Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 766 : ‘สมอ’ ของเทพ

ราชันเร้นลับ 766 : ‘สมอ’ ของเทพ

เมื่อพิจารณาว่าสมุดบันทึกที่ราชินีเงื่อนงำคัดสรรมาอย่างดีต้องมีเนื้อหาที่สำคัญมาก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์มุ่งความสนใจไปที่เนื้อหา จ้องกระดาษสีน้ำตาลเหลืองในมือด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“11 กันยายน นับตั้งแต่กลายเป็นเทวทูต เรามีความรู้สึกว่าบุคลิกภาพของตัวเองเริ่มจางหาย ภายในใจ ภายในดวงวิญญาณ และลึกลงไปในห้วงจิต มีเสียงมากมายคอยรบเร้าตลอดเวลา พยายามสร้างอิทธิพลบางอย่าง เกิดเป็นความเย็นชาที่ยากจะควบคุม เกิดเป็นความกระหายเลือด โหดร้ายและบ้าคลั่ง”

“สิ่งเหล่านี้มิได้มาจากอิทธิพลภายนอก ไม่ใช่อิทธิพลของเทพในเส้นทางเดียวกัน เรารู้สึกอย่างชัดเจนว่ามันมาจากพันธุกรรมในร่างกาย มาจากทะเลจิตใต้สำนึกร่วมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน หรือสรุปโดยสั้น ความคิดเหล่านี้มาจากส่วนลึกของตะกอนพลังพิเศษ มิใช่จิตตกค้างของคนก่อนเพียงอย่างเดียว”

“สิ่งนี้ทำให้เรากระหายเลือด ต้องการกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่มีตะกอนพลัง ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เราต้องสิ้นเปลืองพลังใจคอยรับมือ แม้ว่าจะสวมบทบาทอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโอสถจะย่อยอย่างสม่ำเสมอ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็มิได้จางหายไป”

“เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสเตอร์ประตูถึงระบุว่า… สติสัมปชัญญะคือชั่วคราว เสียสติคือนิรันดร์”

“28 กันยายน เราไม่ได้เขียนไดอารี่มานานแล้ว ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านมา คล้ายกับเราเฝ้ามองตัวเองถูกแทนที่ด้วยคนแปลกหน้าตลอดเวลา เย็นชาลงจนน่าหวาดหวั่น แม้แต่แบร์นาแดต บุตรสาวของเรา ก็ยังมีโอกาสมอบความรักให้บิดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าน้อยครั้งมาก”

“ในวินาทีที่เรากำลังจะกลายเป็นบ้า คล้ายกับได้ยินคำชมเชยนับไม่ถ้วน บางส่วนเป็นเสียงของบริวารของเราเอง บางส่วนเป็นเสียงของคนที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปอาณาจักรของเรา บางส่วนเป็นเสียงของผู้ศรัทธาที่มองว่าเราคือ ‘บุตรแห่งจักรกลไอน้ำ’ คอยชมเชยเรา สรรเสริญเรา สร้างรูปปั้นให้เรา เขียนเรื่องราวให้เรา สร้างบทกวีสำหรับเรา”

“เสียงของพวกเขาเหมือนกับสมอเรือ ช่วยให้เรา ‘ค้นพบ’ ตัวเอง”

“หลังจากนั้น เราเริ่มรับมือกับความกระหายเลือดจากก้นบึ้งหัวใจ สามารถก้าวออกจากความรู้สึกอันบ้าคลั่งได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะเป็นบิดา สามี และผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีอารมณ์ปรกติ”

“เพียงลำดับ 2 การเปลี่ยนแปลงยังรุนแรงขนาดนี้ แล้วลำดับ 0 หรือเทพแท้จริง ความบ้าคลั่งจะรุนแรงมากเพียงใด?”

