หลังจากโจนาส·โคลเกอร์ทราบเส้นทางผู้วิเศษของศัตรู ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ภายในสวนดอกไม้ ไร่องุ่น และอาคารหลักของคฤหาสน์ต่างยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกัน เก็บนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย มีเพียงนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่เหยียดออกมาในรูปทรงปืนพกอย่างง่าย
นิ้วชี้ที่เป็นตัวแทนลำกล้องและปากกระบอกปืนต่างหันมาเล็งใส่โจนาส·โคลเกอร์ที่อยู่กลางอากาศ จากนั้น ปลายแขนของทุกร่างกระตุกเล็กน้อยคล้ายกับแรงถีบในการยิง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ท่ามกลางเสียงอึกทึก รอบๆ ตัวของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยผู้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ นกพิราบมายาสีขาวจำนวนมากกำลังพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศ เป็นภาพที่งดงามจนน่าหลงใหล
นี่คือผลข้างเคียงจากนาฬิกาพก ‘หุ้มเหล็ก’ เป็นผลจากการแปรผันที่มิอาจคาดเดาของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ มันทำการเปลี่ยนกระสุนปืนใหญ่อัดอากาศที่สามารถพังบ้านทั้งหลัง ให้กลายเป็น ‘นกพิราบขาวแห่งสันติภาพ’ โดยอัตโนมัติ โจนาส·โคลเกอร์ไม่ต้องออกแรงด้วยตัวเอง!
โจนาส·โคลเกอร์ที่เตรียมใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ เพื่อสกัดการระดมยิงของศัตรู เมื่อได้เห็นภาพนกพิราบสีขาวกระพือปีกและบินหายลับไปในขอบฟ้า มันมิได้เผยสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด
สำหรับเรื่องในทำนองนี้ โจนาส·โคลเกอร์เตรียมใจล่วงหน้าทุกวินาที
มันชาชินกับผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึกที่ตนพกพาและใช้นานมานานหลายปี!
ฉวยโอกาสดังกล่าว มันนำนาฬิกาพกหุ้มเหล็กและปืนลูกโม่พิสดารมากระทบเข้าด้วยกัน
โจนาส·โคลเกอร์เตรียมใช้พลัง ‘บิดเบือน’ โดยมีเป้าหมายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่อยู่ด้านล่าง
สำหรับมัน การต่อสู้กับจอมเวทพิสดาร สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือ การที่ไม่สามารถระบุได้ว่าศัตรูเป็นร่างจริงหรือหุ่นเชิด เว้นเสียแต่หุ่นเชิดตัวดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นหยาบๆ
ดังนั้น มันไม่กล้าใช้พลังพิเศษส่วนใหญ่ของตน เพราะนั่นไม่มีผลกับหุ่นเชิด
พลัง ‘ข้อห้าม’ ที่แสดงผลเป็นวงกว้างยังสามารถใช้ได้ แต่พลัง ‘ช่วงชิง’ ที่มีผลต่อหนึ่งเป้าหมายนั้นไร้ความหมายโดยสมบูรณ์ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะใช้พลังช่วงชิงกับหุ่นเชิด จอมเวทพิสดารสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเปลี่ยนหุ่นเชิดเสียใหม่
จากหลักการดังกล่าว การใช้พลังเพื่อ ‘ขยาย’ ผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติวิเศษศัตรูจึงถูกตัดออกไปในตำรากลศึกของโจนาส·โคลเกอร์ชั่วคราว
ในทำนองเดียวกัน พลัง ‘มอบ’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยแทบไม่ส่งผล แตกต่างจาก ‘ช่วงชิง’ ซึ่งยังสามารถทำให้หุ่นเชิดสูญเสียพลังพิเศษบางชนิดและไม่สามารถต่อสู้ พลัง ‘มอบ’ ซึ่งจะทำให้ศัตรูสูญเสียกะจิตกะใจที่จะต่อสู้ ใจร้อน หรือหน้าเงิน ย่อมไม่ส่งอิทธิพลต่อหุ่นเชิดไร้ชีวิต ไร้ความคิด และไม่คิดถึงเรื่องเงิน
ดังนั้น ก่อนจะใช้พลังที่ว่ามาข้างต้น โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจค้นหาร่างจริงของหุ่นเชิดของจอมเวทพิสดารให้พบเสียก่อน
