บทที่ 260 – เหนือดินแดนเยือกแข็ง (11)
ในตอนแรกฉันมีข้อสงสัยในพลังของเธอมาก ถ้าหากว่าเธอสามารถจะลบพลังของดันเจี้ยนได้อย่างสมบูรณ์คุณสมบัตินักสำรวจดันเจี้ยนของฉันก็คงถูกลบออกไปนานแล้ว แต่ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นพลังของเธอยังคงมีขีดจำกัดอยู่ การที่ได้เข้าใจถึงขีดจำกัดนั้นก็จะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ
เนื่องจากว่าเธอไม่เคยพูดถึงในพลังของเธอเลยทำให้ฉันเลือกที่จะใช้โอเวอร์ลอร์ดและผลักดันให้เธอจนมุมแทน ฉันได้เผชิญหน้ากับเธอตรงๆและใช้ร่างกายของฉันในการทดสอบขีดจำกัดของเธอ
สิ่งแรกที่ฉันรู้เลยก็คือพลังของเธอสามารถจะยับยั้งสเตตัสของนักสำรวจและทักษะที่ได้รับมาจากดันเจี้ยนได้ ทักษะเทคนิคหอกและทักษะผู้ใช้ธาตุก็ยังรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ว่าในตอนที่ฉันใช้ทักษะที่ฉันสร้างขึ้นผ่านการเรียนรู้ภายในดันจี้ยนออกไปก็เป็นไปตามปกติ แสดงว่าพลังที่ถูกปิดกั้นมีแค่พลังของดันเจี้ยนเท่านั้น
อย่างที่ฉันพูดออกไปพลังของเธอเป็นอะไรสักอย่างที่เหมือนกับพรที่ขจัดมลทินออกไป มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอลบพลังจากเป้าหมายไปอย่างสมบูรณ์ ทักษะของดันเจี้ยนจะได้รับผลกระทบทำให้อ่อนแอเป็นอย่างมากในขณะที่ทักษะของตัวฉันเองจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เทคนิคหอกกับวงจรเพรูต้าได้ผลที่น้อยมากๆ
สิ่งต่อมาที่ฉันได้รู้ก็คือพลังต่างๆที่อยู่กับไอเทมไม่ใช่อำนาจของดันเจี้ยนเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างที่ว่าพลังของเธอไม่ส่งผลกับไอเทมแม้แต่นิด แน่นอนว่าในตอนแรกที่เธอปล่อยพลังของเธอออกมาเพลิงโกลาหลก็ลดลง แต่ยังไงก็ตามนั่นมันไม่ใช่เพราะพลังของเธอ ในตอนที่ฉันได้ตรวจพบพลังของเธอฉันได้จงใจลดพลังของเพลิงโกลาหลลงเพื่อที่จะทำให้มันดูเหมือนว่าพลังของเธอได้ผล นี้เป็นเทคนิคเอาไว้เพื่อหลอกเธอโดยเฉพาะ
เธอได้คิดว่าเพลิงโกลาหลออกมาจากทักษะและฉันก็เป็นคนทำให้เธอคิดแบบนี้ ฉันมีลางสังหรณ์ว่าหากเธอไม่รู้ว่าสเพลิงโกลาหลไม่สามารถถูกปิดกั้นได้มันจะต้องส่งผลร้ายต่อการต่อสู้แน่ๆ
เพื่อยืนยันข้อสงสัยของฉันฉันก็ได้ตรวจสอบว่าแหวนเสียงสะท้อนใช้ได้ผลหรือป่าวในตอนที่ใช้เสียงคำรามเยือกแข็งและแล้วฉันก็มั่นใจในเรื่องนี้ว่าพลังของเธอไม่ได้มีผลต่อไอเทม
เพราะแบบนี้แทนที่ฉันจะใช้พลังของดันเจี้ยนหรือพลังของลอร์ดแห่งดันเจี้ยน ฉันได้เลือกใช้พลังปาฏิหาริย์ของไอเทมระดับสูงแทน ยังไงก็ตามฉันก็คิดมากไปกว่านั้นอีก
