เมื่อได้เห็นคำเตือนของวิล·อัสติน ไคลน์รู้สึกราวกับตนถูกพรแห่งโชคโอบกอด
โชคดีที่เราตัดสินใจไม่สำรวจต่อ… ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
แม้จะได้พบจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับโอโรเลอุสผู้กลืนหาง และได้พบแอนเดอร์สัน ชายผู้มิอาจทราบได้ว่าเผชิญชะตากรรมแบบใดมาบ้าง เหตุใดจึงกลายเป็นสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อย ตนก็ยังรอดพ้นจากอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตมาได้
ไม่มีทางเดาได้เลยว่า คราวหน้าที่ปรากฏตัวในโลกความฝัน เราจะสุ่มตำแหน่งเริ่มต้นใหม่ หรือสานต่อจากประสบการณ์ครั้งเก่า… ถ้าเป็นอย่างหลัง เราจะไม่สนทนากับแอนเดอร์สันเด็ดขาด ทำเพียงเดินกลับออกจากอารามสีดำในทางเดิม… ไคลน์เบือนสายตาเพื่ออ่านข้อความต่อ
“นอกจากโลกแห่งความฝัน อันตรายในแง่อื่นไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ขอเพียงไม่เข้าใกล้ซากปรักหักพัง ไม่จ้องมองสิ่งที่โบยบินบนท้องฟ้าในยามกลางวัน ไม่เสี่ยงกับพายุที่อันตราย เท่านี้ก็จะไม่มีปัญหาตลอดกาลเดินทาง แค่แล่นเรือไปตามเส้นทางปลอดภัยที่มีคนเคยสำรวจไว้ก็พอ”
“ในส่วนของนางเงือก เพียงล่องเรือไปเรื่อยๆ ก็จะได้พบพวกมันในที่สุด เพราะด้วยระดับพลังของนางเงือก การจะเอาตัวรอดบนทะเลแห่งนี้จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเขตปลอดภัยเท่านั้น และบริเวณดังกล่าวก็มีไม่มากนัก”
“สุดท้ายนี้ ข้าขออวยพรให้ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น”
“ด้วยความจริงใจ จากสหายผู้มักหลับลึกบ่อยครั้งเนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการเติบโต, วิล·อัสติน”
ประโยคสุดท้ายทั้งยืดยาวและฟังดูกระอักกระอ่วน แต่ไคลน์เข้าใจความนัยแฝงได้ทันที
ก่อนที่ข้าจะคลอด ห้ามรบกวนด้วยเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาด!
จะพยายามก็แล้วกัน… ไคลน์ตอบในใจ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่
หากตนเลื่อนลำดับสำเร็จ การสอบถามสูตรโอสถลำดับ 4 จากวิล·อัสตินก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
ไคลน์ที่เริ่มมั่นใจว่าตนจะได้พบนางเงือก ส่งตัวเองออกจากความฝัน สวมหมวก และตรงไปยังห้องอาหารโจรสลัด
เนื่องจากเสียเวลาไปกับดินแดนความฝันพอสมควร อาหารส่วนใหญ่จึงเริ่มเย็นชืด แต่เหล่าโจรสลัดต่างอยู่ในอารมณ์ชื่นมื่น เนื่องจากไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ล่าสุด
เมื่อไม่มีคนตาย ผู้รอดชีวิตจึงเริ่มโอ้อวดในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ตนได้พานพบ
“นมสักแก้วไหม” แฟรงค์·ลีที่กำลังถือถาด นั่งลงฝั่งตรงข้ามไคลน์และซักถามอย่างเป็นกันเอง
หลังจากชายหนุ่มหวนนึกถึงบทสนทนาในความฝัน ไคลน์ส่ายศีรษะพลางสวมสีหน้าอึมครึม
มันกำลังหวาดระแวงว่า นมสดทุกหยดบนเรืออาจเป็นผลผลิตจากการทดลองสุดพิสดารของแฟรงค์!