“บางที พวกท่านเองก็ต้องการ ‘หลักยึดเหนี่ยว’ สำหรับตอบโต้เสียงยั่วยุจากตะกอนพลังซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลจิตใต้สำนึกร่วม”

“เราเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงอยากสร้างศาสนา ทำไมต้องเผยแพร่ความเชื่อ ทำไมต้องแต่งเรื่องเกี่ยวกับนักบุญในศาสนาของตัวเอง สร้างตำนานมากมายให้แก่เทวทูตบริวาร”

“แต่ทำไมพวกท่านถึงไม่เคยเผยรูปลักษณ์? สิ่งสักการะมีเพียงตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์”

“เราไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“ไว้ถามมิสเตอร์ประตูวันหน้าก็แล้วกัน ชายคนนั้นมีข้อมูลในเชิงเทพมากทีเดียว ถ้าเขาไม่ถูกเนรเทศตั้งแต่แรก ป่านนี้โลกของเราอาจมีเทพเพิ่มอีกองค์หนึ่ง”

“29 กันยายน หลังจากอ่านไดอารี่ของเมื่อวาน เราเริ่มนึกถึงพิธีกรรมของลำดับ 4 3 และ 2 ทั้งหมดเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของตัวร้ายในนิยาย”

“ระบบลำดับในแต่ละเส้นทาง อาจหมายถึงหนทางที่ค่อยๆ นำพาผู้วิเศษไปสู่ความบ้าคลั่งและความสิ้นหวัง”

“และนี่เป็นวิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับพลังพิเศษ”

“ช่างน่าขันและขัดแย้งในตัวเอง”

“เราทุกคนพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือตัวเอง แต่กลับกลายเป็นการทำลายตัวเองให้แหลกละเอียดยิ่งขึ้น?”

เนื้อหาในหน้าแรกของไดอารี่ทำให้ไคลน์รู้สึกหนักใจและหดหู่ โรซายล์ที่เขียนประโยคเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นเทวทูต เป็นคนของสภานักสิทธิ์สนธยา เคยเห็นแผ่นศิลาเย้ยเทพ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับและตะกอนพลังนั้นดีกว่าไคลน์ในปัจจุบันหลายขุม แต่โรซายล์กลับมองโลกในแง่ร้ายมากกว่ามาก คล้ายกับโลกเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวจากแก่นสาร มีเพียงความบ้าคลั่ง และชะตากรรมที่ต้องทำลายตัวเอง

แต่ว่า… เทพทั้งเจ็ดค้นพบวิธีในการดำรงสติ มนุษย์ธรรมดาคือกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ เมื่อสติและพลังวิญญาณของพวกเขามาบรรจบกัน อาจช่วยให้เทพมี ‘หลักยึดเหนี่ยว’ ตัวตนที่แท้จริง รักษาทรงจำและสติอย่างมั่นคงได้นานหลายปี… ทฤษฎีนี้สามารถอนุมานได้จากประสบการณ์ส่วนตัวของโรซายล์… ทว่า เหตุใดเทพทั้งเจ็ดจึงละทิ้งรูปลักษณ์ร่างมนุษย์ของตน เปลี่ยนเป็นตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เชิงนามธรรมแทน? ฟังดูไม่สอดคล้องกับสมมติฐานสักเท่าไร… ไม่เข้าใจเลยสักนิด… ไคลน์ไม่มัวเสียเวลา เปิดไปยังหน้าถัดไปของไดอารี่

“5 ธันวาคม คืนจันทราโลหิต เราได้คุยกับมิสเตอร์ประตูอีกครั้ง”

“เขาก็ยังเหมือนเดิม มักข้อร้องในเรื่องเดิมๆ ให้เราช่วยพากลับมายังโลกแห่งความจริง แต่ก็ไม่รบเร้าเกินไปนัก และมักจะสุ่มตอบคำถามของเราเสมอ”

“หึหึ… ดูเหมือนว่าเขากำลังเล่นเกม พยายามเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเรา แต่น่าเสียดาย เราได้ปิดตายความช่วยเหลือไปนานแล้ว”

“เนื่องจากเราพอจะเคยได้ยินตำนานราชาเทวทูตอยู่บ้าง จึงถามมิสเตอร์ประตูด้วยประเด็นที่ไม่มีอะไรจะเสีย : ความแข็งแกร่งของราชาแห่งเทวทูตอยู่ในระดับใด?”

