าไม่ก็ขี่ไพก้าเอาแทน
“ถ้างั้นไปกันเธอ”
เมื่อเห็นว่าทุกๆคนได้มารวมตัวรอบๆฉัน ฉันก็ได้กดไปที่ปุ่ม ‘เข้าร่วม’ ในหน้าต่างระบบ จากนั้นมันก็เหมือนกับในตอนที่เราเข้าไปในดันเจี้ยน เราได้ถูกเทเลพอตไปในทันที
พวกเราได้พบว่าเขาอยู่ที่เนินหิน
[ช่องการสื่อสารเหตุการการจู่โจมได้ถูกเปิดขึ้น]
[3 นาทีไป! การจู่โจมจะเริ่มในอีก 3 นาที]
[ชิ นั่นมันไม่พอ! ทำไมลอร์ดถึงไม่ให้เวลาเรามากว่านี้]
[หยุดพูดสัก 10 นาทีได้ไหมราล์ฟ]
ช่องการสนทนาใหม่ได้ถูกเปิดขึ้นมาในทันทีที่เรามาถึงและเสียงของนักสำรวจก็ได้ดังไปทั่ว อย่างแรกฉันได้ตรวจสอบในภูมิประเทศ พวกเราได้อยู่ในจุดที่สูงบนยอดเขาที่มีความยาวประมาณ 3 กม. เมื่อมองจากขอบหน้าผามารวมถึงเราแล้วมีคนประมาณ 100 คน
“เอ๊ะ? มีพวกหน้าใหม่!”
“อะไรนะ กิลด์ใหม่หรอ? ทำไมพวกเขาแค่ไม่กี่คนถึงเป็นกิลด์ระดับ D?”
“โอ้!พวกนายระดับอะไรกัน?”
“ทุกคนระดับทอง”
ฉันได้ตะโกนตอบชายที่สวมเกราะและผ้าคลุมกลับไป แม้ว่าไอน่าและรูเดียจะยังอยู่ระดับเงิน แต่ว่าไอน่านั้นแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงัยแะพลังของรูเดียก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน”
“ทอง!? ระดับทองมามีส่วนร่วมในการจู่โจมระดับ SS+ หรอ? เฮ้ นายไม่รู้เรื่องระดับหรอ? พวกนายควรจะเลเวล 80 เป็นอย่างน้อยสำหรับการจู่โจมระดับ SS+ นะ! นายควรจะมีระดับเป็นแพตตินัมนะเข้าใจไหม?”
“พวกเราจะไม่ตำหนิพวกนายถ้าเราตายดงนั้นไม่ต้องกังวล”
“ชิ เจ้าพวกเด็กใหม่นี้…”
“ราล์ฟหยุดพูดไร้สาระและช่วยปรับสภาพภูมิประเทศหน่อย”
“ฉันจะไปแล้ว ถุ้ย”
โอ้วว สกปรกอะไรแบบนี้ เขาได้ถ่มน้ำลายมาที่พวกเราและหันหน้าไปทางกิลด์ของเขา พ่อได้หัวเราะในขณะที่หยิบเอาหอกออกมา แต่ว่าฉันได้หยุดพ่อเอาไว้
“อะไรล่ะเจ้าลูกชาย! พ่อเพียงแค่พยายามจะสอนมารยาทขั้นพื้นฐานให้สหายคนใหม่เองนะ”
“พ่อ พ่ออยู่ที่ชั้นที่เท่าไหร่?”
“64”
“อีกไม่นานพ่อก็จะไปทันพวกเขาใช่ไหมล่ะ? จากนั้นพ่อก็จะสามารถเอาหอกออกมาได้ พวกเขาเป็นเจ้าของการจู่โจมและมีพลังในการสนับบสนุนความยโสของพวกเขา เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเหนือกว่าในด้านพลัง ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่สามารถจะตอบสนองความหยาบคายของพวกเขาได้
“ฮ่าา… ชั่งเถอะ ตั้งแต่แกเป็นหัวน่า พวกก็จะฟังแกละกัน”
“ขอบคุณครับพ่อ”
“อะแฮ่ม ในตอนนี้แกก็เป็นพ่อคนแล้วนี่ ฉันสามารถจะรู้สึกถึงความจริงใจในคำพูดนี้”
“นั่นมันไม่ได้เกี่ยวซักนิด”
ทุกๆคนที่นี่อยู่ระดับแพตตินัมหรอ? แน่นอนเลยว่าฉันสามารถจะรู้สึกได้เลยว่าแต่ละคนทรงพลังมาก แม้ว่าพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาในด้านสเตตัส แต่ในด้านจิตวิญญาณที่พวกเขาเปล่งออกมามันแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง มันอยู่ในระดับที่ต่างกัน เมื่อป้องกันวิญญาณได้เพิ่มระดับจิตวิญญาณของฉันมันทำให้ฉันสามารถจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างได้ง่ายขึ้น มันเป็นความรู้ที่ซับซ้อนซึ่งอธิบายได้ยาก
“อู..”