แฟรงค์·ลีกระดกนมโดยไม่แยแส
“ฉันจำได้ว่า ภายในใจความฝัน ฉันเล่าบางสิ่งให้นายฟัง”
“อา…” ไคลน์หั่นเนื้อปลากระดูกมังกรและยัดใส่ปาก
ปลาชนิดนี้ขึ้นชื่อด้านมีก้างน้อย บางตัวแทบไม่มีเลย ภายในกรุงเบ็คลันด์ หากคุณภาพของเนื้อปลาสูงสักนิด พวกมันจะกลายเป็นอาหารของเหล่าขุนนาง แต่สำหรับแถบชายฝั่งตะวันออกของเกาะโอลาวี ปลากระดูกมังกรเป็นเพียงอาหารพื้นเมืองที่ง่ายกินได้ง่าย
แฟรงค์หัวเราะพลางกล่าว
“ในตอนนั้น คำพูดบางส่วนของฉันไม่ตรงตามความเป็นจริงนัก ฉันหมายถึง เป้าหมายของการวิจัยคือการให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถผลิตน้ำนมได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกเพศ สัตว์ทุกชนิดที่กินแบคทีเรียเข้าไปจะสามารถผลิตน้ำนมได้ทั้งหมด และกลับไปเป็นปรกติเมื่อหยุดกิน ด้วยวิทยาการนี้ วัวนมจะไม่ถูกทรมานอีกต่อไป เพราะโลกมีปริมาณน้ำนมให้ดื่มอย่างเพียงพอ ชายกับหญิงก็จะเท่าเทียมกันในด้านเลี้ยงลูก ผู้ชายสามารถเป็นพ่อนมได้ ขณะที่ฝ่ายหญิงออกไปทำงานแทน…”
เดี๋ยวก่อน… หมอนี่กำลังพูดเรื่องอะไร? ไคลน์เกือบกลั้นมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เอาไว้ไม่อยู่
ในวินาทีนี้ มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่า ฉายา ‘โจรสลัดเสียสติ’ ไม่ควรเป็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากแต่ต้องเป็นของแฟรงค์·ลี
น่าสนใจ… เขาสนับสนุนความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง… นั่นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่วิธีการออกจะสุดโต่งไปสักนิด… โบสถ์พระแม่ธรณีคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับโบสถ์รัตติกาล พวกเขาเชื่อว่าสตรีควรมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่าบุรุษ แต่จะเน้นความสำคัญไปในด้านการแพร่พันธุ์โดยมองว่านั่นคือความศักดิ์สิทธิ์…
จากบรรดาเจ็ดโบสถ์หลัก ศาสนจักรวายุสลาตันและเทพสงครามคือสองโบสถ์ที่ให้ความสำคัญกับเพศชายอย่างมาก ตามด้วยโบสถ์สุริยัน ส่วนโบสถ์ปัญญาความรู้มีคำสอนที่ผิดแผกไปจากโบสถ์อื่น พวกเขาเทิดทูนสติปัญญาเหนือเพศสภาพ ทางด้านโบสถ์จักรกลไอน้ำค่อนข้างเป็นกลาง สนใจเพียงแรงงานในอุตสาหกรรม แต่ก็ร่วมมือกับโบสถ์รัตติกาลเพื่อสนับสนุนให้สตรีเข้าไปทำงานในโรงงานมากขึ้น…
ชายหนุ่มเงยหน้ามองแฟรงค์·ลีอย่างเป็นมิตร ราวกับคำพูดของอีกฝ่ายมิใช่สิ่งแปลกใหม่
ท่าทีตอบสนองเช่นนี้ทำให้แฟรงค์รู้สึกอิ่มเอมใจเหนือคำบรรยาย จึงอดไม่ได้ที่จะยกแก้วนมขึ้นมากระดกเพิ่มเติม
หลังจากโจรสลัดกินอาหารกลางวันเสร็จ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา เปิดหน้าต่างห้องกัปตันพร้อมกับเปล่งเสียงกังวานที่ถูกขยายด้วยเวทมนตร์
“พวกเราจะถึงเกาะข้างหน้าในอีก 1.5 ไมล์ทะเล จากนั้นจะทำการเทียบท่าที่นั่นเพื่อรอให้พายุสงบ… สำหรับน่านน้ำแห่งนี้ เมื่อกลางวันสลับกับกลางคืน มีโอกาสพอสมควรที่จะเกิดพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งแม้แต่ฉันก็ระบุไม่ได้ว่าตอนไหน จึงเป็นการดีกว่าหากจะรอให้พายุสงบก่อนจึงค่อยแล่นเรือต่อ”
สาเหตุเธออธิบายลงลึกถึงรายละเอียด เพราะปัจจุบันมิใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกเหลือเฟือ
หากพูดถึงท้องทะเล หนึ่งในสิ่งมนุษย์มักหวาดกลัวก็คือพายุ จึงไม่มีโจรสลัดคนใดกังขาในคำสั่งของแคทลียา ภายใต้การนำของต้นหนอ็อตโตลอฟและสรั่งเรือนีน่า กลุ่มโจรสลัดเริ่มเตรียมตัวเทียบท่าอย่างกระฉับกระเฉง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไคลน์สามารถยืนยันหนึ่งในคำเตือนของวิล·อัสติน
ห้ามเสี่ยงกับพายุเด็ดขาด!
