บทที่ 208 – คุณสมบัติของนักสำรวจ (5)
วันต่อมาสมาชิกกิลด์รีไวเวิร์ลต่างก็กลับไปในที่ที่ตัวเองอยู่ ลีออนได้ลับอเมริกา โซฟีได้กลับอังกฤษ และมิเชลก็กลับฝรั่งเศษ ยังไงก็ตามสุมิเระกับแวนด์ได้บอกว่าพวกเธอจะยังอยู่เกาหลีต่อ
“หนูอยากจะอยู่ที่นี่ช่วยพี่สาว แล้วก็หนูอยากจะเรียนศิลปะการต่อสู้กับคุณชินให้มากขึ้น”
“แต่ว่าสุมิเระ”
“ฝากตัวด้วยนะคะ”
เห็นได้ชัดเลยว่าสุมิเระได้อาศัยอยู่ด้วยตัวเองเนื่องจากว่าพ่อแม่ของเธอได้จากไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใดๆกับการตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อของเธอ ในขณะเดียวกันคนจากประเทศของเธอก็แทบจะบูชาเธอซึ่งมันดูเหมือนจะทำให้เธอไม่เต็มใจที่จะกลับไป
ส่วยอิเลด้า แวนด์ ฉันรู้สึกตกใจสุดๆที่เธอจะอยู่เกาหลีต่อ ตุรกีมีปัญหาที่จะต้องใช้พลังของเธอในการช่วย ด้วยปฏิกิริยาของพวกเราเธอได้พูดออกมาในขณะหยักหน้า
“เมื่อฉันออกมาจากตุรกี ฉันได้บอกกับพวกเขาแล้วว่าฉันจะไม่กลับไปเพราะว่าฉันจะต้องมุ่งไปที่การปีนดันเจี้ยน ฉันจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับการดูและเรื่องอื่นๆ”
“อืมมม”
“ได้โปรดยอมรับฉันด้วย ฉันจะรับใช้คุณอย่างซื่อสัตว์”
“ไม่ เธอไม่จำเป็นต้องรับใช้ฉันสักนิด…”
จากนั้นเราก็ตัดสินใจที่จะให้เธออยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ยังไงพวกเราก็ต้องการให้คนมาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว หลังจากที่พวกเราได้เห็นอิเลด้า แวนด์เข้าดันเจี้ยนไปในตอนติดต่อกับแรส มิเชล พวกเราแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง สำหรับฉันแน่นอนว่าฉันยังคงมีสิ่งที่ฉันต้องทำซึ่งฉันได้ทิ้งค้างมันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว นั้นคือการเลือกนักสำรวจคนใหม่
จากนั้นในตอนที่ฉันมองไปที่เอกสารที่ฮวาหยาปริ้นออกมาซึ่งรวมไปถึงผู้สมัครใหม่เมื่อวานนี้ก็มีคนมานั่งข้างๆฉันแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าคงเป็นเอลฟ่า แต่เมื่อฉันหันไปก็เจอกับรูเดีย
“รูเดีย”
“…ชินเลือกผู้ใช้พลังรักาาคนใหม่”
“ใช่แล้ว ฉันไม่ได้บอกเธอหรอ?”
“ฉันอยู่ในดันเจี้ยน ดังนั้นฉันเลยไม่รู้ อืมม ชินรู้ไหมว่าชิน…”
มีร่งรอยความไม่พอใจอยู่ในสายตาของรูเดีย ฉันได้มองไปที่ฮวาหยาซึ่งเธอหยักไหล่ออกมาด้วยท่าทางที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไรหรอ”
“ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด อีกไม่นานฉันก็จะกลายมาเป็นระดับทองแล้วด้วย พะ เพราะว่าชินบอกว่าไม่ให้ฉันตัวติดกับชินมากไป ฉันเลยหยุดตัวเองที่จะเข้าไปในห้องของชิน เพราะชินบอกว่าไม่ให้ฉันสู้หรือทำอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆที่เข้ามาดังนั้นอย่าทิ้งฉันไปเลยนะ อ๊ะ”
หลังจากดีดหน้าผากของเธอไป รูเดียก็มองมาที่ฉันแบบใกล้จะร้องไห้”
“ชินดีดหน้าผากฉัน”
“ฉันจะดีดหน้าผากเธอมากกว่านี้เองถ้าเธอยังพูดอะไรที่โง่ๆ ทิ้งเธองั้นหรอ เธอคิดว่าเธอเป็นขยะหรือยังไง การมีฮีลเลอร์สองคนมันดีกว่ามีคนเดียวอยู่แล้ว อย่างน้อยเธอก็น่าจะรู้เรื่อง 1+1 นะ ใช่ไหม”
“ถ้างั้นชินจะไม่ทิ้ง…โอ๊ย”
“นี้คือสิ่งที่ฉันจะทำกับเธอ”
ฉันคิดว่าเธอได้อาการดีขึ้นแล้วในตอนที่เธอไม่ต้องพึ่งฉันอีก แต่ว่ามันดูจะไม่ใช่แบบนั้นเลย ในตอนที่ฉันถอนหายใจออกมา ฮวาหยาก็พูดแทนรูเดีย
“รูเดียกลัวว่าเธอจะไม่ได้ช่วยนายนะ”
คำพูดของฮวาหยาทำให้รูเดียมองไปที่ฮวาหยาอย่างมุ่งร้าย
“เธอรู้ได้ยังไง?”
“พวกเราชอบคนๆเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราจะต้องรู้จักกันและกันหรอ”
“ฉัน… ฉันไม่ได้ชอบเขา ฉันแค่ไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีชิน….”
“จ้า จ้า ถ้าเธอจะพูดอะไรแบบนั้น เธอก็ควรพูดมันหลังจากดื่มนะ ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่มันจะขวางการทำงานของเรา ดังนั้นไปซะ”
“เชอะ ฮวาหยา มัสติฟอร์ด”
เวทย์เคลื่อนย้ายสิ่งของของฮวาหยาช้าได้ผลักรูเดียออกไปจากห้องอย่างช้าๆ รูเดียได้พยายามใช้พลังของเธอแต่ไม่นานเธอก็หยุดมันเอาไว้ ดูเหมือนว่าาเธอจะกลัวว่าเธอจะทำลายคฤหาสน์นี้ ในท้ายที่สุดเธอก็ถูกไล่ออกไปในขณะที่ร้องออกมา เยอึน วอร์คเกอร์ ยุย พ่อและคนอื่นๆก็แอบมองพลังเวทย์ของฮวาหยาที่ผลักคนอื่นออกไปเหมือนกับลูกโบลลิ่ง ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องมาดูเราอย่างสงสัยด้วย แต่ว่าเพื่อลดความอึดอัดนี้ฉันได้หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ ดีจังเลยนะที่ทุกคนร่าเริง”
“กลับไปทำงานซะหัวหน้ากิลด์”
“ครับ คุณผู้หญิง”
ในวันนี้พวกเราได้เลือกนักสำรวจใหม่มาสี่คน พวกเขาทั้งหมดเป็นระดับ S+ และเนื่องจากว่าเราคิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพเราได้ทำให้พวกเขากลายมาเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนที่หนุ่งทั้งหมด
แม้ว่าพวกเราจะใช้สิทธิของพวกเราไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าด้วยนักสำรวจใหม่ทั้งสี่คนนี้ พวกเราก็จะได้รับมันกลับมาในไม่ช้า นี่คือเหตุผลที่เราเริ่มเลือกจากพวกผู้ใช้พลังระดับสูง
เมื่อพวกเราได้พบกับพวกเขาและได้ให้พวกเขาเซ็นสัญญาแล้ว ในท้ายที่สุดก็ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปที่ดันเจี้ยนอีกครั้ง บียอนชั้นที่ 14 มันเป็นนรกที่มีกูลยักษ์และอัศวินโครงกระดูกปรากฏตัวออกมาพร้อมๆกัน
[มนุษย์… กลิ่นของแกน่าอร่อยนะ]
[ตัดมันให้เป็นชิ้นๆ ฆ่าทุกสิ่งที่มีชีวิต— แอ๊ก]
ในวินาทีที่ฉันวิ่งไปหาพวกมันฉันได้ยิงลูกดอกหน้าไม้ออกไปอย่างบ้าคลั่ง ไพก้าและริยูก็ได้บินไปมารอบๆฉัน ส่วนชาราน่าในตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในร่างของฉัน
“หยุดอัศวินโครงกระดูก ป้องกันอย่าให้มันเปิดปาก”
[ง่ายมาก]
[ไว้ใจได้เลย]
พลังงานเยือกแข็งของริยูได้ปกคลุมไไปทั่วพื้นที่ ในขณะที่สายฟ้าของไพก้าได้ทำลายศัตรูของเราอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันฉันก็พุ่งผ่านศัตรูทั้งหมดและยิงลูกศรหน้าไม้ออกไปิอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายก็คือหัวกระโหลกของอัศวินโครงกระดูกและขาของม้าโครงกระดูก มันจะเป็นชัยชนะของฉันแน่นอนตราบเท่าที่ฉันสามารถจะหยุดการกรีดร้องของพวกมันและเข้าไปถึงตัวได้
[มนุษย์!!!!!!!!]
