เป้าหมายแรกของไคลน์ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริม
เทพบรรพกาลตนนี้สร้างตะเกียบ คิดค้นต้มเลือด ชอบกินเครื่องในสัตว์ และชำนาญการใช้เครื่องเทศทำอาหาร ลูกหลานของพระองค์มีใบหน้า สีผม และดวงตาที่คล้ายกับชาวเอเชียบนโลก ไม่เพียงแต่ไคลน์สงสัยว่าท่านเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แม้แต่จักรพรรดิโรซายล์เองก็คิดแบบเดียวกัน
แน่นอน หลังจากการตรวจสอบในเชิงลึก โรซายล์ตัดความเป็นไปได้ดังกล่าวออกไป เนื่องด้วยปัจจัยด้านภาษา สัญลักษณ์ และคำพังเพยโบราณ นอกจากนั้น ไคลน์เชื่อว่าการใช้ตะเกียบแทนช้อนส้อม การชอบกินเครื่องใน และความชำนาญเครื่องเทศ ไม่ใช่สิ่งเฉพาะตัวของชาวโลกเก่า สำหรับสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีโอกาสที่จะค่อยๆ พัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นในกิจวัตรประจำวัน!
ส่วนเรื่องที่ว่า เหตุใดเอลฟ์ที่อยู่บนเส้นทางลูกเรือถึงใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไคลน์เองก็ไม่มีคำตอบ ข้อมูลเกือบทั้งหมดมาจากจิตรกรรมฝาผนังและข้อความจารึกของพวกมันเอง
เราเคยคิดว่าเอลฟ์ไม่น่าจะใช่ผู้เดินทางข้ามโลก แต่หลังจากได้เห็นรังไหมจำนวนสามรัง เราก็เริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไป… บางทีท่านอาจเป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา… อา… ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือบรรดาเอลฟ์ระดับสูงสักคนเป็นผู้เดินทางข้ามโลก บุคคลดังกล่าวสามารถเผยแผ่วัฒนธรรมต่างๆ ในนามราชาเอลฟ์… ไคลน์เคาะโต๊ะพลางใช้ความคิดอย่างเงียบงัน
มันมาถึงทางแยกของการสืบสวน
ในบันทึกการเดินทางของกรอซายมี ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส ผู้เคยทำงานรับใช้ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม!
ขอเพียงเราเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของเธอ ก็จะมองเห็นหรือสามารถติดต่อกับเอลฟ์ตนอื่นและพบเศษเสี้ยวความทรงจำเกี่ยวกับเทพบรรพกาล!
เรายังสามารถใช้พลังสะกดจิต ทำให้เธอเป็นฝ่ายเล่าออกมาเอง… แต่ปัญหาคือ เราไม่เชี่ยวชาญในศาสตร์ดังกล่าว ครั้งล่าสุดที่พยายามเข้าไปในจิตใต้สำนึกของกรอซาย เราเกิดอารมณ์หุนหันและยากจะทำใจให้สงบ แม้ว่าจะกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว แต่นั่นก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะนำพาตัวเองไปสู่การคลุ้มคลั่ง นอกจากนั้น เราต้องปรับสภาพจิตใจไปอีกสักระยะก่อน… การฝืนสื่อวิญญาณ คงไม่เหมาะกับเป้าหมายและสถานการณ์ในคราวนี้… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าตนต้องการวัตถุลึกลับที่มีลำดับสูงในเส้นทางผู้ชม หรือไม่ก็ผู้ช่วยที่เป็นนักสะกดจิต
มันเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะหยิบยืมความช่วยเหลือจากมิสจัสติส
การสำรวจไม่อันตรายขนาดนั้น ยังมีวิธีที่จะเข้าไปด้วยร่างวิญญาณบนมิติสายหมอก…
เราไม่ต้องกังวลว่ามิสจัสติสจะทราบเรื่องที่เราคือผู้เดินทางข้ามโลก ขอเพียงเซียธาสไม่ทราบเรื่องนี้ จิตใต้สำนึกของเธอ และทะเลจิตใต้สำนึกร่วม ไม่มีทางบ่งชี้ไปยังข้อสรุปดังกล่าว ในขณะเดียวกัน เราจะคอยรวบรวมเบาะแสที่ต้องการโดยที่เธอไม่สังเกตเห็น…
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ มิสจัสติสไม่มีประสบการณ์ด้านการผจญภัยมากนัก หากเข้าไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของตัวตนสมัยโบราณ นั่นถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะอาจมีออร่าของเทพบรรพกาลหลงเหลืออยู่… ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดเกรงว่าเราเองก็ไม่น่าจะเอาตัวรอดไหว…
ถ้าต้องการให้มิสจัสติสมาคอยสนับสนุน อย่างน้อยก็ต้องรอให้เธอกลายเป็นลำดับ 5 เพื่อชดเชยประสบการณ์ที่ขาดหายไป เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะพยายามสะกดจิตเซียธาส ดูว่าสามารถดึงข้อมูลใดจากเธอได้บ้าง หากไม่มีค่ามากนัก ค่อยพิจารณาการบุกรุกเข้าสู่ความฝัน เพื่อเข้าไปดูจิตใต้สำนึก และสืบลึกเข้าไปถึงทะเลจิตใต้สำนึกรวม…
อา… ยันต์บุกรุกความฝันที่เราสร้างขึ้นยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ มิอาจดำเนินการสำรวจที่ยาวนาน… เฮ่อ… เทพธิดาคงไม่ตอบสนองต่อคำขอเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วยตัวเอง น่าจะได้พบกับ ‘ระบบตอบรับอัตโนมัติ’ แทน… สำหรับตะกอนพลังฝันร้าย เราส่งคืนศาสนจักรไปแล้ว… หรือว่าต้องพาเลียวนาร์ดไปด้วย? ชักอยากรู้แล้วว่า ถ้าเราดึงร่างวิญญาณของใครบางคนขึ้นมา คุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดจะสังเกตเห็นหรือไม่… คงต้องทดลองเรื่องนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน…
ไคลน์รวบรวมความคิด พิจารณาเป้าหมายที่สองด้วยความเคลือบแคลง
ในอดีต คนผู้นี้มิได้ดูพิเศษแต่อย่างใด แต่ไคลน์ไม่เคยมองว่าเป็นผู้เดินทางข้ามโลก แต่เมื่อไตร่ตรองด้วยจิตใจที่สุขุม เริ่มคิดและวิเคราะห์ มันตระหนักว่า หลากหลายประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นไปตามสามัญสำนึกปรกติ แท้จริงแล้วมิได้สมเหตุสมผลขนาดนั้น ยังคงแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่แปลกประหลาด
บุคคลที่มันกำลังสงสัยก็คือ
เทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์!
พระคัมภีร์ของเจ็ดโบสถ์หลักล้วนมีเค้าโครงของศาสนาทางฝั่งโลกตะวันตกของโลกเก่า… แถมยังรวมไปถึงพิธีมิสซา!
จากคำอธิบายของเดอะซันน้อย ผนวกกับสิ่งที่จักรพรรดิโรซายล์ได้เห็นในวิหารขนาดเล็กของอาดัม รวมถึงเนื้อหาบนจิตรกรรมฝาผนังบนซากปรักหักพังของเมืองในดินแดนเทพทอดทิ้ง ค่อนข้างแน่ชัดว่า สัญลักษณ์สำคัญของเทพสุริยันบรรพกาลคือไม้กางเขน!
พระองค์ตั้งชื่อลูกๆ ว่าอาดัมและอามุนด์…
เทวทูตบริวารของพระองค์ล้วนมีปีกแห่งแสง แต่เรายังไม่เคยเห็นเอกลักษณ์นี้จากเส้นทางใด…
ไม่มีใครทราบว่าพระองค์ลืมตาตื่นที่ใด เพียงปรากฏตัวอย่างกะทันหันในช่วงปลายยุคสมัยที่สอง สังหารเทพบรรพกาลไปมากมายและทวงคืนอำนาจ…
เราไม่เคยคิดถึงรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้มาก่อน… เมื่อลองมาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เรื่องราวฟังดูน่าขนลุกไม่น้อย… ไคลน์ซี้ดปาก พบว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเทพสุริยันบรรพกาลมากกว่าราชาเอลฟ์
ประสบการณ์ของอีกฝ่ายโด่งดังจนกลายเป็นตำนานเล่าขาน เหมือนกับตัวเอกในนิยายยิ่งกว่าจักรพรรดิโรซายล์เสียอีก!
อา… แต่ตอนจบค่อนข้างน่าสังเวช กลายเป็นเพียงมื้ออาหารของเหล่าราชาเทวทูต… ถึงตอบจบของจักรพรรดิจะน่าเศร้าไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้น่าสังเวชเท่าเทพสุริยันบรรพกาล…
หรือนี่จะเป็นการอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติประหลาดๆ ของอามุนด์และอาดัม? พวกเขาเข้าใจว่าหมอกสีเทามีส่วนเกี่ยวข้องกับบิดา? แต่เนื่องด้วยเส้นทางที่แตกต่าง จึงใช้วิธีที่แตกต่าง? อา… แต่ก็มีโอกาสที่อาดัมจะมองไม่เห็นหมอก เพราะเขาไม่ใช่ผู้วิเศษสุดแกร่งบนเส้นทาง ‘โชคชะตา’ ‘นักจารกรรม’ ‘นักทำนาย’ และ ‘ผู้ฝึกหัด’ … ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย
สำหรับเบาะแสเหล่านี้ มันยังมีแนวทางการสืบสวนที่ไม่ต้องติดต่อกับตัวตนระดับเทวทูต
ภายใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ยังมีบุคคลจากยุคสมัยที่สามหลงเหลือ สาวกเดนตายของเทพสุริยันบรรพกาล นักบวชสโนวมัน!
ปัญหาวนกลับมาที่จุดเดิม… ในเมื่อข้อมูลของบุคคลที่น่าสงสัยทั้งสองต้องเข้าไปสืบในหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์พบว่าความคิดดำเนินมาถึงทางตัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพักผ่อนสักพัก ถอนหายใจออกเชื่องช้า หยิบไพ่เย้ยเทพใบใหม่ขึ้นมาตรวจสอบ
ไพ่นักบวชสีชาด!
หลังจากถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ไพ่ใบดังกล่าวส่องแสงสีแดง ก่อตัวกลายเป็นหนังสือมายาขนาดเท่าฝ่ามือ
เมื่อลองพลิกหน้าหนังสือ ด้านในเป็นภาพเหมือนของโรซายล์·กุสตาฟ บ้างสวมชุดนักล่า บ้างยกนิ้วกลาง บ้างเดินผ่านอาคารที่กำลังลุกไหม้ บ้างยืนหลังกับดัก แต่งกายหลากหลายสไตล์ ประกอบทุกอาชีพ
ลำดับ 9 นักล่า… ลำดับ 8 นักยั่วยุ… ลำดับ 7 นักวางเพลิง… ลำดับ 6 นักวางแผน… ลำดับ 5 ยมทูต… ลำดับ 4 อัศวินเลือดเหล็ก… ลำดับ 3 นักบวชสงคราม… ลำดับ 2 จอมอาคมฟ้าดิน… ลำดับ 1 ผู้พิชิต… ลำดับ 0 นักบวชสีชาด… ไคลน์กวาดตาอ่านภาพขนาดเท่าไพ่ทาโรต์ทีละหนึ่ง บันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงในความทรงจำ
สำหรับพิธีกรรมกลายเป็นเทพลำดับ 0 ไคลน์ไม่ประหลาดใจนัก พอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะเฮอร์มิสเคย เล่าให้โรซายล์ฟังว่า ‘สีชาด’ ในชื่อ ‘นักบวชสีชาด’ หมายถึงสีแดงแห่งสงคราม
ดังนั้น เมื่อได้เห็นคำว่า ‘ทำสงครามกวาดล้างทวีปและได้รับชัยชนะในระดับหนึ่ง’ ไคลน์ไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว
วางไพ่นักบวชสีชาดลง มันครุ่นคิดถึงปัญหา ก่อนจะลูบหน้าผากพลางพบว่าอาการทางจิตของตนดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกอ่อนเพลีย
ก่อนอื่นก็ต้องตั้งเป้าหมายระยะสั้น… สืบหาบุคคลเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ เรื่องนี้ยังไม่สะสาง… อา… ธุรกิจค้าอาวุธเถื่อนก็ต้องดำเนินต่อไปตามแผน จากนั้นก็กลับไปยังเบ็คลันด์พร้อมกับเงินก้อน… ปัจจุบันมีสองเบาะแส หนึ่งคือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด ส่วนอีกคนคือรองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์… ไคลน์พยายามสร้างงานให้ตัวเอง
ก่อนจะออกจากมิติหมอก มันโยนสูตรการผลิตยาที่มิสจัสติสเขียนให้เข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะมูน ฝากฝังแวมไพร์ที่ช่ำชองการทำยาให้ช่วยผลิตในปริมาณเพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งปอนด์ต่อหนึ่งขวด เก็บเงินกับเดอะเวิร์ล
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เอ็มลินไวท์ที่รออยู่ในห้องรับแขก ยกมุมปากพลางครุ่นคิด
งานจ้างที่มีค่าตอบแทนเพียงเจ็ดปอนด์ ไม่อยากทำเลยแฮะ… มิสเตอร์เวิร์ลก็สามารถปรุงเองได้ถ้าเขาตั้งใจสักนิด…
มันมิได้ปฏิเสธงานจ้างของเดอะเวิร์ล เนื่องจากเพิ่งใช้เงินห้าพันปอนด์ไปกับตะกอนพลังลำดับ 5 แวมไพร์เทียม ส่งผลให้เหลือเงินติดตัวเพียง 730 ปอนด์
ทันใดนั้น สุภาพบุรุษวัยกลางคน คาซีมี เดินเข้ามา
หลังจากทักทายพอเป็นพิธี บารอนผีดูดเลือดซักถาม
“เอ็มลิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่กะทันหันนัก?”
ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย เอ็มลินนึกทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับแฮงแมนและเดอะเวิร์ล เชิดคางขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง
“ข้าได้รับตะกอนพลังลำดับ 5 ‘ปราชญ์สีชาด’ มาแล้ว ไม่ทราบว่าพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์จะพร้อมเมื่อใด?”
คาซีมีผงะ ถามด้วยความประหลาดใจ
“ได้รับตะกอนพลังของปราชญ์สีชาดมาแล้ว?”
เอ็มลินชำเลืองเล็กน้อย ตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่เด่นชัดจนเกินไป
“ถูกต้อง”
มันมิได้อธิบายถึงแหล่งที่มา วางท่าว่า ‘เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้’
คาซีมีพะงาบปากเล็กน้อย ก่อนจะปิดสนิท จนกระทั่งกล่าวหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที
“จันทร์เต็มดวงคราวหน้า”
มันเว้นวรรค หันไปพูด
“ข้ามีบางสิ่งจะบอกเจ้าพอดี… ท่านปู่บอกให้มาแจ้งกับเจ้าว่า คนใหญ่คนโตจะมาเยือนเบ็คลันด์ในอนาคตอันใกล้ ท่านผู้นั้นต้องการพบเจ้า”
ท่านผู้นั้น? รู้ม่านตาเอ็มลินขยายออก
ผีดูดเลือดโบราณที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สอง รวมไปถึงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ตัวตนระดับเทวทูตเหล่านี้มีจำนวนไม่เกินนับนิ้วด้วยมือข้างเดียว!
……………………………..