เมื่อพิจารณาว่าสมุดบันทึกที่ราชินีเงื่อนงำคัดสรรมาอย่างดีต้องมีเนื้อหาที่สำคัญมาก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์มุ่งความสนใจไปที่เนื้อหา จ้องกระดาษสีน้ำตาลเหลืองในมือด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“11 กันยายน นับตั้งแต่กลายเป็นเทวทูต เรามีความรู้สึกว่าบุคลิกภาพของตัวเองเริ่มจางหาย ภายในใจ ภายในดวงวิญญาณ และลึกลงไปในห้วงจิต มีเสียงมากมายคอยรบเร้าตลอดเวลา พยายามสร้างอิทธิพลบางอย่าง เกิดเป็นความเย็นชาที่ยากจะควบคุม เกิดเป็นความกระหายเลือด โหดร้ายและบ้าคลั่ง”
“สิ่งเหล่านี้มิได้มาจากอิทธิพลภายนอก ไม่ใช่อิทธิพลของเทพในเส้นทางเดียวกัน เรารู้สึกอย่างชัดเจนว่ามันมาจากพันธุกรรมในร่างกาย มาจากทะเลจิตใต้สำนึกร่วมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน หรือสรุปโดยสั้น ความคิดเหล่านี้มาจากส่วนลึกของตะกอนพลังพิเศษ มิใช่จิตตกค้างของคนก่อนเพียงอย่างเดียว”
“สิ่งนี้ทำให้เรากระหายเลือด ต้องการกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่มีตะกอนพลัง ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เราต้องสิ้นเปลืองพลังใจคอยรับมือ แม้ว่าจะสวมบทบาทอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโอสถจะย่อยอย่างสม่ำเสมอ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็มิได้จางหายไป”
“เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ประตูถึงระบุว่า… สติสัมปชัญญะคือชั่วคราว เสียสติคือนิรันดร์”
“28 กันยายน เราไม่ได้เขียนไดอารี่มานานแล้ว ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านมา คล้ายกับเราเฝ้ามองตัวเองถูกแทนที่ด้วยคนแปลกหน้าตลอดเวลา เย็นชาลงจนน่าหวาดหวั่น แม้แต่แบร์นาแดต บุตรสาวของเรา ก็ยังมีโอกาสมอบความรักให้บิดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าน้อยครั้งมาก”
“ในวินาทีที่เรากำลังจะกลายเป็นบ้า คล้ายกับได้ยินคำชมเชยนับไม่ถ้วน บางส่วนเป็นเสียงของบริวารของเราเอง บางส่วนเป็นเสียงของคนที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปอาณาจักรของเรา บางส่วนเป็นเสียงของผู้ศรัทธาที่มองว่าเราคือ ‘บุตรแห่งจักรกลไอน้ำ’ คอยชมเชยเรา สรรเสริญเรา สร้างรูปปั้นให้เรา เขียนเรื่องราวให้เรา สร้างบทกวีสำหรับเรา”
“เสียงของพวกเขาเหมือนกับสมอเรือ ช่วยให้เรา ‘ค้นพบ’ ตัวเอง”
“หลังจากนั้น เราเริ่มรับมือกับความกระหายเลือดจากก้นบึ้งหัวใจ สามารถก้าวออกจากความรู้สึกอันบ้าคลั่งได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะเป็นบิดา สามี และผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีอารมณ์ปรกติ”
“เพียงลำดับ 2 การเปลี่ยนแปลงยังรุนแรงขนาดนี้ แล้วลำดับ 0 หรือเทพแท้จริง ความบ้าคลั่งจะรุนแรงมากเพียงใด?”