สำหรับปัญหานี้ คนอื่นอาจรับมือได้ยาก แต่สำหรับผู้วิเศษระดับสูงและมากประสบการณ์ในเส้นทางนักกฎหมาย เรื่องนี้ไม่ยากเกินกำลัง
ทุกสิ่งมีกฎเกณฑ์ และพลังทุกชนิดก็มีกฎในตัว ครึ่งเทพเส้นทางกฎหมายที่เก่งกาจในการหาช่องโหว่จึงมิวิธีเอาตัวรอดจากพลังพิเศษทุกรูปแบบ
นอกจากนั้น มันยังเคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับจอมเวทพิสดารคนอื่นมาก่อน และเคยคิดหาวิธีรับมือคนเหล่านั้นหลังจากจบศึก โจนาส·โคลเกอร์จึงค่อนข้างมั่นใจว่า พลังบิดเบือนของตนสามารถใช้แก้ทางศัตรูได้
มันทราบว่าจอมเวทพิสดารสามารถสับเปลี่ยนร่างต้นกับหุ่นกระบอกได้อย่างไร้รอยต่อ จึงตั้งใจจะบิดเบือนเหตุการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนให้จอมเวทพิสดารสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้เพียงสองถึงสามตัว
หากประสบความสำเร็จ มันก็จะจำแนกร่างต้นของจอมเวทพิสดารได้ง่ายขึ้น
แน่นอน หากไม่ใช่เพราะว่าพลังบิดเบือนมีขอบเขตจำกัด และพลัง ‘ข้อห้าม’ ก็ถึงขีดจำกัดสองชนิดแล้ว โจนาส·โคลเกอร์คงเลือกใช้วิธีที่ง่ายกว่าเดิม เช่นการเจาะจงบิดเบือนให้เป้าหมายสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้แค่หนึ่งตัว หรือสร้าง ‘ข้อห้าม’ เพิ่มเพื่อมิให้เป้าหมายสามารถสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดได้เลย
กึก!
โจนาส·โคลเกอร์นำ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ มากระทบเข้าด้วยกันในท่าทางที่คล้ายกับพยายามบีบอัดบางสิ่ง
เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘บิดเบือน’ !
ทันใดนั้น ดอกไม้สีแดงที่ถูกฉาบด้วยเงาดำโผล่ขึ้นจากมือโจนาส·โคลเกอร์ คล้ายกับมันต้องการมอบสิ่งนี้ให้กับศัตรู โดยที่ในขณะเดียวกัน เกอร์มัน·สแปร์โรว์ภายในไร่องุ่น ในสวนดอกไม้ ในอาคารหลักของคฤหาสน์ ไม่ว่าจะตัวหนาหรือตัวบาง ทั้งหมดล้วนไม่เผชิญความผิดปรกติใดๆ
โจนาส·โคลเกอร์เองก็ได้ลิ้มรส ‘การแปรผันแบบสุ่ม’ ของ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ !
พลังบิดเบือนของมันถูกเปลี่ยนให้เป็นดอกไม้ที่เด็ดจากสวนด้านล่าง
โดยขณะเดียวกัน นกพิราบมายาสีขาวยังคงลอยอยู่บนอากาศ ยังไม่ลับสายตาไปไหน!
ในวินาทีปัจจุบัน ศึกดวลระหว่างครึ่งเทพสองตนกลายเป็นภาพที่น่าตลกขบขัน
แน่นอน ทั้งเกอร์มัน·สแปร์โรว์และโจนาส·โคลเกอร์มิได้คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะรายหลัง เป็นอีกครั้งที่มันเผชิญความรู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง
มันยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำการกระแทกฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกันอีกครั้งและประสบความสำเร็จในการใช้พลังบิดเบือน เป็นการอาศัยจำนวนเข้าสู้กับการแปรผันแบบสุ่ม
ทว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ใช่คนตาย ไม่มีทางยืนรอให้ศัตรูโจมตีเสร็จ นักผจญภัยเสียสติจำนวนมากด้านล่างต่างพากันใช้มือที่เลียนแบบปืน หรือไม่ก็ลูกโม่ลางมรณะที่ยากจะระบุจริงเท็จ เล็งไปยังเคาต์แห่งการเสื่อมถอยที่ลอยกลางอากาศ
ขณะเดียวกัน หัวใจโจนาส·โคลเกอร์พลันเต้นแรง มันรีบเงยหน้ามองด้านบนและพบว่า ที่ดวงจันทร์สีแดงขนาดมหึมายังคงลอยสูงเหนือยอดแหลม ร่างหนึ่งโผล่ออกมาด้วยความโดดเด่น
ร่างดังกล่าวสวมหมวกผ้าไหม สวมเสื้อกันลมสีดำ สวมถุงมือหนังมนุษย์ ถือปืนลูกโม่เหล็กดำ ใบหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ผอมเพรียวชัดลึก ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคน!
มันร่อนลงมาจนเกิดเป็นภาพราวกับกำลังแบกพระจันทร์สีแดงไว้บนหลังอีกครั้ง ร่างกายขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับทวีความคมชัด ปืนลูกโม่เหล็กดำในมือถูกยกขึ้นเล็งโจนาส·โคลเกอร์
ปัง! ปัง!
กระสุนที่ครึ่งหนึ่งโปร่งใสและครึ่งหนึ่งโปร่งแสงพุ่งออกจากปากกระบอก ตรงไปยังโจนาส·โคลเกอร์
นี่คือกระสุนช่วงชิงที่สร้างจากหนอนกาลเวลาของร่างโคลนอามุนด์!
มันคล้ายกับพลัง ‘ช่วงชิง’ ของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ จุดร่วมกันคือความสามารถในการขโมยพลังที่ศัตรูเพิ่งใช้ล่าสุดสามชนิด เปลี่ยนให้เป็นพลังของตัวเองชั่วคราว
ทว่า พลังช่วงชิงของเส้นทางผู้ตัดสินนั้นใช้งานได้ง่ายกว่า เพียงแค่เลือกเป้าหมายก็พอ แตกต่างจากพลังช่วงชิงของกระสุนซึ่งแม้จะแสดงผลเป็นพื้นที่ แต่ก็ไม่กว้างมากนัก เป้าหมายห้ามออกจากจุดที่กระสุนกระทบวัตถุ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังของผู้ตัดสินเป็นสิ่งที่ศัตรูมิอาจเลี่ยง และลดทอนประสิทธิภาพได้ด้วยการมีลำดับที่สูงกว่าเท่านั้น แต่พลังจากกระสุนสามารถหลบให้พ้นโดยสิ้นเชิงจากอ่านทิศทางล่วงหน้า
ตามแผนเดิม ไคลน์คิดจะเลิกถ่วงเวลาหรือซ่อนตัวด้วยสองเงื่อนไข หนึ่งคือ โจนาส·โคลเกอร์ใช้พลัง ‘ข้อห้าม’ หรือ ‘ช่วงชิง’ ไปจนถึงขีดจำกัด เพราะนั่นคือสองพลังที่สำคัญซึ่งชายหนุ่มมองว่าเป็นอุปสรรค และเงื่อนไขที่สอง ไคลน์จะรอให้การแปรผันแบบสุ่มครั้งแรกเกิดขึ้น จากนั้นจะฉวยโอกาสในการแปรผันแบบสุ่มครั้งที่สองเพื่อยิงกระสุนช่วงชิง ขโมยพลังสามชนิดจากโจนาส·โคลเกอร์
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ มันยอมลงทุนยกปืนลูกโม่ลางมรณะและยุบพองหิวโหยให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน เปลี่ยนให้หุ่นเชิดดูคล้ายร่างต้นมากที่สุด
จากมุมมองปัจจุบัน พลังที่โจนาส·โคลเกอร์จะสูญเสียก็คือ ‘บิดเบือน’ ‘ยุ่งเหยิง’ และ ‘ขยาย’
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านล่างเองก็เริ่มกระหน่ำระดมยิง
แต่ทันใดนั้น กระสุนปืนใหญ่อัดอากาศจำนวนมาก รวมถึงกระสุน ‘ช่วงชิง’ ล้วนระเบิดกลางอากาศทั้งหมด แปรสภาพกลายเป็นพลุไฟหลากสีสัน ไม่ว่าจะสีแดง ม่วง เหลือง หรือเขียว แต่แสงที่เกิดขึ้นกลับมิอาจมอบความสว่างภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด
‘แสงเงาประชันดนตรี’ สร้างการแปรผันแบบสุ่มอีกครั้ง!
มันส่งผลหนแล้วหนเล่าติดต่อกัน ราวกับไม่มีระยะเว้นวรรคระหว่างแต่ละครั้ง
โจนาส·โคลเกอร์ยิ้มกรุ้มกริ่มทันที สองมือกระแทกเข้าหากัน
เพียงพริบตา บุรุษสวมหมวกผ้าไหมทรงสูงและเสื้อกันลมสีดำจำนวนมากภายใต้แสงจันทร์แดง ค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นสีหม่นทีละหนึ่ง เหลือเพียงสองคนที่ยังรักษาสภาวะเดิมไว้ได้
พลัง ‘บิดเบือน’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยแสดงผลแล้ว!