“ว้าว ดูท่าทางของชินสิ เขาดูเหมือนว่าเขากำลังจะตายจากการคาดหวัง”
“แต่ว่าท่าทางของพี่สาวก็เหมือนกำลังจะบอกว่าพี่จะกำลังจะตายจากการรักคุณชินมากไป….”
ด้วยรูปลักษณ์ของผู้หญิงในกิลด์เราทำให้มีความสนใจที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ถึงแม้อย่างนั้นก็ไม่มีใครเผยมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง มันดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ว่าอะไรมันสำคัญที่สุดในการจู่โจมนี้
“โอ้ย เพราะนายไม่สามารถจะรับมือกับความเสียหายได้ก็พยามยามเอาตัวรอดล่ะ พวกเราโง่เองที่คิดว่าคนจากดันเจี้ยนที่หนึ่งจะทึ่มพอที่จะเข้ามาในดันเจี้ยนระดับ SS+9 โดยที่ไม่มีแผน ฉันจะพูดให้ชัดๆเลยนะ อย่าได้โทษเราถ้านายตาย”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยชิ้ม ราล์ฟผู้ที่คุยกับเราก่อนหน้านี้ได้ยกมือขึ้นราวกับว่าจะพูดอะไรอีก แต่ครู่หนึ่งเขาก็เดาะลิ้นและเดินจากไป ในเวลาเดียวกันกิลด์รีไวเวิร์ลก็กำลังคุยกันอย่างตื่นเต้น พวกเขาได้วางแผนกันโดยที่ฉันไม่มีสิทธิพูดอะไร
“เฟรมเดรกเป็นเพียงการจู่โจมแบบ 100 คน แต่ว่าเขาก็ทรงพลังมากแล้ว ฉันสงสัยจังเลยนะว่าบาซิลิสจะทรงพลังแค่ไหน”
“อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปลูกสาว พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อรับสเตตัส เธอไม่จำเป็นจะต้องหักโหมและพาตัวไปสู่อันตรายหรอกนะ”
“คุณลุงเรียกหนูว่าฮวาหยาก็ได้ค่ะ… เว้นเสียแต่ว่าคุณลุงจะให้หนูเรียกว่าพ่อก็ได้นะ”
“ฮวาหยา อเลนี่ มัสติฟอร์ด…!”
“คุณปู่เรียกหนูว่าไอน่าได้เลยค่ะ”
“โอ้ววว นั่นมันเยี่ยมมากเลยนะ เรียกปู่อีกทีสิไอน่า”
“คุณปู่!”
เฮ้ พวกพ่อจะดูเหมือนครอบครัวกันเกินไปแล้วนะ ทำไมพ่อถึงทำแบบนั้นเล่า!?
“อย่างน้อยก็มาวางแผนพื้นฐานกัน ฉันสามารถจะเดาได้ว่าการโจมตีของบาซิลิสมันเป็นแบบไหน”
“บาซิลิสเป็นที่รู้จักกันในพลังที่จะทำให้คนกลายเป็นหิน ฉันได้ยินมาว่าลมหายใจของมันก็ยังทำให้กลายเป็นหินด้วย”
“เธอไม่ต้องกังวลเรื่องกลายเป็นหินหรอกด้วยพลังของผืนดิน ฉันสามารถจะต่อต้านพลังนั้นได้”
รูเดียได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ฉันได้เริ่มคิดว่ามันเยี่ยมมากที่พารูเดียมาด้วย
“มันอาจจะมีขนาดที่ใหญ่….”