ในฐานะที่ไอเทมเป็นสิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตจริงๆมันก็สามารถจะนับได้เลยว่าสิ่งของพวกนี้ไม่ได้รับผลมาจากดันเจี้ยนโดยตรงมากนักเหมือนอย่างกับเทคนิคหอกและทักษะผู้ใช้ธาตุ มันยังเป็นไปได้อีกว่าพลังของเรสพิน่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ อย่างที่ฉันพูดไปถ้าพลังของเธอสมบูรณ์แบบเธอก็คงเอาฐานะนักสำรวจไปจากฉันแล้ว
ถ้าหากมันแบบนั้นจริงๆฉันก็จะกลายเป็นเหมือนกับหัวหน้ากิลด์แมงป่องทะเลทราย แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้อ่อนแอแบบเขา แต่ว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่แย่มากกับการสูญเสียแต้มสเตตัสและสิ่งต่างๆจากดันเจี้ยน อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้นะ
สิ่งสุดท้ายที่ฉันพบก็คือพลังของเธอเปิดใช้งานได้ในขีดจำกัดที่เธอรู้ ฉันได้สันนิษฐานอีกด้วยว่าพลังของเธอไม่สามารถจะใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ว่ามันเป็นทักษะที่จะใช้ได้ในเฉพาะตอนที่เธอสามารถเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
ฉันได้มั่นใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆในตอนที่เธอต่อต้านเสียงคำรามสีชาด ฉันสามารถจะจบลงได้โดยที่ไม่เปิดเผยอะไรเลยก็ได้ แต่ว่าฉันจำเป็นจะต้องได้รับข้อมูงมากกว่านี้เผื่อในกรณีที่ศัตรูแบบเรสพิน่าจะปรากฏตัวขึ้นมาอีก
ฉันยังหวังอีกด้วยว่าดันเจี้ยนจะให้รางวัลฉันสำหรับเรื่องนี้….
ยังไงก็ตามเรสพิน่าอึดกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ จากทั้งหอกที่เจาะท้องของเธอ พลังสายฟ้าจากไพก้า พลังของเทพสายฟ้าและพลังของซุสรวมไปถึงพลังเพลิงโกลาหลอีกด้วย เธอยังคงทนเอาไว้โดยยังไม่ยอมตายไป
[ถ้าข้าฆ่าเจ้าได้… อั๊ก ก่อนที่ข้าจะตาย….]
“ขอโทษนะ แต่ว่าฉันได้คำนวณทุกๆอย่างไว้แล้ว”
ถ้าหากว่าทักษะของเธอเป็นเหมือนพลังของทักษะ นั้นก็มีบางสิ่งที่เธอจะต้องทำก่อนนั้นคือตั้งสมาธิ ทักษะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะน่ารำคาญในการใช้ ทักษะพวกนี้ไม่สามารถจะใช้งายๆได้ ฉันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกันนะที่จะใช้ทักษะได้โดยไม่ต้องตะโกนชื่อท่าออกมา แน่นอนว่าตอนนี้ฉันก็ยังคงต้องใช้เวลาในการตะโกนชื่ออกมาเพื่อใช้ทักษะเหล่านี้ นั้นก็เป็นเพราะว่าทักษะเป็นการยากที่จะใช้แบบเงียบๆ
ตลอดการต่อสู้ของพวกเราเรสพิน่าต่างก็ตะโกนหรือทำท่าบางอย่างออกมาในทุกๆครั้งที่เธอจะใช้พลัง นั่นมันหมายความว่าเธอก็มีเงื่อนไขในการใช้พลังพวกนี้ ยังไงก็ตามพลังของศุสและเพลิงโกลาหลนั้นต่างก็เป็นสิ่งที่สร้างอาการช็อคกับเป้าหมายอย่างมาก
และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดพวกนี้นี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันไม่ใช้ทักษะสังเวยอีกด้วย มันจะไม่มีปัญหาอะไรหากว่าฉันฆ๋าเธอตายได้ในทันทีที่ใช้สังเวย แต่แล้วถ้าเธอไม่ตายล่ะ ฉันก็ก็จะต้องทนกับความเจ็บปวดเหมือนกับเธอและอาจจะตายได้เลยหากตัวฟื้นตัวขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ถ้าเธอรู้ตัวว่าทักษะสังเวยเป็นทักษะและป้องกันมันได้ ฉันอาจจะต้องรับความเสียหายพวกนั้นแทนโดยที่ตัวเธอไม่ได้ผลจากทักษะสังเวยแม้แต่นิดอีกด้วย
ยังไงก็ตามสำหรับตอนนี้เรสพิน่าอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้แล้วและฉันก็ยังได้รับพลัง สเตตัสและทักษะในฐานะนักสำรวจคืนมาแล้วด้วย
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ขยับได้ไหม”
[เจ้า… ตายซะ]
ฉันได้มองลงไปที่เธอจากด้านบน พลังอำนาจของโอเวอร์ลอร์ดได้รักษาบาดแผลของฉันและพลังของอินิกม่าก็พวยพุ่งขึ้นมาทำให้พลังของฉันพลุ่งพล่าน ดวงตามารของฉันก็ยังกระพริบไปมาทำให้เรสพิน่าถูกจำกัดการเคลื่อนไหวมากขึ้นไปเรื่อยๆ
[เจ้าคิดว่า… ข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้หรอ]
“เธอทำไม่ได้หรอก มองตาฉันสิ ฉันได้ใช้ทักษะหรอ”
[ทุกสิ่งที่เจ้าพล่ามมาจนถึงตอนนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ….]
ในตอนที่เธอมองเข้าไปในดวงตาของฉัน ฉันได้เปิดใช้งานการล่อลวงแห่งลิลิธ ตอนที่เรสพิน่าได้รู้สึกถึงบางอย่างเธอได้ปิดตาลงและหันหน้าออกไป พลาดแล้ว เธอควรจะใช้งานทักษะของเธอและต้านการล่อลวงแห่งลิลิธสิ แม้ว่าฉันจะเป็นคนหลอกล่อเธอ ฉันก็อดเสียใจไม่ได้ที่เห็นเธอกลายเป็นคนโง่เง่าจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
[คุณได้ใช้การล่อลวงแห่งลิลิธิ คุณได้ขโมยพลังชีวิตและพลังเวทย์จากเป้าหมาย 50%]
[เป้าหมายตกอยู่ในสถานะ ‘เชื่อฟังโดยสมบูรณ์’ การมาเป็นข้ารับใช้ของคุณไปตลอดกาล]
….
“เอ๋?”
มันได้ผล ฉันไม่ได้คิดเผื่อว่ามันจะล้มเหลวหรอกนะแต่ว่าฉันไม่คิดว่าการเชื่อฟังสมบูรณ์จะทำงาน ยังไงมันก็มีโอกาสติดแค่ 20% เองนะ นี้มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการซะหน่อยนะ
เมื่อคิดว่าทักษะที่ฉันใช้มันทำให้กลายมาเป็นแบบนี้ ฉันได้แต่รู้สึกหดหู่ ลองคิดดูสิฉันพยายามมาอย่างหนักแต่มันกลับพลาด มันจะดีกว่านี้หากฉันรู้ก่อน…. ให้ตายสิ เอาเถอะ มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะปล่อยให้เธอมีชีวิตลอร์ดซะหน่อย ปีศาจทั้งหมดจะต้องถูกฆ่า
[ข้า ข้า…? อู…?]