“บางที พวกท่านเองก็ต้องการ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ สำหรับตอบโต้เสียงยั่วยุจากตะกอนพลังซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลจิตใต้สำนึกร่วม”
“เราเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงอยากสร้างศาสนา ทำไมต้องเผยแพร่ความเชื่อ ทำไมต้องแต่งเรื่องเกี่ยวกับนักบุญในศาสนาของตัวเอง สร้างตำนานมากมายให้แก่เทวทูตบริวาร”
“แต่ทำไมพวกท่านถึงไม่เคยเผยรูปลักษณ์? สิ่งสักการะมีเพียงตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์”
“เราไม่เข้าใจเลยสักนิด”
“ไว้ถามมิสเตอร์ประตูวันหน้าก็แล้วกัน ชายคนนั้นมีข้อมูลในเชิงเทพมากทีเดียว ถ้าเขาไม่ถูกเนรเทศตั้งแต่แรก ป่านนี้โลกของเราอาจมีเทพเพิ่มอีกองค์หนึ่ง”
“29 กันยายน หลังจากอ่านไดอารี่ของเมื่อวาน เราเริ่มนึกถึงพิธีกรรมของลำดับ 4 3 และ 2 ทั้งหมดเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของตัวร้ายในนิยาย”
“ระบบลำดับในแต่ละเส้นทาง อาจหมายถึงหนทางที่ค่อยๆ นำพาผู้วิเศษไปสู่ความบ้าคลั่งและความสิ้นหวัง”
“และนี่เป็นวิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับพลังพิเศษ”
“ช่างน่าขันและขัดแย้งในตัวเอง”
“เราทุกคนพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือตัวเอง แต่กลับกลายเป็นการทำลายตัวเองให้แหลกละเอียดยิ่งขึ้น?”
เนื้อหาในหน้าแรกของไดอารี่ทำให้ไคลน์รู้สึกหนักใจและหดหู่ โรซายล์ที่เขียนประโยคเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นเทวทูต เป็นคนของสภานักสิทธิ์สนธยา เคยเห็นแผ่นศิลาเย้ยเทพ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับและตะกอนพลังนั้นดีกว่าไคลน์ในปัจจุบันหลายขุม แต่โรซายล์กลับมองโลกในแง่ร้ายมากกว่ามาก คล้ายกับโลกเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวจากแก่นสาร มีเพียงความบ้าคลั่ง และชะตากรรมที่ต้องทำลายตัวเอง
แต่ว่า… เทพทั้งเจ็ดค้นพบวิธีในการดำรงสติ มนุษย์ธรรมดาคือกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ เมื่อสติและพลังวิญญาณของพวกเขามาบรรจบกัน อาจช่วยให้เทพมี ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ตัวตนที่แท้จริง รักษาทรงจำและสติอย่างมั่นคงได้นานหลายปี… ทฤษฎีนี้สามารถอนุมานได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของโรซายล์… ทว่า เหตุใดเทพทั้งเจ็ดจึงละทิ้งรูปลักษณ์ร่างมนุษย์ของตน เปลี่ยนเป็นตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เชิงนามธรรมแทน? ฟังดูไม่สอดคล้องกับสมมติฐานสักเท่าไร… ไม่เข้าใจเลยสักนิด… ไคลน์ไม่มัวเสียเวลา เปิดไปยังหน้าถัดไปของไดอารี่
“5 ธันวาคม คืนจันทราโลหิต เราได้คุยกับมิสเตอร์ประตูอีกครั้ง”
“เขาก็ยังเหมือนเดิม มักข้อร้องในเรื่องเดิมๆ ให้เราช่วยพากลับมายังโลกแห่งความจริง แต่ก็ไม่รบเร้าเกินไปนัก และมักจะสุ่มตอบคำถามของเราเสมอ”
“หึหึ… ดูเหมือนว่าเขากำลังเล่นเกม พยายามเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเรา แต่น่าเสียดาย เราได้ปิดตายความช่วยเหลือไปนานแล้ว”
“เนื่องจากเราพอจะเคยได้ยินตำนานราชาเทวทูตอยู่บ้าง จึงถามมิสเตอร์ประตูด้วยประเด็นที่ไม่มีอะไรจะเสีย : ความแข็งแกร่งของราชาแห่งเทวทูตอยู่ในระดับใด?”