“ใบมีดธาตุ”
[มะ ไม่ ฉันโดนอีก…อ๊ากกก]
[ฮี้]
ธาตุจำนวนนับไม่ถ้วนได้ลอยเข้ามาหาฉันและฉันก็เหวี่ยงคมหอกที่ยิดออกไปกว่า 10 เมตรไปตัดขาของม้าโครงกระดูกในทันที ด้วยการที่เกิดความเสียหายคริติคอลและผลของนักทำลายกระโหลกทำงาน ฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจตัวที่ถูกโจมตีอีกเลย
[ก๊าซซซซซซซซซ]
ในวินาทีนั้นกูลยักษ์ได้ตะโกนออกมาและเหวี่ยงกรงเล็บของมันราวกับว่ามันกำลังจะป้องกันกลุ่มอัศวินโครงกระดูก ฉันได้กระโดดเข้าไปต่อสู้อย่างไม่สนใจและตะโกนออกมา
“ริยู”
[ม่านหมอกฤดูหนาว]
กรงเล็บของกูลยักษ์ได้ถูกคริสตัลน้ำแข็งเกราะจนทำให้มันช้าลง ฉันได้ฉีกยิ้มออกมาและกระโดดไปบนรางกายของมัน ฉันบีบอัดใบมีดธาตุและรีบเจาะหัวของมันในทันที ยังไงก็ตามอันเดตเป็นมอนสเตอร์ที่ไม่มีทางตายจากการที่ถูกเจาะหัว
“ถ้าแกต้องการเอาชนะฉัน แกก็ต้องมากันเป็นร้อยเว้ย”
ในวินาทีต่อมา ฉันได้กระโดดลงมาที่แขนและตัดมันด้วยหอก หลังจากแยกหัวของมันแล้ว ใบมีดธาตุของฉันก็ยังคงเจาะเข้าไปเรื่อง และในตอนที่ทักษะไม่ยอมตายจะทำงานฉันได้บดขยี้มันก่อน
ศพของกูลยักษ์ได้หายไปและฉันก็สามารถจะมองเห็นอัศวินโครงกระดูกที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาหาฉันอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้เลยว่ากูลยักษ์เป็นตัวป้องกันและอัศวินโครงกระดูกเป็นฝ่ายโจมตี
“แต่ว่าโชคร้ายหน่อยนะ นั่นมันยังไม่พอ! ราชันวายุพิโรธ”
ก่อนที่พวกมันจะพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันได้พุ่งเข้าไปหามันก่อน แม้ว่าพวกมันจะยกหัวขึ้นมาและใช้อันเดตคำราม แต่ว่าริยูกับไพก้าไม่ยอมปล่อยให้พวกมันทำแบบนั้น ทั้งน้ำแข็งและสายฟ้าได้พุ่งเข้าไปหยุดพวกมันเอาไว้ ด้วยพลังทั้งสองนี้ที่ที่ผสานกันทำให้อัศวินโครงกระดุกไม่สามารถจะทำอะไรได้แม้แต่นิด
“ฮ่าห์”
อย่างแรกเลยฉันได้ส่งอัศวินโครงกระดูกที่พุ่งเข้ามาหาฉันเงียบๆออกไป นี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากว่าพวกมันกำลังเตรียมพถ่งเข้ามาหาฉันพร้อมๆกันพวกมันจึงรวมกลุ่มกันอยู่ การที่ฉันไม่สามารถจะใช้ราชันวายุพิโรธได้บ่อยนะ ฉันก็จะต้องฆ่าพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เข้ามา ฉันจะบดขยี้พวกแกให้หมด”
[คุณได้ใช้ทักษะยั่วยุ ศัตรูทุกตัวจะเข้ามาโจมตีคุณโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้]
[ก๊าซซซซซซ]
[ฆ่ามัน ฆ่ามัน]
“ความเร็วศักดิ์สิทธิ์”
ในตอนที่พวกมันยกอาวุธขึ้นฉันได้ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์ ฉันได้เร่งความเร็วมาขึ้นและส่งพวกมันลอยออกไปก่อนที่จะได้สร้างความเสียหายให้กับฉัน หนึ่ง สอง สาม… ทุกๆครั้งที่อัศวินโครงกระดูกลอยออกไปความเร็วที่พวกมันลอยและระยะทางที่ไปก็จะเเพิ่มมาขึ้น ม้าโครงกระดูกทั้งหมดได้กลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
สิ่งนี้เเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่มีพวกมันเหลืออยู่บนพื้นอีกแม้แต่ตัวเดียว เนื่องจากว่าฉันได้พยายามที่จะผลักมันไปในจุดๆเดียวดังนั้นในตอนนี้พวกมันกำลังซ้อนกันอยู่
[มนุษย์… ทรงพลัง…]
[ได้ยังไงกัน มนุษย์เพียงคนเดียว]
“ถ้าฉันไม่แข็งแกร่งพอ ฉันก็ไม่มีหน้ามาอยู่ที่นี่หรอกน่า”
ตอนนี้มีอัศวินโครงกระดูกกว่า 40 ตัวรวมกันอยู่ ฉันสามารถจะบอกได้จากอัศวินโครงกระดูกที่ฉันพุ่งผ่านไป พลังงานสายลมและสายฟ้าได้รวมกันโดยราชันวายุพิโรธที่พร้อมจะระเบิดออกไปทุกเมื่อ ฉันได้พุ่งออกไปใส่ภูเขากระดูกและระเบิดมัน
“แหลกไปซะ”
[ติดคริติคอล]
พวกมันได้ถูกทำลายออกไปอย่างสมบูรณ์แบบ
“ฟู่ ฟู่….”
