ตั้งแต่ส่งข้อมูลของ ‘ตัวจำแลงกาย’ ที่สงสัยว่าจะเป็นมารพิสดารให้มิสเตอร์เวิร์ล เดอร์ริคคิดอยู่เสมอว่าต้องมีสักวันที่อีกฝ่ายจ้างตนตามหาวัตถุดิบดังกล่าว แต่ปัจจุบันมันยังแข็งแกร่งไม่พอ แม้จะตั้งทีมล่าร่วมกับเพื่อนสนิท แต่โอกาสสำเร็จก็ยังต่ำมาก นอกจากนั้น การสำรวจทางไกลก็ยังต้องมีหนึ่งใน ‘หกสภาอาวุธ’ เป็นคนนำทาง เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่อนุญาตให้ทีมสำรวจที่ตั้งกันเองออกไปล่าได้ไกลจากเขตเมืองมากนัก มันอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาสักพัก ในบางครั้งก็ใช้เป็นแรงผลักดันที่จะพัฒนาตัวเองและเลื่อนลำดับพลัง
แล้วก็ต้องผิดคาด ผ่านไปเพียงไม่นาน เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งทีมสำรวจเมืองนอร์ธขึ้น แถมยังนำทางโดยเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียดด้วยตัวเอง!
เมื่อผนวกเข้ากับเนื้อหาของชุมนุมทาโรต์ในคราวก่อนที่ตนแลกเปลี่ยนข้อมูลกับมิสเตอร์แฮงแมน จัสติส และคนอื่นๆ เดอร์ริคเริ่มสร้างข้อสันนิษฐาน
ระหว่างการสำรวจอนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมือง มิสเตอร์ฟูลเสนอความช่วยเหลือบางอย่างให้กับเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ช่วยให้อีกฝ่ายขัดขวางแผนการของ ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ สำเร็จอย่างราบรื่นพร้อมกับสะสางปัญหา ดังนั้น เมื่อนักล่าปีศาจรายนี้เห็นว่าเดอร์ริคถามถึง ‘ตัวจำแลงกาย’ มันก็คิดจะล่าวัตถุดิบมาสังเวยให้กับเทพเพื่อเป็นการเอาใจ!
“นี่คือการตอบแทนตามมารยาท แถมยังเป็นการรักษาสมดุลของพลัง…” ถ้อยคำที่แฮงแมนกล่าวเอาไว้ กำลังดังกังวานภายในจิตใจเดอร์ริค ช่วยให้จิตใจของมันปราศจากความลังเล อาศัยจังหวะก่อนที่จะออกเดินทาง สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อแจ้งต่อให้เดอะเวิร์ลทราบเกี่ยวกับการสำรวจในครั้งนี้
มันได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว เป็นเสียงของเดอะเวิร์ลที่กล่าวว่า:
“…ถ้าการล่ามารพิสดารเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป ผมยินดีลดระดับความต้องการลง เอาแค่เลือดของมันจำนวนหนึ่ง… หากคุณรวบรวมได้เมื่อไร ตะกอนพลังนักบวชแสงจะตกเป็นของคุณทันที”
ตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ? มิสเตอร์เวิร์ลมีตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ในมือแล้ว? หรือเขากำลังหมายหัวเหยื่อไว้และสามารถไปเชือดได้ทุกเมื่อ? แค่เราได้เลือด… ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเมือง ผนวกกับทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยมของหน่วยสำรวจ โอกาสสำเร็จมีสูงมาก… เดอร์ริคโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เดินถือ ‘เทพสายฟ้าคำราม’ ออกจากบ้าน ตรงไปที่สนามซ้อม
ทันทีที่ถึงจุดหมาย มันเห็นร่างของเจ้าเมืองโคลิน·อีเลียด ดาบยาวสองเล่มถูกสะพายไว้บนหลัง สูงโปร่งและน่าเกรงขาม ทำให้ทุกคนเกิดความสบายใจแค่เพียงได้มอง
และถัดจาก ‘นักล่าปีศาจ’ ยังมีอีกหนึ่งคนยืนอยู่ เธอสวมชุดคลุมสีดำที่มีลวดลายสีม่วง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘คนเลี้ยงแกะ’ อาวุโสโลเฟียร์ สตรีเจ้าของผมหยักศกสีเงินยาวสลวย
โลเฟียร์ที่ดูเหมือนเข้าร่วมทีมสำรวจนี้ด้วย หันหลังกลับมามอง กระจกตาสีเทาซีดของเธอสะท้อนร่างเดอร์ริค·เบเกอร์โดยปราศจากความผันผวนทางอารมณ์
เดอร์ริคผงะตกใจ ลดความเร็วลงโดยไม่รู้ตัว
…
