เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ไคลน์เห็นคือห้องโถงขนาดกว้างขวาง มีเก้าอี้และที่วางร่มจำนวนมาก สถาปัตยกรรมภายในถูกตกแต่งอย่างหรูหรา หากไม่เคยทราบโครงสร้างหรือเคยเดินสำรวจมาก่อน ไคลน์คงคิดว่าที่นี่คือห้องรับแขก
ผ่านประตูบานที่สอง แววตาชายหนุ่มสดใสขึ้นถนัดตา ด้านในคือห้องโถงที่แขกหลายสิบคนสามารถเต้นรำโดยไม่ต้องเบียดเสียด
ใจกลางโถงปูด้วยพรมหนานุ่ม สีสันสดใส รายล้อมด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีสว่าง นอกจากนั้นยังมีเปียโน รูปปั้นแกะสลักหินอ่อน และเสาหินลวดลายงดงามที่คอยค้ำจุนพื้นของชั้นสอง
ฝั่งซ้ายมือมีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ด้านนอกเป็นสนามหญ้าสีเขียวและสวนดอกไม้ ทางขวามือเป็นประตูไม้และทางเดินที่นำไปสู่ห้องพักของแขก ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนอนพ่อบ้าน
ห้องโถงสูงกินพื้นที่สองชั้น มีโคมไฟระย้าคริสตัลห้อยลงมาจากเพดาน ทำให้ผู้คนพากันจินตนาการไปถึงช่วงเวลากลางคืน
รอบๆ โถงใหญ่มีบันไดสองฝั่ง นำทางไปขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองที่อยู่ใจกลางบ้านตัวบ้าน
ระเบียงชั้นสองเหนือห้องโถงมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตำแหน่งตรงกับพรมด้านล่างพอดิบพอดี สิ่งเดียวที่ไคลน์ต้องการมีเพียงไวน์หนึ่งแก้ว ยืนหลังระเบียงพลางเพลิดเพลินไปกับงานเต้นรำด้านล่าง
บนชั้นสองยังมีอีกหลายห้อง ทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำ ห้องบิลเลียด ห้องนอนอีกจำนวนหนึ่ง หากแขกต้องการค้างคืน ก็สามารถเข้าพักได้ตามอัธยาศัย
ในทำนองเดียวกัน บนชั้นสองมีบันไดนำพาไปสู่ชั้นสาม ทั้งชั้นมีไว้สำหรับดอน·ดันเตสโดยเฉพาะ ประกอบด้วยห้องนอนหรูหราอลังการ ห้องกึ่งเปิดโล่งพร้อมกับบาร์ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับแสงแดดและวิวทิวทัศน์ ห้องอ่านหนังสือซึ่งเป็นราวกับหอสมุดขนาดย่อม ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสองห้อง ห้องนอนเล็กของบุรุษรับใช้ส่วนตัวและสาวใช้เวรกลางคืน นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำของคนในครอบครัวโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันไคลน์ยังโสด
ส่วนห้องคนรับใช้อื่นๆ จะอยู่ในบ้านด้านหลังอาคารหลัก โดยที่อีกฝั่งหนึ่งคือคอกม้า
ห้องใต้ดินของอาคารหลักมีพื้นที่กว้างพอๆ กับตัวตึก ประกอบด้วยห้องเก็บของขนาดใหญ่และห้องเก็บไวน์
ไคลน์ถอดเสื้อคลุมออก ยืนริมระเบียงภายในห้องกึ่งเปิดโล่งของชั้นสาม มองดูวิวทิวทัศน์รอบๆ บ้าน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบๆ ตามลำพัง
ของแพงก็มีความคุ้มค่าในตัวมัน… ค่าเช่าสามร้อยสิบห้าปอนด์ต่อปีไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด…
ชายหนุ่มจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าของหนึ่งปีไปแล้วเมื่อวานช่วงบ่าย จำใจต้องเพลิดเพลินไปกับความหรูหราให้เต็มที่
ขณะเดียวกัน มันยังต้องจ่ายเงินค่าจ้างรายปีจำนวนหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์ให้วอลเตอร์ทันที เพราะเมื่อใดที่ตนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสสำเร็จ มีโอกาสสูงที่จะหลบหนีออกนอกเมือง ส่งผลให้มิสเตอร์พ่อบ้านรายนี้ต้องตกงานกะทันหัน
ด้วยแนวคิดเดียวกัน ไคลน์ต้องจ่ายค่าจ้างรายปีให้กับแม่บ้านทาเนญ่าจำนวนสี่สิบสองปอนด์ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายจ้องของเธอใจกว้างมากเพียงใด
นอกจากนั้น หลังจากพ่อบ้านกับแม่บ้านปรึกษากันอย่างหนัก พวกเขาลงความเห็นที่จะจ้างคนคอยดูแลทรัพย์สินจำนวนสามสิบปอนด์ต่อปี จ้างริชาร์ดสันในตำแหน่งบุรุษรับใช้จำนวนสามสิบห้าปอนด์ต่อปี คนรับใช้ชายสองคนที่คอยดูแลแขกและเสิร์ฟอาหารอีกคนละยี่สิบห้าปอนด์ต่อปี แม้บ้านชั้นหนึ่งสองคน สิบแปดปอนด์ต่อปีต่อคน แม่บ้านชั้นสองสองคน สิบสองปอนด์ต่อปีต่อคน และแรงงานชายสองคน สิบสองปอนด์ต่อคนต่อปี
ค่าจ้างรายปีของพ่อครัวคือสามสิบปอนด์ ผู้ช่วยพ่อครัวสิบห้าปอนด์ แม่ครัวลูกมือสิบเอ็ดปอนด์ คนดูแลห้องเก็บของสิบเอ็ดปอนด์ พยาบาลประจำยี่สิบห้าปอนด์ เด็กรับใช้สิบปอนด์ คนขับรถม้าสองคน คนละยี่สิบห้าปอนด์ คนสวนสองคน คนละยี่สิบปอนด์ สาวใช้ซักผ้าสองคน คนละสิบปอนด์ รวมทั้งสิ้นสี่ร้อยสิบสามปอนด์ เฉลี่ยเกือบแปดปอนด์ต่อสัปดาห์
เมื่อผนวกกับค่าแรงรายปีของหัวหน้าพ่อบ้านและแม่บ้าน ไคลน์ต้องจ่ายปีละห้าร้อยเจ็ดสิบปอนด์ ตกสิบเอ็ดปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันอันประกอบด้วยอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และอื่นๆ
ทุกวันจันทร์ที่ลืมตาขึ้น ถึงแม้จะไม่มีรายรับสักเพนนีเดียว แต่เราก็ต้องจ่ายเงินมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบปอนด์… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับตัวเองให้มองไปทางสวน
ในตอนเที่ยง ชายหนุ่มต้องจ่ายค่าเช่ารถม้าสองคัน รวมถึงค่าแรงสัปดาห์แรกให้กับบรรดาคนรับใช้ เมื่อรวมกับเงินที่เคยมอบให้แม่บ้านทาเนญ่าอีกหนึ่งพันปอนด์เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะ ไคลน์จะเหลือเงินสดเพียง 1,286 ปอนด์และเหรียญทองสิบแปดเหรียญ อย่างไรก็ตาม รายได้จากมิสจัสติสและมาดามเฮอร์มิทจะค่อยๆ ถูกทยอย ‘จ่าย’ ภายในสัปดาห์นี้
เราไม่มีทางรู้เลยว่า หนึ่งพันปอนด์ที่ให้ทาเนญ่าไปจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ลำพังการซื้อเครื่องดื่มเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงก็หมดไปแล้วสองสามร้อยปอนด์… ‘เศรษฐี’ ดอน·ดันเตสดำดิ่งในความคิด ยากจะสลัดความเจ็บปวดหัวใจ
เพื่อให้อารมณ์สงบ มันอาศัยโอกาสที่แม่บ้านและสาวใช้กำลังวุ่นวายอยู่กับบ้านหลังใหม่ เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก ศึกษาหุ่นกระบอกที่เอ็มลิน·ไวท์สังเวยเข้ามา
ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิต ไคลน์จำเป็นต้องเข้าไปในห้วงมิติลึกลับเพื่อดึงฟอร์ส ข่มความง่วงนอนและฟังอีกฝ่ายเล่าถึงชีวิตประจำวันในกรุงเบ็คลันด์ จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง ไคลน์อยู่ในสภาพอ่อนเพลียสุดขีด หลังจากรับการสังเวยจากเอ็มลินและไม่พบความผิดปรกติใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับโลกความจริง สลบเหมือดลงบนเตียงนอน
จัดระเบียบเสื้อกั๊กสีเข้มเสร็จ ไคลน์เดินไปที่ทางเข้า เปิดประตูห้องและหันไปพูดกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว
“ผมมีนิสัยชอบงีบในช่วงบ่าย ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”
“ครับผม” ริชาร์ดสันตอบอย่างนอบน้อม
ชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง บิดาเป็นชาวโลเอ็น ทำงานดูแลทรัพย์สินให้คฤหาสน์แห่งหนึ่ง มารดาเป็นชาวไบลัมตะวันออก ทำงานเป็นทาสในคฤหาสน์หลังเดียวกัน หลังจากลืมตาดูโลก ริชาร์ดสันต้องเผชิญการกลั่นแกล้งและการกีดกันมากมาย บ่มเพาะเป็นอุปนิสัยขี้ขลาด เชื่อฟัง และไม่สู้คน แต่เนื่องจากหน้าตาดี เหมาะแก่การต้อนรับแขก เจ้าของคฤหาสน์จึงเลือกให้ทำงานเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัว พากลับมายังกรุงเบ็คลันด์ด้วยกัน
จนกระทั่งสภาสูงและสภาสามัญของอาณาจักรโลเอ็นผ่านร่างกฎหมายเลิกทาส ริชาร์ดสันตกงานทันที จึงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสำนักงานจัดหาคนรับใช้
ก่อนจะมารับใช่ไคลน์ มันเคยรับใช้มาแล้วสองตระกูล เคยทำผิดพลาดประปราย ได้สั่งสมประสบการณ์อันมีค่า คุณสมบัติเข้าตาพ่อบ้านวอลเตอร์จนถูกเลือกให้มาเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัวของดอน·ดันเตส
เมื่อเห็นริชาร์ดสันที่ตัวสูงเท่าๆ กับตน ไคลน์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ผู้ชายที่สามารถเป็นดาราได้สบายๆ กลับต้องมาเป็นทาสในยุคสมัยแบบนี้… น่าเสียดาย ดันขี้ขลาดทั้งที่ตัวใหญ่… แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ด้วยนิสัยว่าง่าย เชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่ง และไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง สำหรับเจ้านายแล้วถือเป็นคุณสมบัติในอุดมคติ
หากเรามีบุรุษรับใช้ส่วนตัวได้คนเดียว และต้องคอยดูแลบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ริชาร์ดสันไม่ตอบโจทย์แน่นอน แต่ปัจจุบันเรามีทั้งพ่อบ้านวอลเตอร์ แม่บ้านทาเนญ่า และคนรับใช้อีกมาก ลำพังประสบการณ์ของพวกเขาย่อมเพียงพอต่อการรับมือกับปัญหา…
โดยไม่กล่าวเพิ่มเติม ไคลน์ปิดประตูและลงกลอน กลับไปยังเก้าอี้เอนหลัง ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ของเดอะฟูล เสกหุ่นกระบอกจันทราที่ไหม้เกรียมให้ลอยกลางอากาศ ตกลงบนโต๊ะด้านหน้า
หลังจากตรวจสอบทุกซอกมุมซ้ำหลายหน ไคลน์ไม่พบความผิดปรกติใด จึงเสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนาย
“ที่มาของสิ่งนี้”
วางปากกาลง ไคลน์รอสองสามวินาทีก่อนจะใช้มือจับกระดาษ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
น่าแปลก… สัมผัสวิญญาณไม่พยายามยับยั้งเราจากการทำนาย แปลว่าอันตรายเบื้องหลังหุ่นกระบอกจันทรา ไม่ร้ายแรงเท่าตะกอนพลังของโรงเรียนกุหลาบ… ไคลน์พึมพำ ท่องประโยคทำนายเสียงต่ำ
ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มเห็นแท่นบูชาที่มีคบเพลิงรายล้อมเป็นวงกลม
แท่นบูชาถูกปกคลุมด้วยสิ่งที่ดูคล้ายกับหนังมนุษย์ คราบเลือดกระจัดกระจาย กึ่งกลางมีเทียนไขสามเล่มและหุ่นกระบอกเรียวเล็กจำนวนหนึ่ง
หุ่นกระบอกเล็กๆ เหล่านี้มีดวงตาโค้งลง มุมปากตกทั้งสองข้าง คล้ายกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า
นอกจากรอยยิ้มประหลาด ตามลำตัวยังฝังด้วยหญ้าแห้งและดอกไม้เหี่ยว
นักบวชในชุดคลุมสีแดงเข้มเดินวนรอบแท่นบูชาแข็งขัน คล้ายกับกำลังเต้นระบำที่คิดค้นโดยผู้ป่วยโรคลมชัก
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แสงจันทร์เริ่มรวมตัวกันและส่องลงมายังหุ่นกระบอกไม้ จนกระทั่งผิวไม้เกิดคลื่นกระเพื่อม
พิธีกรรมจบลงอย่างรวดเร็ว นักบวชหยิบหุ่นตัวเล็ก เดินไปหามนุษย์ซึ่งถูกมัดไว้กับราวด้านข้าง เสียบหุ่นเข้าไปในเบ้าตาของเหยื่อ
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนา ฉากแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คนตายซึ่งมีหุ่นกระบอกจันทราเสียบอยู่ในเบ้าตา ทยอยถูกฝังรวมกันไว้ในสถานที่หนึ่ง
ภาพตัดอีกหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงหรือจันทราโลหิต แสงสว่างจะส่องไปทางสุสาน ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดินราวกับสายน้ำอ่อนโยน ส่งผลให้สภาพแวดล้อมโดยรอบมืดลงถนัดตา
ไคลน์ลืมตาขึ้น ปรับเปลี่ยนท่านั่ง เข้าใจที่มาของหุ่นกระบอกจันทราอย่างคร่าวๆ
สิ่งนี้มีต้นกำเนิดจากพิธีกรรมสวดวิงวอนถึง ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ แถมยังทำติดต่อกันมานานนับร้อยปี!