“มิสเตอร์ประตูเล่าว่า ราชาเทวทูตบางตนปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางแล้ว บางตนดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปสองครั้ง บางตนมีทั้งสองสิ่ง”

“คำว่า ‘ปรองดอง’ ถูกใช้ในลักษณะที่แปลกประหลาด เรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ได้ตอบตรงๆ เพียงบอกว่า หากใครไม่มีวิธี ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์ของเส้นทาง มิได้ประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้อง ก่อนจะเลื่อนเป็นลำดับ 0 เอกลักษณ์ในมือเทวทูตลำดับ 1 จะเป็นเหมือนภาระมากกว่าการส่งเสริม”

“อา… เรื่องนั้นพอจะเข้าใจได้ เฉกเช่นการใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ผลข้างเคียงเชิงลบนั้นรุนแรงและน่ากลัวเสมอ และ ‘เอกลักษณ์’ ย่อมต้องรุนแรงยิ่งกว่าแน่นอน”

“เราถามต่อไปว่า ราชาเทวทูตตนใดที่ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์บ้าง มิสเตอร์ประตูยังไม่ตอบตรงๆ เหมือนเดิม เพียงกล่าวว่าอามุนด์และอาดัมทำให้เทวทูตตนที่เหลือรู้สึกอิจฉาจากก้นบึ้ง เพราะทั้งสองมี ‘เอกลักษณ์’ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการ ‘ปรองดอง’ … เขากำลังหมายความว่า อาดัมและอามุนด์มีสถานะเทียบเท่าราชาเทวทูตที่ดื่มโอสถและปรองดองกับเอกลักษณ์สำเร็จแล้ว? สมกับที่เป็นทายาทของพระผู้สร้าง!”

“พระผู้สร้าง หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล มีพลังเหลือล้นถึงขนาดถ่ายทอด ‘เอกลักษณ์’ ให้ลูกสองคนได้อย่างเท่าเทียม แถมยังมีตะกอนพลังของลำดับ 1… หรือนั่นจะเป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายตัวเองบริสุทธิ์ ขจัดของเสียที่ไม่จำเป็นออกไป?”

“หมายความว่า มิสเตอร์ประตูเองก็ ‘ปรองดอง’ กับเอกลักษณ์เรียบร้อยแล้ว? รวมถึงการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปแล้วสองขวด? แน่นอน เราไม่ได้ถามออกไป เพราะทราบดีว่าเขาคงไม่ตอบ”

“ระหว่างการพูดคุย มิสเตอร์ประตูเตือนเราว่า ห้ามเอ่ยชื่อเต็มของอาดัมโดยตรง มิฉะนั้นจะถูกตระหนักถึงบทสนทนา”

“เราเข้าใจถึงเหตุผล จึงถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อครู่คุณเพิ่งเอ่ยนามเต็มของอาดัมไม่ใช่หรือ?”

“มิสเตอร์ประตูตอบว่า นั่นไม่เป็นอะไร เนื่องจากลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมีชื่อว่า ‘จอมเวทลึกลับ’ มีพลังอย่างอ้อมค้อมในการรักษาความลับ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่า ‘บริวารอำพราง’ ของเส้นทางรัตติกาล แต่ก็เพียงพอสำหรับปกปิดพลังตรวจจับของอีกฝ่าย”

“เรายิงคำถามเกี่ยวกับเทพไปอีกหลายข้อ แต่มิสเตอร์ประตูไม่ยอมตอบ เพียงแค่กล่าวว่า หลังจากเรามีโอกาสและพลังที่มากพอ ให้ลองมาสำรวจบนดวงจันทร์ แล้วจะเข้าใจอะไรอีกหลายสิ่ง”

“ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวคิดบางอย่างของเรา แต่เราสงสัยว่าเขากำลังล่อลวงให้เราไปหา เพื่อจะได้ใช้โอกาสนั้นเดินทางกลับมายังโลกแห่งความจริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกการปรากฏตัวของเขาจะเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์เสมอ!”

ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงมิสเตอร์ประตู ข้อมูลของไดอารีจะเข้มข้นมาก อย่างน้อยก็หนึ่งหน้าเต็มเสมอ… ไม่ผิดจากที่คิด คำอธิบายเกี่ยวกับระดับความแข็งแกร่งของ ‘ราชาเทวทูต’ สอดคล้องกับการคาดเดาของเรา…

‘ราชาเทวทูต’ หมายถึงตัวตนที่อาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ตัวเองเหนือกว่าลำดับ 1 กลายเป็นตัวตนเสมือนเทพที่ยังไม่ถึงลำดับ 0 วิธีดังกล่าวมีทั้งการ ‘ปรองดอง’ กับ ‘เอกลักษณ์’ และการดื่มโอสถลำดับ 1 เข้าไปเพิ่มเติม ตัวอย่างที่ชัดเจนของ ‘ราชาเทวทูต’ ให้มองไปที่กลุ่มบุคคลรอบๆ พระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ – แปดราชาเทวทูตรอบกายเทพสุริยันบรรพกาล และแน่นอน ทุกตนมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ของราชาเทวทูตข้างต้น… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์