ไบลัมตะวันออก เหนือหมอกสีเทา
หลังจากชื่นชมพฤติกรรมของเจ้าเมืองเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ริเริ่มตั้งทีมสำรวจเมืองนอร์ธ ไคลน์กำชับกับเดอะซันน้อยว่า ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมากนัก สิ่งที่ต้องการจากเป้าหมายมีเพียงเลือด
เมื่อถึงตอนนั้น มันสามารถนำเลือดมาป้ายลงบนปกการเดินทางของกรอซาย จากนั้นก็เตรียมทำศึกใหญ่กับ ‘มารพิสดาร’ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เก็บเกี่ยววัตถุดิบที่ต้องการจากมัน
สำหรับคำถามที่ว่า พลังในการดูดกลืนเข้าไปในโลกหนังสือของ ‘บันทึกการเดินทางของกรอซาย’ จะถูกตัดขาดโดยความพิเศษของดินแดนเทพทอดทิ้งหรือไม่ ไคลน์เองก็คำนึงถึงประเด็นนี้และคิดหาทางแก้ไขไว้แล้ว นั่นคือการส่งหนังสือเล่มดังกล่าวให้เดอะซันน้อยพกพา จากนั้นก็สังเวยคืนเมื่อเสร็จภารกิจ
และนอกจากนั้น มันมิได้กังวลว่า ‘มารพิสดาร’ จะเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ไม่มีเลือด เพราะสูตรโอสถจอมเวทพิสดารระบุไว้อย่างชัดเจนว่า:
“วัตถุดิบเสริม: เลือดของมารพิสดารสองร้อยมิลลิลิตร…”
วิธีแก้ปัญหามักมีมากกว่าปัญหาเสมอ… ไคลน์พึมพำด้วยความพึงพอใจ ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
ก่อนจะเข้านอน มันได้รับจดหมายจากเลียวนาร์ด·มิเชลโดยมีเนื้อหาระบุว่า ‘หนอนกาลเวลา’ ที่ต้องการจะพร้อมส่งในอีกสองวันข้างหน้า รวมถึงเขียนอธิบายเกี่ยวกับวิญญาณมารอย่างละเอียด
อีกหนึ่งวันถึงจะได้ และมีเพียงสองตัวเท่านั้น สภาพของคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดคงค่อนข้างย่ำแย่… อา… ไม่สามารถออกจากอาณาเขต สามารถใช้พลังได้ในรัศมีที่กำหนดเท่านั้น… ความปรารถนาที่มีร่วมกันก็คือ ข้อแรก แนวโน้มในการสูบวิญญาณของสิ่งมีชีวิต และข้อที่สอง ปรารถนาการกินวัตถุดิบโอสถในเส้นทางเดิมสมัยยังมีชีวิตอยู่… กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมารจะใช้ร่างกายอินซ์·แซงวิลล์ในการรวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องและตะกอนพลัง… นี่เส้นทางการสืบสวนที่ควรเป็นจุดตั้งต้น… ไคลน์ถือจดหมายด้วยมือทั้งสองข้าง สมองครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
ทันใดนั้น มันจดจำได้หนึ่งสิ่ง
ย้อนกลับไปในตอนที่มันได้พบกับอินซ์·แซงวิลล์บนเกาะกลางทะเลคลั่ง อีกฝ่ายกำลังถูกไล่ล่าโดยครึ่งเทพที่แข็งแกร่งของเส้นทาง ‘นักล่า’ !
หรือว่า… จะเป็นเพราะวิญญาณมารตนนั้น?
เราเคยคิดว่าอินซ์·แซงวิลล์ได้รับมอบหมายจากฝ่ายราชวงศ์บางกลุ่ม ลงมือทำอะไรบางอย่างกับอินทิส แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวและต้องเปิดเผยตัวเอง ส่งผลให้ถูกครึ่งเทพของพวกมันตามล่า…
แต่จากข้อมูลล่าสุด ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ใช่แบบนั้น… วิญญาณมารในตัวมันปรารถนาตะกอนพลังของเส้นทาง ‘นักล่า’ และทันทีที่สามารถควบคุมร่างกายได้ชั่วขณะ มันจะไล่ฆ่าผู้วิเศษในเส้นทางนักล่า… ผลลัพธ์อาจเป็นได้ทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ก็ไม่แคล้วลงเอยด้วยการถูกครึ่งเทพของเส้นทางนักล่าหมายหัว โดยที่อีกฝ่ายอาศัยสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของนักล่าเพื่อสะกดรอยตาม… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งเชื่อว่าข้อสันนิษฐานล่าสุดเข้าใกล้ความจริง
เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่า เหตุใดอินซ์·แซงวิลล์ที่ครอบครอง 0-08 ถึงถูกพบตัว!