หมายความว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถสลับตำแหน่งได้แค่หุ่นเชิดที่ยังปรกติสองตัวดังกล่าวเท่านั้น!
โจนาส·โคลเกอร์ยังคงไม่หยุดลงมือ สะบัดแขนของมันพร้อมกับโยนดอกไม้ที่ถือไว้ในมือข้างเดียวกับนาฬิกาพกออกไป
ดอกไม้ผลิบานอย่างรวดเร็ว น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผล แปรสภาพกลายเป็นลูกศรแหลมคม พุ่งเข้าใส่หนึ่งในหุ่นเชิดที่ยังปรกติ
การโจมตีนี้ถูก ‘ขยาย’ และแฝงไว้ด้วยผลของ ‘ติดสินบน: อ่อนแอ’ !
บึ้ม!
ดอกไม้เป็นราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกพื้นอย่างจังพร้อมกับสร้างแรงสะเทือน
คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นส่งผลให้มนุษย์ที่ปรกติและไม่ปรกติในบริเวณดังกล่าวลอยสูงขึ้นไปในอากาศ บ้างร่างกายฉีกฉาก บ้างบาดเจ็บภายในรุนแรง โดยเฉพาะหุ่นเชิดปรกติสองตัวที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถสับเปลี่ยนตำแหน่ง พวกมันกลายเป็นเศษเนื้อบดละเอียด
โจนาส·โคลเกอร์ยังคงสุขุม มือข้างหนึ่งใช้พลัง ‘บิดเบือน’ เพื่อหักเหทิศทางตัวเองกลางอากาศ มืออีกข้างยก ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ เล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ร่อนลงมาจากดวงจันทร์สีแดง
ขณะเดียวกัน มันแอบเตรียมใช้พลัง ‘มอบ’
มันต้องการจะ ‘มอบ’ อาการผิดปรกติ ‘สูญเสียกะจิตกะใจที่จะต่อสู้’ !
แต่ในวินาทีดังกล่าว สมองของโจนาส·โคลเกอร์พลันเฉื่อยชา ความคิดของมันหยุดชะงักเล็กน้อย
นี่มัน… เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด… สติของโจนาส·โคลเกอร์เริ่มตึงเครียดเมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน
มันสังเกตเห็นว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ร่อนลงมาจากพระจันทร์แดงมิได้อยู่ไกลเหมือนเมื่อก่อน ระยะทางระหว่างคนทั้งคู่ไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร
อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในระยะที่สามารถควบคุมด้ายวิญญาณโดยที่มันไม่ทันระวังตัวและแช่นานสามวินาที!
หลอกลวง!
กระสุนหลอกลวงที่สร้างจากร่างโคลนอามุนด์!
ย้อนกลับไปเมื่อครู่ ในตอนที่ไคลน์ในร่าง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเหยี่ยวไกปืนยิงกระสุนช่วงชิง นั่นไม่ใช่แค่กระสุนนัดเดียวที่ยิงออกมา แต่มีทั้งสิ้นสองนัด!
นี่คือแผนการสำหรับรับมือความแปรผันแบบสุ่ม
ในกรณีที่การแปรผันเกิดขึ้นครั้งเดียว การยิงกระสุนสองนัดในระยะเวลาที่ห่างกันเล็กน้อยจะช่วยป้องกันให้นัดใดนัดหนึ่งปลอดภัย เพราะถึงจะมีโอกาสแปรผันแบบสุ่มสอง สาม สี่ ห้าครั้งติดกัน แต่นั่นก็มีโอกาสเกิดต่ำ จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่กระสุนอย่างน้อยหนึ่งนัดจะไม่ได้รับผลกระทบ!
และในตอนนั้น กระสุนหลอกลวงนัดที่สองได้กลมกลืนไปกับการระดมยิงของหุ่นเชิดตัวอื่นๆ
อีกหนึ่งเหตุผลที่ไคลน์ยอมให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนถือลูกโม่ลางมรณะ เพราะมันต้องการพึ่งพาโชค!
ลงเอยด้วย มันประสบความสำเร็จในการ ‘หลอก’ โจนาส·โคลเกอร์และบังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเข้าใกล้ระยะหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเพื่อควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นอย่างเงียบเชียบ
และเมื่อโจนาส·โคลเกอร์เผชิญความผิดปรกติ นี่แปลว่าการเข้าคุมด้ายวิญญาณประสบความสำเร็จ และผลลัพธ์จะไม่ถูกย้อนกลับด้วย ‘การแปรผันแบบสุ่ม’ !
………………………………