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
ฉันเพิ่งจะขโมยพลังชีวิตเธอมาอีกครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังมีช่วงเวลาก่อนที่จะตายอยู่ ฉันได้ยิ้มขึ้นและเข้าไปหาเธอ
“ถ้างั้นก็ช่วยบอกข้อมูลที่เหลืออยู่ที่นะ ฉันก็ชอบการคุยกันแบบสงบๆเหมือนกัน”
[อั๊ก…ค่ะ นายท่าน]
ด้วยเพลิงโกลาหลที่ยังลุกไหม้อยู่มันไม่มีทางเลยที่เธอจะมีชีวิตอยู่ได้นาน
[ท่านเรสพิน่าถูกจับ ช่วยท่านเร็ว]
[แม้ว่าพวกเราทั้งหมดจะต้องตายเราก็จะต้องช่วยท่านให้ได้]
แม้ว่าจะใช้มานาจำนวนมหาศาลเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันคนอื่นๆให้เราสู้กันได้อย่างอิสระ แต่ว่าในตอนนี้ที่สถานการณ์ส่วนใหญ่คลี่คลายไปแล้วปีศาจที่คิดว่าฉันได้จับเรสพิน่าได้ก็พุ่งเข้ามาหาฉันอย่างบ้าคลั่ง รากิที่ยังอยู่บนท้องฟ้าและสมาชิกรีไวเวิร์ลที่อยู่บนพื้นต่างก็ขยับกันมาป้องกันมันเอาไว้ แต่ว่าด้วยจำนวนของพวกมันก็เป็นเรื่องยากที่จะหยุดเอาไว้
ฉันได้จ้องไปที่เรพิน่าและพูดขึ้นเบาๆ
“ล็อทเต้ ริยู ไพก้า ชาราน่า”
[เข้าใจแล้ว]
[อื้อ]
[หุหุ เราทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการใช้ไหม]
[ตามที่นายท่านต้องการเลย]
“ใช่ ไปจัดการกันได้เลย”
ฉันได้เปิดใช้งานรอยสักซัคคิวบัสเพื่อเพิ่มมานาเป็นสองเท่า แม้ว่าโอเวอร์ลอร์ดจะใกล้หมดลงแล้วอีกไม่นาน แต่มานาของฉันก็ยังพุ่งเพิ่มขึ้นไปอย่างไม่สิ้นสุด ฉันได้มอบมานาทั้งหมดนี้ให้กับภูติธาตุและมอบโพชั่นระดับสูงให้กับล็อทเต้ ล็อทเต้ได้คำรามอกมาอย่างพอใจ
“แล้วตอนนี้แผลเธอหายสนิทหรือยัง”
[อะแฮ่ม… ไม่หรอก ข้าคิดว่านะ]
“ไปเถอะ ชิ”
การคุยกับล็อทเต้ผู้ที่เคยถูกส่งมาจัดการพวกเรามันทำให้ฉันมีความสุข หลังจากให้พวกเธอออกไปจัดการแล้ว ฉันก็หมดห่วงเรื่องทางนั้นและมองกลับมาที่เรสพิน่า เธอยังคงถูกเผาอยู่
“เธอมีเวลาอีกกี่นาทีก่อนจะตาย”
[5 นาที…ค่ะ นายท่าน]
“เยี่ยม ถ้างั้นในระหว่างนี้ช่วยบอกทุกๆอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทัพปีศาจที”
[ค่ะท่าน]
ในตอนนั้นเองฉันรู้สึกได้ถึงพลังเวทย์ที่ทรงพลังลอยเข้ามาหาเรา พวกเราอยู่ไกลมาแต่แม้อย่างนั้นพลังนั้นก็ยังมีพลังอย่างน่ากลัวและเร็วมากๆ ในแง่ของอาวุธทันสมัยแล้วมันเหมือนกับกระสุนปีนสไนเปอร์ไรเฟิล ฉันเข้าใจได้เลยว่าล็อทเต้กับภูติธาตุถึงได้ปล่อยมันหลุดมาได้ ยังไงก็ตามในด้านความเร็วฉันไม่ได้แพ้ใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ฉันได้ใช้โอเวอร์ลอร์ด
ฉันได้รวบรวมพลังที่เหลืออยู่ของโอเวอร์ลอร์ดและสร้างโล่ขึ้นในทันที ก่อนที่โอเวอร์ลอร์ดจะหมดลงโล่ก็ได้ป้องกันเวทย์ไฟที่เข้ามา มันจะต้องเป็นเวทย์ที่จะระเบิดเมื่อถูกเป้าแน่ แต่ว่าแม้แต่เดม่อนลอร์ดก็ยังไม่สามารถเข้าใจในพลังของอินิกม่าได้ อินิกม่าได้หุ้มไฟนั้นเอาไว้และทำให้มันหายไปอย่างเงียบๆเหมือนกับแสงเทียมที่ดับไป
แล้วก็นะ… ไฟงั้นหรอ ฉันสงสัยจังเลยว่าทำไมลักษณ์ของเรสพิน่าถึงถูกกำหนดเป็นน้ำแข็ง แต่ว่าในตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว
ฉันได้หันไปทางที่เวทย์ไฟพุ่งอกมาและส่งข้อความออกไป
[ฮวาหยา]
[ฉันรู้แล้ว ปล่อยให้ฉันกับไอน่าจัดการเอง]
[ขอบคุณ]
ผู้ใช้ไฟนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นแผนของเดม่อนลอร์ด มันจะต้องการการคิดเอาไว้ว่าจะมีคนอยู่ในตำแหน่งทรงพลังเอาไว้ป้องกันเผื่อที่ข้อมูลของพวกเขาจะรั่วไหลออกไป ถ้าเป็นในนิยายแล้วก็คงจะเหมือนกับคนร้ายที่มักจะพกระเบิดหรือพิษเอาไว้กับตัว แต่ว่ามันดูเหมือนเดม่อนลอร์ดจะเตรียมนักฆ่าเอาไว้ซะมากกว่า นักฆ่าผู้ใช้ไฟนี้เป็นพลังที่ตจรงกันข้ามกับเรสพิน่าโดยสิ้นเชิงทำให้สามารถจะความเสียหายให้กับเธอได้จำนวนมากในครั้งเดียว
ใช่แล้ว ปีศาจที่มีพลังมานาจำนวนมากอย่างเรสพิน่าไม่สามารถจะปล่อยให้ย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาได้ ด้วยพลังของเธอแล้วมันเป็นเรื่องจำเป็ที่จะเตรียมนักฆ่าเอาไว้
“เรสพิน่า เดม่อนลอร์ดทำอะไรในทวีปลูก้า”
[ค่ะ เขากำลังผนึกตัวเองอยู่ในการให้กำเนิดปีศาจใหม่ๆ]
“มีพวกปีศาจมากแค่ไหนที่มีพลังในการลบล้างพลังของดันเจี้ยนแบบเธอ”
[สำหรับตอนนี้มีเพียงแค่ข้าคนเดียว ยังไงก็ตามจากการคาดการเขาคิดเอาไว้ว่าอย่างน้อยต้องมีอีกสองตน]
“แล้วเมื่อไหร่เดม่อนลอร์ดจะมาที่นี่เอง”
[มันยังไม่แน่ชัดนัก พวกเราได้คาดการณ์ว่าทางผ่านจำขยายกว้างพอให้เดม่อนลอร์ดผ่านมาได้ก็ในตอนที่กองกำลังอื่นที่บุกโลกและปีศาจบุกเข้ามาที่โลกอีกสักสองครั้ง เขาพูดไว้ว่าอย่างนานที่สุดก็สองปี]
“แล้วเร็วสุดล่ะ”
[หนึ่งปี]
ฉันได้รู้สึกหายใจติดขัด ยังไงก็ตามฉันได้ขบฟันแน่นและถามขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมเดม่อนลอร์ดถึงยังไม่พอใจกับการได้รับพลังของโลกมาแล้วล่ะ ทำไมเขาต้องพุ่งเป้ามาที่โลกอื่นด้วย อ่าก่อนหน้านั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือป่าวที่เขาเลือกโลกนี้เป็นเป้าหมาย หรือว่ามันเป็นเพราะการที่ฉันไปที่ทวีปลูก้าในฐานะทหารรับจ้างต่างมิติ”
[เดม่อนลอร์ดไม่รู้ว่าเขาได้บุกรุกไปที่ไหนหรือใครอยู่ที่น่า เขาเพียงแค่รู้ว่านายท่ายอยู่บนโลกในระหว่างช่วงการบุกเท่านั้นเอง ยังไงก็ตาม….]
“ยังไงก็ตาม”
เธอได้พูดขึ้น ฉันได้แต่เบิกตากว้างและถามเธอขึ้นอีกครั้ง เธอยังคงให้คำตอบเดิม
ชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่หายไปในที่สุดก็ถูกพบแล้ว ในที่สุดแล้วฉันก็ได้เปิดตาที่ฉันได้ปิดเอาไว้นับตั้งแต่ที่เกิดขึ้นมา