ในเวลาเดียวกัน หุ่นเชิดเอ็นโซและลูเธอร์ไวล์ก้มตัวลงและบีบนวดขาของไคลน์
ปัจจุบัน ข้อมูลที่ค่อนข้างแน่ชัดมีเพียง วิญญาณมารตนดังกล่าวอยู่บนเส้นทางนักล่า… เราจะตอบจดหมายเลียวนาร์ดและให้หมอนั่นคอยชี้นำถุงมือแดงให้สำรวจในทิศทางนี้… เฮ่อ… แต่หมอนั่นเล่นละครไม่เก่ง ไม่ชำนาญจิตวิทยามนุษย์ คงไม่แคล้วได้ถูกเปิดโปงเข้าจนได้… แต่ก็ไม่แน่ เลียวนาร์ดอาจจะโยนเรื่องทั้งหมดให้กับสายข่าวนิรนามไม่เปิดเผยตัวตน… สายข่าวที่ไม่เคยมีอยู่จริง… วิญญาณมารของเส้นทางนักล่า… วิญญาณมารของเส้นทาง… นักล่า… ดวงตาไคลน์พลังเบิกโพลง ลำตัวลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ปล่อยให้หุ่นเชิดทั้งสองพลันเหม่อลอย
ไคลน์รู้จักวิญญาณมารไม่มากนัก และจากบรรดาทั้งหมด มีเพียงตนเดียวที่อยู่บนเส้นทางนักล่า!
ดวงวิญญาณดังกล่าวมีแก่นเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี โดยผสานเข้ากับดวงวิญญาณของเทวทูตลำดับ 1 อีกสองตนจากตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์น!
หากเป็นเส้นทางนักล่า คงไม่มีวิญญาณมารตนใดที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกแล้ว เว้นเสียแต่ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์จะยังหลงเหลือเศษเสี้ยวดวงวิญญาณ!
ก่อนหน้านี้ อินซ์·แซงวิลล์อยู่ในเบ็คลันด์ และวิญญาณมารที่น่าจะเป็นเมดีชีก็อยู่ในเบ็คลันด์เหมือนกัน…
และในภายหลัง วิญญาณมารสามารถหลบหนีจากผนึกโดยไม่มีใครทราบที่ไป ในทางกลับกัน อินซ์·แซงวิลล์ก็ถูกวิญญาณมารเข้าจริงจนต้องทุกข์ทรมาน
วิญญาณมารทั้งสองเป็นเส้นทางนักล่าเหมือนกัน…
อย่าบอกนะว่า… วิญญาณมารที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์คือเทวทูตสีชาด? ไคลน์ขมวดคิ้ว แทบไม่เชื่อการคาดเดาของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ยิ่งขบคิดก็ยิ่งมองเห็นถึงความเป็นไปได้!