“ฮวาหยา ไอน่าทั้งคู่ควรจะอยู่ข้างหลังโจมตีในพื้นที่ๆปลอดภัย”
“อื้อ! หนูแข็งแกร่งเมื่อหนูอยู่กับแม่”
“แน่นอนสิ หุหุ แม่ก็ยังแข็งแกร่งเมื่ออยู่กับไอน่า”
“พ่อ สุมิเระแล้วก็ฉันจะอยู่ในแนวหน้าตามปกติ สุมิเระไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังของอาธีน่าเว้นเสียแต่ว่าเธอจะมั่นใจว่ามันจำเป็น”
“โอเค ฉันจะเน้นไปที่การป้องกันนะคุณชิน”
เมื่อฉันได้กำลังจะพูดอะไรกับพ่อ ทันใดนั้นพื้นก็ได้เริ่มสั่นขึ้น
[เหตุการการจู่โจมได้เริ่มขึ้น บาซิลิสได้ปรากฏตัว]
หัวใจของพวกเราได้เต้นแรงขึ้นพวกเราทุกคนได้รอคอยให้บาซิลิสปรากฏตัวออกมา พวกเราแต่ละคนต่างก็หยิบอาวุธออกมาและฉันก็ยังอัญเชิญภูติธาตุทั้งสามของฉัน ในเวลาเดียวกันฉันก็หยิบมานาโพชั่นออกมาเพื่อเตรียมจะดื่มมันและระเบิดโคจรวงจรเพรูต้าในทันที
มันได้ค่อยๆปรากฏตัวออกมา พวกเราไม่สามารถจะซ่อนความจกใจไว้ได้ มันมีขนาดตัวที่ยาวกว่า 300 เมตร ไม่เพียงแค่มันจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ามอนสเตอร์ทุกตัวที่ฉันเคยเห็นมา แต่มันก็ยังปล่อยพลังี่ทำให้กลายเป็นหินอกมาจากปากมหึมาของฉัน ฉันสามารถจะเห็นได้เลยว่าพื้นที่รอบๆได้กลายเป็นหิน
ที่สำคัญก็คือร่างกายทั้งหมดของมันคือ…!
“ชุดเกราะ? อะไรนะแกเป็นไอรอนแมนหรอ?”
“นั่นมันเป็นเหตุผลที่มันถูกเรียกว่า ‘พลัง’”
ฮวาหยาได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ตัวของมันได้ปกคลุมไปด้วยเกราะแปลกๆ เกราะที่คลุมไปทั้งร่างหลายร้อยเมตรของมันมีสัญลักษณ์แปลกๆขนาดยักษ์ที่มีมานาเล็ดลอดออกมา มันเหมือนว่ามันกำลังใส่สูทพลังงาน
[โจมตี! ถ้าผนึกมานาทำงานเต็มที่ พวกเราก็ยำมันเลย]
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าก่อนอื่นโจมตีเลย”
พร้อมด้วยเสียงตะโกนจากสมาชิกกิลด์แมงป่องทะเลทราย พวกเราก็ยังได้ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา รูเดียได้ทุบพื้นด้วยคทาของเธอทำให้มีหินถูกยิงไปใส่บาซิลิส ในขณะนั้นฉันก็สร้างและปาหอกน้ำแข็งยักษ์ที่สร้างจากพลังของริยูู ทุกๆคนในการจู่โจมดูเหมือนว่าจะมีการโจมตีระยะไกลของตัวเอง แต่ว่ามีเพียงแค่ยี่สิบหรือประมาณนั้นเท่านั้นที่เป็นการโจมตีระยะไกลที่ทรงพลัง เกราะของบาซิลิสสามารถจะป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าาาาห์”
จากนั้นฮวาหยาก็ได้สร้างเพลิงสีขาวขนาดมหึมาขึ้นกลางอากาศและโยนมันไปทางบาซิลิสซึ่งมันได้โดนเข้ากับหัวที่ปกคลุมไปด้วยหน้ากากที่หุ้มอยู่ทำให้มันร้อนขึ้นอย่างมาก ในเวลาเดียวกันไอน่าก็โบกมือของเธอแย่แข็งหน้ากากด้วยพลังเยือกแข็งที่มหาศาลและทำมันพังลงไปอย่างง่ายดาย เป็นการผสานกันระหว่างแม่และลูกสาว…ที่น่าทึ่ง
ยังไงก็ตามหลังจากที่ถูกโจมตีบาซิลัสก็ได้หนักได้ว่าการโจมตีนั้นมาจากกิลด์ของในขณะนั้นมันได้หันมาทางเราและพ่นลมหายใจมา
“โอ ผืนดิน”
รูเดียได้เปลื่ยนหินให้กลายมาโล่ดินในขณะที่สุมิเระก็ยืนอยู่หลังโล่นั้นเพื่อเป็นคนป้องกันชั้นที่สอง เมื่อลมหายใจได้สัมผัสเข้ากับโล่และแขนของสุมิเระก็ได้แข็งขึ้นอย่างช้าๆ ยังไงก็ตามอย่างที่รูเดียบอกมาเธอสามารถแก้ไขอากาศแข็งเป็นหินได้อย่างง่ายดาย นักสำรวจคนอื่นๆที่ใช้ทักษะหลบลมหายใจแช่แข็งนั้นก็ได้ส่งเสียงกันออกมาหลังจากได้เห็นใบหน้าที่เปลื่ยนเปล่าของบาซิลิสหลังจากที่หน้ากากพังไปแล้ว
[ไชโย! พวกเราได้เอาหน้ากากมันออกในการโจมตีชุดแรก]
[น่าทึ่งมากใครเป็นคนทำล่ะ]
[พวกระดับทอง]
[ระดับทองงั้นหรอ?]
[….]
[เวร มันมาแล้ว! มันกำลังใช้หางโจมตี]
พื้นดินได้เริ่มสั่นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเราไม่ได้รับผลกระทบจากลมหายใจบาซิลิสจึงพุ่ง้ข่ามาหาพวกเรา ให้ตายสิพวกเราดึงความสนใจมันมากเกินไป บางทีอาจจะเพราะว่ามันมีขนาดที่ใหญ่มากมันจึงทำให้ระยะระหว่างเราสั้นลง
“กระจาย! ทุกคนแยกกันไป! ฮวาหยาและไอน่าไปด้วยกันกับรูเดียหลังแท้ง! คนอื่นๆแยกตัวกันและเข้าไปโจมตีเมื่อมีโอกาส
ฮวาหยาได้กอดรูเดียจากดัานหลังและพาเธอบินขึ้นไป ไอน่าก็ยังบินขึ้นพร้อมกันกับฮวาหยา พ่อได้ออกตัวพุ่งไปในทันที สำหรับสุมิเระ….
“สุมิเระขอโทษนะ”
“คุณชิน มัน…”
ด้วยเกราะหนักและโล่ของสุมิเระทำให้เธอไม่ได้คล่องตัวเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันได้จับเธอเอาไว้และบินไปด้วยพลังของชาราน่า
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเส้นทางก็ได้หลบออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ช้าอยู่แม้แต่ในหมู่ของนักสำรวจระดับแพตตินัม เนื่องจากว่ามีคนที่ไม่สามารถจะหลบได้ทันจึงได้ถูกบดขยี้ไปด้วยน้ำหนักของมันทำให้พลังชีวิตเหลือ 0 ในทันที บาซิลิสนั้นแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่จะน็อคพวกระดับแพตตินัมได้ในการโจมตีครั้งเดียว ฉันสามารถจินตนาการได้เลยว่ามันจะเจ็บแค่ไหนถ้าฉันโดนโจมตี
“ขอบคุณค่ะคุณชิน อู ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถป้องกันมันได้ด้วยโล่เลยแม้แต่นิด”
“เธอเพียงแค่ต้องหลบการพุ่งของมันสู้ๆ”
“…ค่ะ! ถ้าคุณชินพูดแบบนั้น ฉันแน่ใจว่าฉันทำได้”
…ความเชื่อของเด็กคนนี้ในตัวฉันเกือบจะกลายเป็นคล้ายกับคลั่งศาสนาก่อนที่ฉันจะทันสังเกตุ
หลังจากวางสุมิเระลงไป ฉันก็ได้บินกลับขึ้นไป รวมฉันไปแล้วมีคนที่กำลังบินอยู่สามสิบกว่าคน พวกระดับแพตตินัมนั้นแตกต่างไปจากคนอื่่นๆอย่างแน่นอน
[เริ่มต้นจากขาจวา! ขาขวาเข้าใจนะ?]
[โอ้ พวกโจมตีระยะไปไปโจมตีตาซ้ายของมันก่อน! หน้ากากของมันถูกเอาออกไปแล้วดังนั้นพวกนายควรจะโจมตีไปที่หัวมันได้]
[อ่า ฉันสงสัยมาสักพักแล้วนะ แต่ว่าใครที่เป็นแม่มดควบคุมเพลิงนั้น? ฉันอยากจะจ้างเธอมาเป็ฯเลขาให้กับฉัน]
[ฉันระประกันได้เลยว่านายกำลังจะตายในการจู่โจมตีไอคนน่ารังเกียจ]
นักสำรวจได้เริ่มโจมตีที่ขาขวาพร้อมๆกัน บาซิลิสได้เมินการโจมตีระยะไกลที่เล็งมาที่ตาของมันและพ่นลมหายใจแช่แข็งมาที่ผู้โจมตีระยะไกลที่อยู่ใกล้กับขาของมัน
ครึ่งหนึ่งของนักสำรวจได้เมินลมหายใจด้วยความต้านทานที่สูงของพวกเขาและช่วยกันเจาะขาของบาซิลิสด้วยดาบ หอก ขวาน ค้อนและอื่นๆอีกมา ในทางกลับกันอีกครึ่งหนึ่งก็กลายเป็นหินและบางส่วนก็ถอยกลับไป แน่นอนว่าฉันนั้นมีความต้านทานที่สูงผิดปกติฉันจึงเอาชนะการกลายเป็นหินได้อย่างรวดเร็วและเจาะไปที่ขาของมันด้วยเพลิงโกลาหล แม้ว่ามันจะมีเกราะพลังงาน… หรืออะไรทำนองนั้น ส่วนที่ได้ถูกเพลิงก็เริ่มไหม้ขึ้นมา ยังไงก็ตามไฟก็ได้มีขนาดที่เล็กลงมันดูเหมือนว่าเกราะนี้จะมีความสามารถในการดูดซับมานา
[ฮีล]
[ฮีลเลอร์ทำงานหน่อย! ถ้าคนสร้างความเสียหายกว่าครึ่งหายไปมันก็จะจบ]
[ไม่ใช่ว่าสาวผมบลอนด์ในชุดคลุมเป็นเจ้าหญิงที่มีชื่อเสียงจากทวีปลูก้าหรอกหรอ? เธอยังมีชีวิตอยู่]
[เล็งโจมตีไปที่บาซิลิส ถ่วงมันไว้]
จากนั้นเองนักสำรวจก็ได้โจมตีขึ้นไปทันที มันเป็นชายที่สวมใส่เกราะสีน้ำเงินและถือดาบใหญ่ ผ้าคลุมของเขาก็ยงัมีสัญลักษณ์ของแมลงป่องทะเลทราย มีเพียงเหตุผลเดียวที่ฉันไม่สนใจเขาก็เพราะพลังมานาที่ปล่อยออกมาจากเขามันทำให้ฉันสั่น
บาซิลิสได้หันไปหาเขาและเปิดปากออกมา
[ก๊าซซซซซซซ]
“ถล่มเหมันต์”
หลังจากที่เขาได้มาถึงขาขวาของบาซีลิสในทันที เขาก็ได้เหวี่ยงดาบลงไปที่ขาของมัน เขาได้โจมตีลงไปในส่วนที่อ่อนแอที่สุดของเกราะที่เพลิงโกลาหลได้ทำไวว้อย่างถูกต้องซึ่งมันได้ระเบิดด้วยเสียงแตกหักออกมา น่าตกใจมากที่การโจมตีของเขามันไม่ได้จบลงแค่นั้นมันยังแช่แข็งขาขวาส่วนใหญ่อีกด้วย ใช่แล้ว แช่แข็ง น้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมามันดูเหมือนว่าจะไม่สามารถถูกละลายได้ ซึ่งฉันรู้ได้ในทันทีว่าน้ำแข็งที่เขาปล่อยออกมามันคล้ายๆกับเพลิงโกลาหลของฉัน
เมื่อฉันได้เงยหน้าขึ้น ฉันก็เห็นเข้ายิ้มให้กับฉัน มันดูราวกับว่าเขาจะพูดว่า ‘เพลิงของนายน่ะมันดับลงในครึ่งทาง แต่น้ำแข็งของฉันน่ะมันเหนือกว่า’ ไอเวรนี้ ถ้าน้ำแข็งของนายเปิดก่อน เพลิงของฉันก็จะสามารถทำลายเกราะนั่นและขาของมันได้เหมือนกัน
ฉันเพียงแค่ต้องการจะได้รับโบนัสสเตตัสโดยที่ไม่ต้องใช้ทุกอย่างออกไป แต่สวิตภายในตัวของฉันมันได้ถูกสับแล้ว ฉันไม่ต้องการที่จะยอมแพ้แม้ว่าฉันจะต้องตายก็ตาม
ความแตกต่างของเลเวลงั้นหรอ? ช่างแม่งสิ! อาวุธของฉันมันไม่ใช่เลเวลของฉัน แต่นี่…ฉันจะทำให้แกได้เสียใจที่มายั่วโมโหฉันเอง!