“มิสเตอร์ประตูเล่าว่า ราชาเทวทูตบางตนปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางแล้ว บางตนดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปสองครั้ง บางตนมีทั้งสองสิ่ง”
“คำว่า ‘ปรองดอง’ ถูกใช้ในลักษณะที่แปลกประหลาด เรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ได้ตอบตรงๆ เพียงบอกว่า หากใครไม่มีวิธี ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์ของเส้นทาง มิได้ประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง ก่อนจะเลื่อนเป็นลำดับ 0 เอกลักษณ์ในมือเทวทูตลำดับ 1 จะเป็นเหมือนภาระมากกว่าการส่งเสริม”
“อา… เรื่องนั้นพอจะเข้าใจได้ เฉกเช่นการใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ผลข้างเคียงเชิงลบนั้นรุนแรงและน่ากลัวเสมอ และ ‘เอกลักษณ์’ ย่อมต้องรุนแรงยิ่งกว่าแน่นอน”
“เราถามต่อไปว่า ราชาเทวทูตตนใดที่ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์บ้าง มิสเตอร์ประตูยังไม่ตอบตรงๆ เหมือนเดิม เพียงกล่าวว่าอามุนด์และอาดัมทำให้เทวทูตตนที่เหลือรู้สึกอิจฉาจากก้นบึ้ง เพราะทั้งสองมี ‘เอกลักษณ์’ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการ ‘ปรองดอง’ … เขากำลังหมายความว่า อาดัมและอามุนด์มีสถานะเทียบเท่าราชาเทวทูตที่ดื่มโอสถและปรองดองกับเอกลักษณ์สำเร็จแล้ว? สมกับที่เป็นทายาทของพระผู้สร้าง!”
“พระผู้สร้าง หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล มีพลังเหลือล้นถึงขนาดถ่ายทอด ‘เอกลักษณ์’ ให้ลูกสองคนได้อย่างเท่าเทียม แถมยังมีตะกอนพลังของลำดับ 1… หรือนั่นจะเป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายตัวเองบริสุทธิ์ ขจัดของเสียที่ไม่จำเป็นออกไป?”
“หมายความว่า มิสเตอร์ประตูเองก็ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์เรียบร้อยแล้ว? รวมถึงการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปแล้วสองขวด? แน่นอน เราไม่ได้ถามออกไป เพราะทราบดีว่าเขาคงไม่ตอบ”
“ระหว่างการพูดคุย มิสเตอร์ประตูเตือนเราว่า ห้ามเอ่ยชื่อเต็มของอาดัมโดยตรง มิฉะนั้นจะถูกตระหนักถึงบทสนทนา”
“เราเข้าใจถึงเหตุผล จึงถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อครู่คุณเพิ่งเอ่ยนามเต็มของอาดัมไม่ใช่หรือ?”
“มิสเตอร์ประตูตอบว่า นั่นไม่เป็นอะไร เนื่องจากลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมีชื่อว่า ‘จอมเวทลึกลับ’ มีพลังอย่างอ้อมค้อมในการรักษาความลับ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่า ‘บริวารอำพราง’ ของเส้นทางรัตติกาล แต่ก็เพียงพอสำหรับปกปิดพลังตรวจจับของอีกฝ่าย”
“เรายิงคำถามเกี่ยวกับเทพไปอีกหลายข้อ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ยอมตอบ เพียงแค่กล่าวว่า หลังจากเรามีโอกาสและพลังที่มากพอ ให้ลองมาสำรวจบนดวงจันทร์ แล้วจะเข้าใจอะไรอีกหลายสิ่ง”
“ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวคิดบางอย่างของเรา แต่เราสงสัยว่าเขากำลังล่อลวงให้เราไปหา เพื่อจะได้ใช้โอกาสนั้นเดินทางกลับมายังโลกแห่งความจริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกการปรากฏตัวของเขาจะเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์เสมอ!”
ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงมิสเตอร์ประตู ข้อมูลของไดอารีจะเข้มข้นมาก อย่างน้อยก็หนึ่งหน้าเต็มเสมอ… ไม่ผิดจากที่คิด คำอธิบายเกี่ยวกับระดับความแข็งแกร่งของ ‘ราชาเทวทูต’ สอดคล้องกับการคาดเดาของเรา…
‘ราชาเทวทูต’ หมายถึงตัวตนที่อาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ตัวเองเหนือกว่าลำดับ 1 กลายเป็นตัวตนเสมือนเทพที่ยังไม่ถึงลำดับ 0 วิธีดังกล่าวมีทั้งการ ‘ปรองดอง’ กับ ‘เอกลักษณ์’ และการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปเพิ่มเติม ตัวอย่างที่ชัดเจนของ ‘ราชาเทวทูต’ ให้มองไปที่กลุ่มบุคคลรอบๆ พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ – แปดราชาเทวทูตรอบกายเทพสุริยันบรรพกาล และแน่นอน ทุกตนมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ของราชาเทวทูตข้างต้น… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์
สำหรับสมมติฐานของโรซายล์เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาล ชายหนุ่มเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘ทวงคืน’ อำนาจและตะกอนพลังของแปดเทพบรรพกาลมากเกินไป ส่งผลให้มีอาการสับสนและเสียสติ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้กำเนิดทายาทสองตน กำจัด ‘ของเสีย’ ส่วนหนึ่งออกไป
สรุปโดยสั้น อามุนด์และอาดัมเป็นเด็กที่คาบโอสถเทวทูตมาเกิด… ดูเหมือนว่า ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม จะปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ได้แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำสูงสุดของสภานักสิทธิ์สนธยา เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ราชาเทวทูตตนนี้คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของกระแสเวลาเพื่อชุบชีวิตผู้เป็นบิดา… เราไม่มีข้อมูลว่าท่านเป็นลำดับ 0 แล้วหรือยัง… แต่ถึงจะยัง จำนวนเทวทูตในการครอบครองของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ก็คงเหนือกว่าจินตนาการเราไปมาก… อา… ‘จอมเวทลึกลับ’ มีแก่นสารคือการรักษาความลับ เป็นตัวแทนของการปกปิด… ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงสัญลักษณ์บนหลังเก้าอี้ของ ‘เดอะฟูล’
หนึ่งคือ ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความลับ และอีกหนึ่งคือ ‘เส้นเกลียว’ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง!
ชายหนุ่มรีบดึงสมาธิกลับ เปลี่ยนไดอารี่ไปยังที่หน้าที่สาม
“28 พฤศจิกายน เราฝันถึงกริมม์อีกครั้ง”
“เขาเป็นลูกน้องที่ฉลาดที่สุดของเรา น่าเสียดายที่ขณะสำรวจเกาะนิรนามแห่งหนึ่ง เขาได้รับเชื้อโรคปริศนา ต้องตายในทะเลหมอก ไม่มีโอกาสได้สร้างทายาทสืบสกุล”
“ในเวลานั้น เราตระหนักว่าเกาะนิรนามดังกล่าวซ่อนความลับใหญ่หลวงไว้ รวมถึงอันตรายที่เกินว่าจะจินตนาการออก แต่เนื่องจากระดับพลังของเรายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำได้เพียงกัดฟันทนและถอยกลับ”
“ความฝันเมื่อคืนอาจเป็นการเตือนสติจากสัมผัสวิญญาณ ดลใจให้เราไปสำรวจเกาะ ค้นหาความลับ สะสางเรื่องราวของกริมม์”
“29 พฤศจิกายน เราเรียกลูกน้องทั้งสามคนมารวมตัว อาศัยความช่วยเหลือของเบนจามิน·อับราฮัมในการค้นหา จนกระทั่งได้พบเกาะนิรนามอีกครั้ง”
“เราไม่ได้ขึ้นเกาะทันที ตัดสินใจหยุดพักหนึ่งวันที่รอบนอกเกาะ”
“เอ็ดเวิร์ดเองก็บอกว่า เขาฝันถึงกริมม์บ่อยๆ และรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้ในตอนนั้น”
“ ‘นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย แต่เป็นปัญหาของฉัน’ เราพูดกับเอ็ดเวิร์ดไปแบบนั้น เพราะเราคือผู้นำของทุกคน”
“30 พฤศจิกายน เราสำรวจลึกเข้าไปในเกาะ”
“บนเกาะเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษจำนวนมากที่เอกสารหลายแหล่งระบุตรงกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว พวกมันอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้ง ราวกับกำลังสักการบูชาบางสิ่ง”
“กลุ่มสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำต้อย… พวกมันกำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง!”
“พวกมันกำลังสวดวิงวอนต่อเทพบางตนที่เราไม่รู้จัก…”
“ระหว่างพิธีกรรมดำเนินไป… เราเห็นกริมม์…”
………………………………………..