พวกมันได้เปลื่ยนกลายเป็นแสงและกระจายไปตามอากาศ แสงสว่างได้ส่องขึ้นมาในเส้นทางแคบๆนี้ ฉันได้ปักหอกลงไปในพื้นและพักหายใจ ฉันได้จัดการพวกมันทั้งหมดโดยที่ไม่ถูกโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว
“ฟู่.. มันง่ายกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
[ฉันทำได้ดีใช่ไหม?]
[หุหุ เป็นไงมั้งนายท่าน]
“พวกเธอเยี่ยมที่สุด”
ฉันได้ยิ้มออกมาและชมภูติธาตุจะสองตนที่บินอยู่ข้งๆฉัน หากไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเธอในการหยุดการใช้อันเดตคำราม มันก็จะเป็นการยากที่จะเอาชนะพวกนั้น ยังไงก็ตามฉันก็ยังมีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการหยุดการใช้คำรามของพวกมันอยู่ ด้วยแบบนี้ฉันเลยไม่มีปัญหาอะไรกับการผ่านพื้นที่นี้
สิ่งที่สำคัญสุดคือการป้องกันไม่ให้มันได้ใช้อันเดตคำรามและจัดการขาของม้าโครงกระดูก เพียงแค่นั้นความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง แม้ว่ากูลยักษ์จะทำตัวเป็นโล่ให้พวกนั้นจะน่ารำคาญ แต่บียอนชั้นที่ 14 นี้ก็ไม่ได้ยากหรือง่ายจนเกินไป ฉันได้คิดไปถึงสิ่งที่จะรอฉันที่ชั้นที่ 15 แล้ว
“กูลบวกกับโครงกระดูก มันไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแค่กูลที่เหลือแต่กระดูกหรอกหรอ”
ฉันได้หัวเราะออกมาเมื่อจินตนาการถึงมอนสเตอร์ที่จะเจอในหัว แน่นอนว่าในตอนที่ฉันนึกถึงอัศวินสายฟ้าที่ปรากฏในชั้นที่ 10 มันก็อาจจะไม่ใช่แบบที่ฉันคิด
“ขอให้มีทักษะอีกสักอย่างโผล่ออกมาทีเถอะ ฉันรู้สึกว่าขาดทักษะอีกนิดก็จะใช้สังเคราะห์ทักษะได้…”
เมื่อฉันคิดถึงทักษะที่ได้รับมาจากบอสประจำชั้นของบียอนชั้นที่ 10 และบอสประจำชั้นที่ 60 ของดันเจี้ยนที่หนึ่ง ฉันได้ยิ้มออกมา ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อยที่ฉันดูเหมือนจะเสพติดการสังเคราะห์ทักษะจนเกินไป แต่ว่าฉันก็อดที่จะคิดถึงผลลัพธ์ของมันไม่ได้ ฉันได้ยกของกลับขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ!”
ฉันได้ผ่านบียอนชั้นที่ 14 ในเวลาเพียงแค่สองวัน เพียงเมื่อคนๆหนึ่งเต็มไปด้วยไฟการต่อสู้คนๆนั้นก็สามารถจะทำอะไรก็ตาม ในตอนนี้ที่ฉันออกมาจากบียอนและกลับไปที่โลก ฉันก็ต้องตกใจกับศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์เมื่อฮวาหยาได้บอกบางอย่างกับฉัน
“นักสำรวจสองคน….ตาย”
มนุษย์นี่เป็นสิ่งที่มีศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