สำหรับสมมติฐานของโรซายล์เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาล ชายหนุ่มเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘ทวงคืน’ อำนาจและตะกอนพลังของแปดเทพบรรพกาลมากเกินไป ส่งผลให้มีอาการสับสนและเสียสติ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้กำเนิดทายาทสองตน กำจัด ‘ของเสีย’ ส่วนหนึ่งออกไป

สรุปโดยสั้น อามุนด์และอาดัมเป็นเด็กที่คาบโอสถเทวทูตมาเกิด… ดูเหมือนว่า ‘เทวทูตจินตภาพ’ อาดัม จะปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ได้แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำสูงสุดของสภานักสิทธิ์สนธยา เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ราชาเทวทูตตนนี้คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของกระแสเวลาเพื่อชุบชีวิตผู้เป็นบิดา… เราไม่มีข้อมูลว่าท่านเป็นลำดับ 0 แล้วหรือยัง… แต่ถึงจะยัง จำนวนเทวทูตในการครอบครองของ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ก็คงเหนือกว่าจินตนาการเราไปมาก… อา… ‘จอมเวทลึกลับ’ มีแก่นสารคือการรักษาความลับ เป็นตัวแทนของการปกปิด… ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงสัญลักษณ์บนหลังเก้าอี้ของ ‘เดอะฟูล’

หนึ่งคือ ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความลับ และอีกหนึ่งคือ ‘เส้นเกลียว’ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง!

ชายหนุ่มรีบดึงสมาธิกลับ เปลี่ยนไดอารี่ไปยังที่หน้าที่สาม

“28 พฤศจิกายน เราฝันถึงกริมม์อีกครั้ง”

“เขาเป็นลูกน้องที่ฉลาดที่สุดของเรา น่าเสียดายที่ขณะสำรวจเกาะนิรนามแห่งหนึ่ง เขาได้รับเชื้อโรคปริศนา ต้องตายในทะเลหมอก ไม่มีโอกาสได้สร้างทายาทสืบสกุล”

“ในเวลานั้น เราตระหนักว่าเกาะนิรนามดังกล่าวซ่อนความลับใหญ่หลวงไว้ รวมถึงอันตรายที่เกินว่าจะจินตนาการออก แต่เนื่องจากระดับพลังของเรายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำได้เพียงกัดฟันทนและถอยกลับ”

“ความฝันเมื่อคืนอาจเป็นการเตือนสติจากสัมผัสวิญญาณ ดลใจให้เราไปสำรวจเกาะ ค้นหาความลับ สะสางเรื่องราวของกริมม์”

“29 พฤศจิกายน เราเรียกลูกน้องทั้งสามคนมารวมตัว อาศัยความช่วยเหลือของเบนจามิน·อับราฮัมในการค้นหา จนกระทั่งได้พบเกาะนิรนามอีกครั้ง”

“เราไม่ได้ขึ้นเกาะทันที ตัดสินใจหยุดพักหนึ่งวันที่รอบนอกเกาะ”

“เอ็ดเวิร์ดเองก็บอกว่า เขาฝันถึงกริมม์บ่อยๆ และรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้ในตอนนั้น”

“ ‘นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย แต่เป็นปัญหาของฉัน’ เราพูดกับเอ็ดเวิร์ดไปแบบนั้น เพราะเราคือผู้นำของทุกคน”

“30 พฤศจิกายน เราสำรวจลึกเข้าไปในเกาะ”

“บนเกาะเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษจำนวนมากที่เอกสารหลายแหล่งระบุตรงกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว พวกมันอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ขัดแย้ง ราวกับกำลังสักการบูชาบางสิ่ง”

“กลุ่มสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาต่ำต้อย… พวกมันกำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง!”

“พวกมันกำลังสวดวิงวอนต่อเทพบางตนที่เราไม่รู้จัก…”

“ระหว่างพิธีกรรมดำเนินไป… เราเห็นกริมม์…”

………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset