ติดเชื้อลึกลับบนเกาะนิรนามและเสียชีวิต แต่กลับปรากฏตัวบนเกาะเดิมอีกครั้ง? จักรพรรดิ เปลี่ยนมาเขียนนิยายสยองขวัญตั้งแต่เมื่อไร? นอกจากนั้น รายละเอียดที่เหลืออยู่ไหน? สายตาของไคลน์จับจ้องบรรทัดสุดท้ายของไดอารีแผ่นที่สาม แต่ก็พบว่าไม่มีเนื้อหาเพิ่มเติม
นอกจากนั้น การรวมตัวของสัตว์วิเศษที่จักรพรรดิโรซายล์กล่าวถึง ไม่ทราบว่าพวกมันกำลังสวดวิงวอนถึงใคร สิ่งนี้สร้างความหวาดผวาให้ไคลน์ไม่น้อย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ใช่สัตว์วิเศษทั้งหมดจะทรงปัญญา สามารถสื่อสารระหว่างกัน มีหลายตัวที่อยู่ในภาวะเสียสติ ทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน
และสัตว์วิเศษเสียสติเหล่านั้นกำลังรวมตัวกัน สักการบูชาตัวตนนิรนาม!
น่าเสียดาย จักรพรรดิไม่ได้ทิ้งพิกัดของเกาะนิรนามไว้… แต่ถึงจะทิ้งไว้ เราก็ไม่กล้าแวะไปสำรวจอยู่ดี หากติดเชื้อตาย การเกิดใหม่อาจมีขึ้นบนเกาะเดิม นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่… อย่างน้อยก็ต้องมีลำดับ 4 หรือ 3 ก่อนจะเข้าไปสำรวจได้อย่างมั่นใจ… ไคลน์ครุ่นคิด พลางสลายไดอารีในมือ จ้อง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้องการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาไม่เสียเวลานึก ถามกลับทันที
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันอยากทราบว่าจักรพรรดิโรซายล์เคยเข้าร่วมองค์กรลับและเก่าแก่อย่างมากหรือไม่”
องค์กรลับที่เก่าแก่มาก… สภานักสิทธิ์สนธยา? จักรพรรดิโรซายล์เคยเป็นสมาชิกของกลุ่มคนดังกล่าว? ‘จัสติส’ ออเดรย์พลันนึกถึงองค์กรลับที่มิสเตอร์ฟูลเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เองก็นึกถึงสิ่งที่สอดคล้องกัน มันยังจำได้ว่ามิสจัสติสเคยบรรยายถึงเหตุการณ์ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ในกรุงเบ็คลันด์ มีการเอ่ยถึงองค์กรลับหนึ่ง ตอนนั้นมิสเตอร์ฟูลบอกกับสมาชิกทุกคนว่า อย่าพูดชื่อองค์กรดังกล่าวบนโลกภายนอก เพราะอีกฝ่าย ‘จะได้ยินทุกสิ่ง’ !
องค์กรระดับนั้นสอดคล้องกับฐานะของโรซายล์… อัลเจอร์พยักหน้าในใจ
‘เดอะฟูล’ ไคลน์ กำลังคิดถึงอีกหนึ่งสิ่ง
จุดประสงค์ในการเลือกหน้าไดอารีของราชินีเงื่อนงำยังคลุมเครือ เธอไม่สามารถตั้งคำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาได้แม่นยำนัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอทราบแค่ว่าไดอารีหน้าไหนมีความสำคัญ เก็บซ่อนข้อมูลลับบางอย่าง หรือไม่ก็อาจคาดเดาจากอารมณ์ของโรซายล์ด้วยลายมือ
ส่วนคำถามของมาดามเฮอร์มิท ไคลน์ตอบได้ไม่ยากเย็น จึงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับอีกฝ่าย
“ถูกต้อง”
ขณะเดียวกัน มันเตือนตัวเองในใจอย่างเงียบงัน
คำถามของราชินีเงื่อนงำในอนาคตคงอันตรายขึ้นเรื่อยๆ เพราะนั่นจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของไดอารีที่เธอส่งมา… อา… เราเคยอ่านไดอารีของโรซายล์มาแล้วหลายหน้า มีข้อมูลของอีกฝ่ายมากพอสมควร
กล่าวจบ มันไม่ได้เสริม เพิ่งยิ้ม
“เชิญ”
มันไม่ได้ระบุออกไปตรงๆ ว่าเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา เพราะคิดว่าสามารถนำคำตอบนี้มาใช้ได้ในครั้งถัดไป
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็มองไปทาง ‘เมจิกเชี่ยน’ และกล่าว
“ดิฉันอยากได้เบาะแสของทายาทเลือดบริสุทธิ์ตระกูลอับราฮัม ค่าตอบแทนหนึ่งพันปอนด์”
หญิงสาวเสนอราคาโดยไม่สั่นไหว เพราะราชินีเงื่อนงำจะเป็นคนออกแทน
ทำไมถึงจ้องเราแล้วพูดออกมา? เธอรู้หรือว่าอาจารย์ของเราเป็นสมาชิกตระกูลอับราฮัม? ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สประหลาดใจในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ เรื่องดังกล่าวคือข้อมูลที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ยกเว้นเมจิกเชี่ยนล้วนทราบกันดี เป็นหัวข้อสนทนาที่เคยแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาอิสระ
แม้ว่าเงินจำนวนหนึ่งพันปอนด์จะน่าดึงดูด แต่ฟอร์สก็ไม่คิดทรยศอาจารย์ด้วยการขายข้อมูลให้ใคร ตั้งแต่เกิดมาจวบจนวันนี้ คนที่ทำดีกับเธอด้วยความจริงใจ สามารถนับครบได้ด้วยมือข้างเดียว ดังนั้น หญิงสาวหวงแหนสายสัมพันธ์ประเภทนี้มาก
พิจารณาสักพัก ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สถามกลับ
“คุณเอาไปทำอะไร? ถ้าคุณแจ้งเหตุผลได้ ฉันจะถ่ายทอดเหตุผลนั้นให้พวกเขา ส่วนจะมีความคืบหน้าหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทางนั้น ฉันไม่รับประกัน”
เป็นอย่างที่คิด ภายนอกอาจดูธรรมดา แต่ภายในซ่อนความลับไว้มากมาย เป็นผู้หญิงที่รอบคอบและไม่ประมาท… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน พยักหน้ารับแผ่วเบา
“สมเหตุสมผล… ฉันตามหาทายาทของตระกูลอับราฮัมเพราะอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตู รบกวนฝากข้อความนี้ไปให้พวกเขา จากนั้นก็รอดูท่าทีตอบสนอง… เอาเป็นว่า เพียงแค่ฝากข้อความ ฉันจะจ่ายให้คุณสามร้อยห้าสิบปอนด์ ถ้าพวกเขายินดีสานต่อความคืบหน้า ฉันจะจ่ายเงินอีกหกร้อยห้าสิบปอนด์”
ฟอร์สครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ตกลง”
กล่าวจบ เธอเพิ่งตระหนักถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดมาดามเฮอร์มิท
มิสเตอร์ประตูเกี่ยวข้องกับตระกูลอับราฮัมด้วยหรือ? จริงสิ… กำไลข้อมือที่เราได้รับจากมาดามอาริสา เป็นของตระกูลอับราฮัมไม่ผิดแน่… อา… อาจารย์ยังไม่ทราบว่า เรารู้ว่าแล้วเขาคือคนของตระกูลอับราฮัม… เราทำได้แค่พูดลอยๆ ในจดหมายที่ส่งถึงเขา ระบุว่าในการชุมนุมลับแห่งหนึ่ง เราได้ยินใครบางคนกำลังมองหาทายาทสายเลือดแท้ของอับราฮัม และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ประตู… อาจารย์จะตอบสนองกลับมาแบบไหนนะ…
