หลังจากประหลาดใจสักพัก เอ็มลินอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบตัวด้วยความสงสัยว่า เดอะเวิร์ลอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกของวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
อย่างที่ทราบกันดี มันไม่เคยเอ่ยถึงเทียนไขจิตฝันร้ายในชุมนุมทาโรต์ และบิชอปยูทรอฟสกี้ก็แทบไม่เคยขัดแย้งกับใครจนต้องใช้สมบัติวิเศษ หากไม่ใช่เพราะนักสืบเชอร์ล็อกเตือนให้มันฉุกคิดว่า การที่ตนอยากแวะมาวิหารฤดูเก็บเกี่ยวทุกๆ วัน อาจเป็นเพราะถูกฝังการโน้มน้าวทางใจ และตัดสินไปถามบิชอปตรงๆ จนได้รับคำตอบ เกรงว่าแม้แต่ตัวมันก็คงไม่ทราบถึงการมีอยู่ของเทียนไขจิตฝันร้าย
ทันใดนั้น เอ็มลินพลันรู้สึกว่าทุกคนดูเหมือน ‘เดอะเวิร์ล’ ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นชายวัยกลางคนลงพุง หญิงชราที่สวมผ้าโพกศีรษะสีเทา สาวสวยแต่งตัวนำสมัย ทุกคนล้วนมีบางส่วนคล้ายคลึงเดอะเวิร์ล
ท่าไม่ดีแล้ว… เราต้องหาคำตอบให้ได้ ชายคนนั้นรู้จักสภาพแวดล้อมรอบตัวเราดีเกินไป… กระทั่งต่อหน้ามิสเตอร์ฟูล เรายังไม่เคยพูดถึงบางเรื่อง… เอ็มลินลุกขึ้นยืนด้วยอาการผวาเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องพักนักบวชด้านหลัง ตอบกลับเดอะฟูลท่ามกลางความเงียบสงบ
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ข้าต้องการพูดคุยกับเดอะเวิร์ลโดยตรง”
ไม่ถึงสิบวินาที แสงสีแดงอาบร่างเอ็มลินอย่างท่วมท้นประหนึ่งคลื่นน้ำ
ถัดมา มันพบว่าตัวเองกลับมาอยู่บนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง กำลังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมท่ามกลางพระราชวังอันงดงาม
สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งหนึ่งมี ‘เดอะเวิร์ล’ นั่งรออยู่ก่อนแล้วในลักษณะพร่ามัว
เทียบกับสมัยอดีต เอ็มลินทำตัวดีขึ้นมาก ไม่รีบร้อนสนทนากับเดอะเวิร์ล แต่เลือกทักทายเดอะฟูลซึ่งกำลังเฝ้ามองด้วยท่าทีผ่อนคลาย จึงค่อยหันกลับมายังสุดขอบโต๊ะทองแดงลวดลายเก่าแก่อีกฝั่งและกล่าว
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าสามารถหาเทียนไขจิตฝันร้ายให้ได้?”
เดอะเวิร์ลภายใต้การควบคุมของไคลน์ ตอบเสียงทุ้มและแหบ
“พวกเราอาจจะเคยพบกันมาก่อน”
มันมิได้ลงลึกรายละเอียด ระบุเฉพาะจุดที่สำคัญ ส่วนเอ็มลินจะพบคำตอบหรือไม่นั่น คงต้องให้เป็นปัญหาของเจ้าตัว
แน่นอน ไคลน์เชื่อว่าเอ็มลินยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ได้ในตอนนี้ เพราะท้ายที่สุด เบาะแสบ่งชี้ยังน้อยเกินไป
เอ็มลินขมวดคิ้ว พยายามตีกรอบผู้ต้องสงสัยลง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าใครคือเดอะเวิร์ล
“เชื่อเถอะ ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อสมาชิกของชุมนุมทาโรต์” เมื่อเห็นว่าเอ็มลินเงียบไปนาน เดอะเวิร์ลเสริมอีกหนึ่งประโยค
เฮ่อะ… สักวัน ข้าจะหาตัวเจ้าให้พบ! เอ็มลินพึมพำก่อนจะถาม
“เจ้าจะนำเทียนไขจิตฝันร้ายไปทำอะไร? ข้าต้องมีเหตุผลที่ดีในการขอยืม”
ไคลน์ระงับมือขวาของตนมิให้ยกขึ้นมาจับขมับ บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าว
“รักษาอาการทางจิตของตัวเอง”
รักษา… อาการทางจิต? เอ็มลินสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยืดหลังตั้งตรงอีกครั้ง
มองกลับไปทางเดอะเวิร์ล ภาพที่เห็นช่วยให้มันระบุได้ว่า อีกฝ่ายคือชายเสียสติแสนอันตราย
“…” เทียนไขจิตฝันร้ายรักษาอาการทางจิตได้จริง… เอ็มลินใช้ความคิดสักพัก “ข้ายืมให้ได้แค่ครึ่งวัน ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหา” ไคลน์อดทนต่อเสียงอ้อนวอนและข่มขู่ภายในหัว บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบกลับ
หากเทียนไขจิตฝันร้ายแก้ปัญหาได้ เพียงสิบห้านาทีก็เกินพอ แต่ถ้าไม่ได้ผล ต่อให้ยืมหนึ่งวันหรือหนึ่งเดือนก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้น ปัจจัยด้านเวลาจึงมิได้สลักสำคัญ
เอ็มลินคำนวณในใจสักพัก
“ค่าเช่าสามร้อยปอนด์ รวมถึงการบันทึกพลังลงในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่จำนวนห้าหน้า”
มันต้องการแบ่งเบาภาระหนี้ของตนลงครึ่งหนึ่ง
ห้าหน้า… หมอนี่ใช้ไปกี่หน้ากันแน่? ไคลน์รำพัน สั่งให้เดอะเวิร์ลพูด
“ตกลง”
หลังจากเจรจาธุรกิจเสร็จ เอ็มลินกลับสู่โลกความจริง เดินออกจากห้องพักของนักบวช
เมื่อมองไปรอบๆ มันพบว่าบิชอปยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์กำลังยืนคุยกับสาวกอยู่หน้าแท่นบูชา ภายในใจเริ่มเกิดความประหม่า
แม้จะเชื่อใจคำพูดของเดอะเวิร์ล แต่อันที่จริง มันไม่เคยยืมสิ่งของมูลค่าสูงจากบิชอปมาก่อน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอย่างไร
ขณะกวาดสายไปโดยไม่รู้ตัว เอ็มลินสำรวจรอบๆ โถงสวดมนต์
เราเคยช่วยหลวงพ่อรักษาชีวิตชาวเมืองจำนวนมากที่ติดโรคระบาด… เคยถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรให้สาวกที่ใฝ่เรียน คอยช่วยเผยแผ่คำสอนของพระแม่ให้กับชาวเมืองละแวกนี้ กับแค่ยืมเทียนไขจิตฝันร้ายสักครึ่งวันจะเป็นอะไรไป? เอ็มลินเชิดคาง เดินเข้าหาบิชอปยูทรอฟสกี้ที่สูงจนต้องเงยหน้า กระแอมในลำคอและพูด
“เพื่อนของข้าคนหนึ่งมีปัญหาทางจิต ขอยืมเทียนไขจิตฝันร้ายได้ไหม?”
มันมิได้รำลึกบุญคุณ เพราะศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
บิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองเอ็มลินในชุดคลุมนักบวช เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ตกลง”
ง่ายๆ แบบนี้เลย? เอ็มลินถึงกับผงะ ไม่อยากเชื่อว่าบิชอปจะยินยอม
คล้ายกับมิอาจทำใจยอมรับ มันถามกลับ
“ไม่กลัวข้าทำหายหรือ”
บิชอปยูทรอฟสกี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดจบในตัวเอง กลับคืนสู่ผืนธรณี ฝังลึกลงใต้ดินและงอกเงยขึ้นมาใหม่ เจริญเติบโตและผลิดอกออกผล ส่งต่อชีวิตไปเรื่อยๆ … ไม่มีอะไรหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ได้ หากเทียนไขจิตฝันร้ายสูญหาย หมายความว่าผมกับมันหมดวาสนาต่อกัน ต้องอดทนรอโชคชะตาและการ ‘ดลบันดาล’ ของพระมารดา”
การสูญเสียเทียนไขจิตฝันร้ายคือชะตากรรม… ถ้าอย่างนั้น ข้าที่เกือบถูกเจ้าทุบตีจนตายก็เป็นชะตากรรมเหมือนกัน? เอ็มลินหัวเราะแห้ง ไม่ถามสิ่งใดต่อ รับเทียนไขพิสดารมาจากนักบวชครึ่งคนยักษ์
ถัดมา มันใช้ข้ออ้างว่าจะไปรักษาเพื่อน ปลีกตัวออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว สุ่มเข้าพักในโรงแรมและประกอบพิธีกรรมสังเวย
…
เหนือมิติสายหมอก เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ได้รับเทียนไขจิตฝันร้าย
สมบัติวิเศษชิ้นนี้คล้ายกับไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ผิวชั้นนอกดูเหมือนหนังมนุษย์ มีรอยขรุขระหลายแห่ง
แท่งเทียนสั้นมาก ดำสนิทถ้วนทั่ว ลวดลายคล้ายเกล็ดเล็กๆ
ไคลน์ไม่มัวรีรอ ไม่คิดปล่อยให้อีกหนึ่งบุคลิกเติบโต อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายยังอ่อนแอรีบถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้น จุดจบเดียวที่รอตนอยู่คือการคลุ้มคลั่ง และเหนือสิ่งอื่นใด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของมิติหมอก การต่อสู้ระหว่างสองบุคลิกในร่างกายจะไม่ส่งผลกระทบต่อภายนอก
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ยื่นมือออกไปเพื่ออัญเชิญคทาเทพสมุทร
สำหรับครั้งนี้ ชายหนุ่มมิได้ลงมือทำนาย เพราะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ‘เรา’ หมายถึงใคร ผลลัพธ์ที่ได้จึงไร้ค่า
เป๊าะ!
ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดเทียนไขจิตฝันร้าย
บนเทียนไขสีดำสนิท เปลวไฟมายาสีฟ้าอ่อนลุกไหม้อย่างเงียบงัน มอบความสว่างไสวให้กับวังลึกลับ
โดยไม่รู้ตัว สภาพแวดล้อมรอบตัวไคลน์พลันแปรเปลี่ยน ตู้กับข้าว โต๊ะทำงาน เตาถ่าน เตียงสองชั้น และมิเตอร์แก๊สเริ่มปรากฏในการมองเห็น นอกหน้าต่างมีแสงจันทร์สีแดงเข้มสาดส่องอย่างเงียบงัน ฉาบทุกสิ่งไว้ด้วยชั้นสีแดงบางๆ
นี่คือห้องพักที่ครอบครัวโมเร็ตติเคยอาศัย!
นี่คือจุดเกิดเหตุซึ่งไคลน์·โมเร็ตติยิงตัวตาย!
ในวินาทีนี้ ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงชั้นล่าง จ้องไคลน์ผู้กำลังถือคทาเทพสมุทรด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
เส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หุ่นผอมบาง โครงหน้าชัดลึก มีกลิ่นอายของนักวิชาการ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไคลน์’ อีกหนึ่งคน
‘ไคลน์’ คนนี้กล่าวด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
“นายยึดครองร่างฉัน… ตอนนี้ยังคิดจะทำลายวิญญาณของฉันให้สิ้นซากอีกหรือ? ฉันคือไคลน์·โมเร็ตติ! นายมันก็แค่นักเดินทางข้ามโลกที่น่ารังเกียจและไร้ยางอาย ไอ้กาฝาก!”
คล้ายกับมีพละกำลังเพิ่มขึ้น แต่มิอาจหยิบจับวัตถุภายนอกมาใช้งาน
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงเดินเข้าไปใกล้ด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม
ทันใดนั้น สีหน้าของ ‘ไคลน์’ อีกคนค่อยๆ แปรเปลี่ยน ความหวาดกลัวเข้าครอบงำดวงตาอย่างชัดเจน
มันห่อตัวลง อ้อนวอนด้วยร่างกายที่สั่นระริก
“ปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไปเถอะนะ… นายขโมยน้องสาวฉัน ขโมยพี่ชายฉัน ปล้นชีวิตฉัน แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ? ฉันสัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ ในร่างกายตัวเอง คอยช่วยนายวิเคราะห์ปัญหาและมอบคำแนะนำ สัญญาว่าจะไม่พยายามยึดครอง… ได้โปรดปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไป”
ไคลน์ยังคงเงียบ แต่มือขวาที่ถือคทาเทพสมุดยกขึ้น
ทันใดนั้น ‘ไคลน์’ ที่เอาแต่ร่ำไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม ตะโกนด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธและหวาดกลัว
“ฉันแค่ต้องการเตือนนายเท่านั้น! ถ้าไม่เพราะหวังดี ฉันจะเปิดเผยตัวเองออกมาทำไม! ปล่อยฉันไป… ฉันสาบานว่าไม่มีเจตนาร้าย!”
ไคลน์จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ปริปาก ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อให้อัญมณีสีน้ำเงินเปล่งแสงทีละเม็ด
สายฟ้าหลายเส้นผุดขึ้นจากความว่างเปล่า บิดเป็นเกลียวในลักษณะการสอดประสาน ฟาดลงมาปะทะและห่อหุ้มร่าง ‘ไคลน์’ จนดูคล้ายกับพายุ
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ร่างของเป้าหมายสลายไปในบันดล ร่องรอยทั้งหมดถูกอสรพิษสายฟ้าลบออกจนเกลี้ยง
สมกับที่เป็นตัวเรา… รู้ถึงจุดอ่อนในหัวใจ รู้จักวิธีอ้อนวอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด… แต่เรายังจดจำตัวเองได้อย่างมั่นคง… เราคือโจวหมิงรุ่ยผู้ผสานเข้ากับชิ้นส่วนความทรงจำและอารมณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ หากเราปล่อยมันไป นั่นจะเท่ากับการยอมรับให้มีอีกหนึ่งบุคลิกอยู่ในร่าง และจะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งทันทีเมื่อกลับสู่โลกความจริง… ไคลน์หลับตาลงพลางวางคทาเทพสมุทร ถอนหายใจแผ่ว
จากนั้น ด้วยสติที่คมชัด มันบังคับให้ตัวเองออกจากโลกความฝัน
…………………………………………..