กว่าร้อยปีที่ผ่านมา หุ่นกระบอกดูดซับพลังจากดวงจันทร์สีแดง ค่อยๆ กลายพันธุ์ทีละนิด จนกระทั่งนักล่าอาณานิคมไปพบเข้า
ภายนอก พวกมันดูเหมือนหุ่นกระบอกทั่วไป มีเพียงสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลเท่านั้นที่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วยขั้นตอนพิเศษ แต่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อมูล
ในทางทฤษฎี หุ่นกระบอกเหล่านี้คือเป้าหมายการ ‘อวยพร’ จากดวงจันทร์บรรพกาล… หลังจากถูกเราผ่าตายไปเมื่อคืน เทพมารตนดังกล่าวจึงโมโห ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิตกะทันหัน? ไคลน์เคาะนิ้วลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยความเก่าแก่ ครุ่นคิดหาข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
หมายความว่า… ในยามที่ดวงจันทร์บรรพกาลพิโรธ รูปลักษณ์ของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไป กลายเป็นพระจันทร์สีเลือด? หากสมมติฐานนี้เป็นจริง เราสามารถตีความได้ว่า ในขอบเขตอำนาจของ ‘จันทร์แดง’ เทพธิดารัตติกาลยังเป็นรองดวงจันทร์บรรพกาล… นั่นสินะ การที่พระองค์มีสมญานามเกี่ยวกับดวงจันทร์ อาจเป็นเพราะกำลังครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางชนิด… ไคลน์พยักหน้ารับ ลองทำนายถามถึงจุดอ่อนของหุ่นกระบอกตุ๊กตา
ในครั้งนี้ ชายหนุ่มมองเห็นดวงอาทิตย์ มองเห็นฟ้าผ่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้วิเศษเส้นทาง ‘สุริยัน’ และ ‘วายุสลาตัน’ สามารถจัดการมันได้ง่าย… ไคลน์ตีความสัญลักษณ์ที่ได้รับ พลางโยนหุ่นกระบอกจันทรากลับเข้าไปในกองขยะ ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาวเดินมาเคาะประตู เปิดเข้ามาและซักถาม
“นายท่าน ผมจะเริ่มพิมพ์นามบัตรของท่านเพื่อแจกจ่ายไปยังเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงพร้อมกับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ … พวกเขาจะเฝ้าสังเกตนายท่านประมาณสองถึงสามวัน ยืนยันสถานการณ์ให้แน่ใจ หากใครยินดีต้อนรับ ทางนั้นจะส่งของขวัญกลับมาและเชิญนายท่านไปเป็นแขก… นายท่านอยากให้เพิ่มสมญานามใดลงไปเป็นพิเศษหรือไม่”
สมญานาม… เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย? ไคลน์รำพันติดตลก ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ดอน·ดันเตส นักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ แค่นี้ก็พอ”
วอลเตอร์พยักหน้า
“ตามที่นายท่านรับสั่ง ผมได้จัดบทเรียนทางด้านมารยาทให้สอดคล้องกับสภาพสังคม อันดับแรกต้องเริ่มจากการเต้นรำ ตอนนี้ทำการจ้างครูฝึกสอนมืออาชีพเรียบร้อยแล้ว”
……………………………………………………..