ขณะเดียวกัน มิสจัสติสที่นั่งข้างๆ เริ่มยินดีจากก้นบึ้ง เนื่องจากอีกฝ่ายจะได้หลุดพ้นจากภาวะถังแตกเสียที
ฟอร์สกลายเป็นลำดับ 7 แล้ว ใกล้จะไล่เราทัน เราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเลื่อนเป็น ‘นักสะกดจิต’ ให้เร็วขึ้น… ขณะคิดเช่นนี้ หญิงสาวหันหน้าไปทางสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่นๆ หวังว่าจะพบเบาะแสเกี่ยวกับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท
สายตาของมิสจัสติสนั้นยากที่จะปฏิเสธ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วน เพราะในชุมนุมลับของเธอ ไม่เคยมีเบาะแสเกี่ยวกับผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ฝั่งตรงข้าม ใคร่ครวญสองสามวินาที
“ผมมีเบาะแส แต่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองสัปดาห์ก่อนจะรวบรวมได้”
มันมีเบาะแสจริง เมื่อนานมาแล้ว อัลเจอร์และคีลิงเกอร์เคยเข้าไปสำรวจในเกาะโบราณ พบต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท เนื่องจากตอนนั้นยังแข็งแกร่งไม่พอ จึงไม่พยายามเข้าใกล้ แต่ปัจจุบัน มันกำลังจะได้เลื่อนเป็นลำดับ 5 ย่อมไม่ต้องการปล่อยโอกาสทำเงินให้หลุดลอย นอกจากนั้น มันยังต้องจ่ายค่าข้อมูลสัตว์ทะเลอ็อบนิสให้ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ ด้วย
ส่วนเหตุผลที่ต้องพูดในตอนนี้ เพราะอัลเจอร์ต้องการประกาศความเป็นเจ้าของล่วงหน้า – เมื่อถึงเวลา มันจะเข้าไปสำรวจพร้อมเดอะเวิร์ล จึงต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก่อนว่ามันหมายตาสิ่งใดไว้ หลีกเลี่ยงความขัดแย้งขณะแบ่งสมบัติ
ดังนั้น หากเผชิญหน้ากับต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท มีความเป็นไปได้สูงที่ ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะทำเพียงเฝ้ามองอยู่ข้างๆ ไม่ยืนมือช่วยเหลือ
“ไม่มีปัญหา!” ออเดรย์ดีใจ ไม่แม้แต่จะถามราคา
หากไม่มีคนขาย เธอคิดที่จะกลับไปยังเบ็คลันด์ในเดือนมิถุนายน ใช้ข้ออ้างบางประการเพื่อซื้อมันโดยตรงจากสมาคมแปรจิต
เมื่อสิ้นสุดธุรกรรมทั้งสอง เนื่องจากสมาชิกคนอื่นยังไม่มีความต้องการใหม่ๆ เพิ่มเติม ดังนั้น ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาจึงย้อนกลับมาถามหาเลือดของสัตว์ในตำนานอีกครั้ง เฉกเช่น ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน มันถามหาความคืบหน้าของบุคคลในใบประกาศจับที่คาดว่าน่าจะเป็นสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว ชุมนุมทาโรต์จึงดำเนินเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“ผมกลายเป็น ‘ผู้รับรอง’ แล้ว”
ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเราก็ได้… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์อยากจะเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า แต่สุดท้ายก็ตอบกลับอย่างใจเย็น