ท่ามกลางกระแสข้อมูล มันพบหลักฐานสนับสนุนใหม่:
คุณสมบัติพิเศษของ 0-08 ก็คือ ‘ทุกการตระหนักถึงจะถูกล่วงรู้’ แน่นอนว่า เมดีซีที่เป็นราชาเทวทูตจากยุคสมัยที่สอง ย่อมทราบข้อมูลของ 0-08 อย่างทะลุปรุโปร่ง!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากวิญญาณมารตระหนักถึง 0-08 ตัว 0-08 เองก็จะตระหนักถึงวิญญาณมารด้วยเช่นกัน เกิดเป็นความเชื่อมโยงในบางแง่มุม
อา… เรายังเคยได้ยินวิญญาณมารพูดว่า ‘ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน’ … บ้าจริง… แต่ปัญหาก็คือ เราเคยสันนิษฐานว่า วิญญาณมารตนนั้นครอบครองตะกอนพลังลำดับ 1 อย่างน้อยหนึ่งก้อน ไม่มีเหตุผลให้มันต้องไปไล่เก็บผู้วิเศษเส้นทางนักล่า… หรือว่ามันไม่สามารถย่อยตะกอนพลังของลำดับ 1 ได้? ไคลน์ลูบหน้าผากด้วยความเคร่งเครียด ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก
หลังจากนั่งลงและเสกปากกากับกระดาษ มันเขียนประโยคทำนาย
“ผู้ที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์ คือวิญญาณมารที่ถูกผนึกในซากปรักหักพังใต้ดินของอลิสต้า·ทูดอร์”
หลังจากอ่านทวนซ้ำทุกคำนานหลายวินาที ไคลน์ถอดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายเพื่อทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณ
เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่มันเห็นก็คือ
จี้บุษราคัมแน่นิ่ง
หมายถึงการทำนายล้มเหลว
ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป แถมยังมี 0-08… ไม่สิ วิญญาณมารยังมีไพ่นักบวชสีชาด ไพ่ใบดังกล่าวมีพลังต่อต้านการทำนายอย่างรุนแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะล้มเหลวเมื่อเผชิญหน้าสามสิ่งนี้พร้อมกัน… อา แต่นั่นก็เท่ากับเป็นการยืนยันทางอ้อมไม่ใช่หรือ? ไคลน์ขบคิดหาเหตุผล ไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีที่พอจะทดสอบหาความจริง
มันเอานิ้วเคาะลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาว พึมพำกับตัวเอง
นอกจากจะฝากฝังให้เลียวนาร์ดคอยชักนำการสืบสวนของถุงมือแดง เราเองก็ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเช่นกัน…
สมมติให้วิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ เข้าสิงอินซ์·แซงวิลล์และมีโอกาสควบคุมร่างกายเป็นครั้งคราว มันจะหาตะกอนพลังหรือวัตถุดิบของเส้นทางนักล่าได้จากที่ไหน?
ทรีอาร์ เมืองหลวงของอินทิส? นักบุญมิลอน เมืองหลวงของฟุซัค? หรือจะอาศัยไพ่เย้ยเทพเพื่อดึงดูดแมลงเม่าเข้ากองไฟด้วยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ?
เดี๋ยวก่อนนะ… มันเคยเล่าว่า ลูกหลานของตระกูลเมดีซีอยู่ในท่าเรือแบนชี…
แม้จะถูกทำลายจนราบคาบ แต่ก็น่าจะมีบางสิ่งหลงเหลืออยู่!
นอกจากนั้น วิญญาณมารที่เกิดจากการผสานสามเทวทูตเข้าด้วยกัน มีนิสัยยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของวิญญาณมารที่เลียวนาร์ดอธิบายในจดหมาย… บางที มันอาจจงใจทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้บนเกาะแบนชี…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมาพร้อมกับสวดวิงวอน เนื้อหาระบุให้ ‘แฮงแมน’ แวะกลับไปเยี่ยมท่าเรือแบนชีอีกครั้งเพื่อสำรวจหารายละเอียดเพิ่มเติม
หลังจากจัดการเสร็จ ไคลน์ไตร่ตรองอย่างละเอียด หากยืนยันได้ว่าวิญญาณมารในตัวอินซ์·แซงวีลล์เป็นเทวทูตสีชาดจริง ตนสามารถใช้กฎการดึงดูดของพลังพิเศษเพื่อวางกับดักล่วงหน้าได้ไหม?
เส้นทางนักล่า… นักล่า… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พลันนึกถึงนักล่าสองคนที่กำลังเตร็ดเตร่อยู่ในไบลัมตะวันตก
มันขมวดคิ้วเล็กน้อย วิเคราะห์ตามความเคยชิน
ไบลัมตะวันออกและตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และระยะทางจากเมืองสุดท้ายที่อินซ์·แซงวิลล์ปรากฏตัว กับเมืองของแคว้นเหนือที่เดนิสกับแอนเดอร์สันอาศัยอยู่ ก็อยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ต่อให้เป็นครึ่งเทพ แต่ถ้าไม่มีพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบวัน ในทางทฤษฎี เดนิสและแอนเดอร์สันจะยังปลอดภัยไปอีกสักพัก… ถึงลำดับของพวกเขาจะค่อนข้างต่ำ แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าจะปลอดภัย…
…
ไบลัมตะวันตก แคว้นเหนือ เมืองคูคัว
เดนิสเหลือบมองแอนเดอร์สันด้านข้าง โพล่งขึ้นด้วยคำถาม
“ฉันจะไปสืบหาข้อมูล แล้วทำไมนายถึงยังตามมา? ไม่ใช่ว่าต้องกลับไปทะเลหมอกผ่านท่าเรือเบห์เรนส์รึไง?”
………………………………………….