“แม้ว่า ‘ผู้รับรอง’ จะช่วยเสริมสมรรถภาพร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่ปริมาณที่มากมายอะไร ยังคงมีหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุน หากคุณ ‘รับรอง’ ให้ใครสักคน พลังพิเศษของเป้าหมายจะถูกยกระดับเป็นเวลาสั้นๆ แต่ถ้าคุณ ‘ไม่รับรอง’ เป้าหมายจะอ่อนแอลง นอกจากนั้น ผู้รับรองยังมีพลังในการทำพันธสัญญา เมื่อคุณลงนามบนสัญญาและเกิดเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้แต่ผู้วิเศษลำดับ 5 ก็ไม่สามารถละเมิดสัญญานี้ได้ กระทั่งลำดับ 4 ครึ่งเทพ หากต้องการฝืนยกเลิกสัญญา ก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยบทเรียนราคาแพง”
ในฐานะสมาชิกโบสถ์วายุสลาตัน การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของเส้นทางสุริยันคือสิ่งพื้นฐาน ดังนั้น อัลเจอร์สามารถอธิบายรายละเอียดให้เดอะซันน้อยฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเตือนให้อีกฝ่ายเลือกสมบัติวิเศษที่สามารถตรึงเป้าหมาย แต่ถ้าไม่มี ก็จงเลือกสมบัติที่โจมตีได้หนักหน่วง
“ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคขอบคุณจากก้นบึ้ง
ภายในใจของเด็กหนุ่ม จากสมาชิกทั้งหมดของชุมนุมทาโรต์ บุคคลที่ยิ่งใหญ่และควรค่าแก่การเคารพมากที่สุดคือมิสเตอร์ฟูล บุคคลที่น่าชื่นชมและควรเอาเป็นแบบอย่างคือมิสเตอร์เวิร์ล และบุคคลที่ไว้ใจได้ มีจิตใจงดงามมากที่สุดคือมิสเตอร์แฮงแมนผู้ชาญฉลาด
ขณะเดียวกัน ‘เดอะมูน’ เอ็มลินคิดในใจ
เจ้านี่กำลังจะตามเราทันแล้ว ไม่มีทาง… จะปล่อยให้แซงหน้าไม่ได้ เราต้องรีบล่าให้เสร็จโดยเร็วและรับรางวัลก้อนใหญ่!
มันครุ่นคิดสองสามวินาที หลังจากได้รับอนุญาตโดยมิสเตอร์ฟูล เอ็มลินเสก ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ ที่มีลักษณะเหมือนแท่งไม้เรียวขึ้น
“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน มีใครทราบไหมว่ามันคืออะไร?”
มันทราบดีว่ามิสเตอร์ฟูลคงรู้คำตอบ แต่ปัจจุบันยังไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับคำตอบของตัวตนลึกลับและทรงพลัง ดังนั้น ที่พึ่งเดียวจึงเป็นสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมนุมทาโรต์
นี่มันหุ่นกระบอกที่เราเห็นในชุมนุมลับไม่ใช่หรือ? มิสเตอร์มูนพบเป้าหมายแล้วสินะ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สรอคอยคำตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเพ่งมองสักพัก ค่อยๆ ขมวดคิ้วและกล่าว
“น่าจะเป็น ‘ทูตแห่งจันทรา’ ”
“เป็นวัตถุวิเศษที่สร้างโดยฝีมือของสาวกดวงจันทร์บรรพกาล พวกมันอาศัยพิธีกรรมนองเลือดที่กินเวลานานนับร้อยปีเพื่อให้กำเนิดสิ่งนี้ กล่าวกันว่ามีพลังเวทมนตร์เข้มข้น แต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความสยดสยองเหนือพรรณนา… คุณเอามาจากไหน? สิ่งนี้อันตรายมาก ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการส่งมอบมันให้เบื้องบนของผีดูดเลือด”
‘เดอะมูน’ เอ็มลินเปลี่ยนท่านั่ง หัวเราะพลางกล่าว
“ข้าพบมันขณะล่าสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… หล่อนตายไปแล้ว ส่วนข้ายังมีชีวิตอยู่”
การโอ้อวดของมิสเตอร์มูน ไม่ว่าใครก็คงมองออก… ‘ผู้ชม’ มากประสบการณ์อย่างออเดรย์หัวเราะเบาๆ ในใจ
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาผงะไปครู่หนึ่ง ถามโดยไม่ปิดบัง
“คุณทำได้ยังไง? มีเบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดคอยให้ความช่วยเหลือ?”
‘เดอะมูน’ เอ็มลินอ้าปากค้าง ตอบไม่ถูกไปสักพัก
ทันใดนั้น มันเริ่มตระหนักว่าหัวข้อสนทนาดังกล่าวไม่เหมาะแก่การเปิดเผยในเชิงลึก
“แฮ่ม!” มันกระแอมในลำคอ มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว “ข้าขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล”
………………………………..