เพียงไม่นาน เกาะที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นตรงหน้าอนาคตกาล
เรือใบลำยาวกว่าร้อยเมตรปรับเปลี่ยนเส้นทางและเทียบท่าในฝั่งอับลม
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มมืดลงพร้อมกับการก่อตัวของเมฆสีเทาตะกั่ว
หมูเมฆเริ่มซ้อนทับจนหนาแน่น ดูคล้ายกับกำลังโอบล้อมทะเลไว้ทุกทิศ
ท่ามกลางเสียงคำรามและแสงอสนีบาต ลมพายุได้ม้วนเป็นเกลียวสูง ณ จุดห่างไกล
เกลียวพายุคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเมฆสีเทาด้านบนและทะเลสีครามด้านล่าง บรรยากาศน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าอสรพิษยักษ์ตามตำนานปรัมปราใดทั้งหมด ดูคล้ายกับงูใหญ่ที่ขดเป็นเกลียวและเตรียมทำลายโลก
พายุดังกล่าวมาพร้อมกับคลื่นยักษ์ขนาดเท่าภูเขา แสงอสนีบาตยังคงไม่เลือนหายไปเพียงเพราะเกลียวพายุปรากฏตัว แต่กลับยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดในการฟาดผ่าลงมาด้านล่าง ประกายไฟสีเหลืองทองส่องกะพริบวิบวับทุกครั้งที่สายฟ้ากระทบกับผิวทะเล
ฝนเม็ดใหญ่ตกกระแทกใส่ดาดฟ้าอนาคตกาล ส่งผลให้โจรสลัดที่หลบอยู่ในห้องโดยสารหรือกำบังชั่วคราวต่างรู้สึกราวกับว่า นี่คือภัยพิบัติที่กำลังจะทำลายโลกในอีกไม่ช้า
พายุเกิดขึ้นและสงบลงภายในเวลาไม่นาน เพียงสิบห้านาที คลื่นยักษ์ขนาดเท่าภูเขาเลือนหายไปจากการมองเห็น แสงตะวันยามเที่ยงกลับมาเฉิดฉายปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง
“พวกนายจะลงไปสำรวจเกาะก็ได้ ฉันไม่ห้าม แต่อย่าเข้าไปลึกเกินกว่าระยะยิงของปืนใหญ่” แคทลียาปล่อยให้โจรสลัดพักผ่อนตามอัธยาศัย
ไคลน์หวนนึกถึงคำเตือนของ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน จึงตัดสินใจไม่สำรวจเกาะ เมื่อลงจากอนาคตกาล ชายหนุ่มเพียงเดินริมหาดเพื่อสัมผัสความรู้สึก ‘เหยียบพื้นดิน’
หาดทราย แสงแดด ต้นไม้… นี่มันลาพักร้อน… ไคลน์ที่กำลังรำพันติดตลก พลันเหลือบเห็นจุดสีดำพุ่งผ่านมุมสายตาด้วยความเร็วสูง
ทิศทางการพุ่งมาจากหน้าผา!
จุดดำขยายขนาดขึ้นทีละนิดจนเริ่มดูคล้ายกับรูปร่างมนุษย์!
ไม่ห่างจากไคลน์นัก พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ฝ่าเท้าเพิ่งได้สัมผัสกับทราย เริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบถอดแว่นและหันไปมอง
ร่างดังกล่าวขยับเข้าใกล้ทีละนิด เป็นร่างของชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ และกางเกงขายาวสีดำ รูปร่างสันทัด ดวงตาสีฟ้า เส้นผมสีทองหวีแสกด้วยอัตราส่วนเจ็ดต่อสาม
แอนเดอร์สัน!
แอนเดอร์สันผู้โชคร้าย!
ไคลน์จดจำอีกฝ่ายได้ในพริบตา
ผู้มาเยือนลึกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแอนเดอร์สันที่น่าขนลุกในโลกความฝัน!
แอนเดอร์สันผู้บอกกับไคลน์ว่า พรรคพวกของมันตั้งทีมสำรวจอารามและไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย โดยหลังจากนั้นก็ประกาศตัวว่า มันคือหนึ่งในทีมที่เข้าไปสำรวจอาราม!
ในวินาทีนี้ แอนเดอร์สันยกมือขวาขึ้น
โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หยิบยันต์โลหะออกมาพร้อมกับเปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“พายุ!”
ยันต์โลหะที่สร้างจากดีบุกสีขาว แปรสภาพกลายเป็นวัตถุคมกริบแผ่นบางคล้ายใบมีด
อาศัยการถ่ายเทพลังวิญญาณ เกิดลมพายุกระโชกหมุนวนเป็นทรงเกลียว
ไคลน์โยนยันต์โลหะไปทางแอนเดอร์สันด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ฟ้าว! ฟ้าว!
กลุ่มสายลมควบแน่นกลายเป็นใบมีดแผ่นบางสีฟ้า รัวพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างเป็นระเบียบแบบแผน
แอนเดอร์สันที่กำลังยกมือขวาค้างพลางฉีกยิ้มคล้ายกับเตรียมกล่าวบางสิ่ง พลันได้ยินเสียงสวดคาถาตามด้วยเสียงสายลมกรีดเฉือนอากาศ
ด้วยดวงตาแตกตื่น มันส่งตัวเองไปด้านข้างพร้อมกับกลิ้งหลบอย่างทุลักทุเลราวกับเบื้องหน้ามีแผ่นเหล็กสีแดงร้อนฉ่าขวางไว้
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ใบมีดลมคมกริบปะทะกับผืนทรายจนเกิดช่องว่างแหว่งโหว่ แต่ไม่มีเล่มใดพุ่งเข้าเป้า
“หยุด! หยุดก่อน!” แอนเดอร์สันแหกปากตะโกนขณะกลิ้งล้มลุกคลุกคลาน “ฉันไม่ใช่ศัตรู! ฉันมาดี!”
“แอนเดอร์สัน·ฮู้ด…” พลเรือเอกดวงดาวพึมพำพร้อมกับยกมือปรามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่หยิบยันต์โลหะออกมาเพิ่ม
เธอรู้จักแอนเดอร์สัน…? ไคลน์ไม่รีบร้อนเปล่งคาถาจู่โจม เพียงกล่าวด้วยเสียงขรึม
“เขาไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว… ผมได้พบเขาในความฝัน”
ชายหนุ่มไม่แปลกใจนักที่ตนได้พบกันแอนเดอร์สันอีก เพราะการถูกดึงเข้าไปในโลกความฝัน ย่อมหมายถึงอีกฝ่ายอยู่ในละแวกใกล้เคียงอนาคตกาล
“ไม่! นายกำลังเข้าใจผิด!” แอนเดอร์สันลุกพรวดด้วยสีหน้ายิ้มไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก สองมือชูขึ้นฟ้าอย่างจำนน “ฉันจำนายได้ คนที่ตั้งถามมากมายในความฝัน! ตอนนั้นฉันพูดติดตลกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ! นายไม่คิดบ้างหรือ ว่าการที่เรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นความสยองขวัญในตอนสุดท้าย ถือเป็นประสบการณ์อันแสนวิเศษและหาได้ยากยิ่ง! น…แน่นอน ฉันไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่เป็นคู่สนทนา… ถ้าฉันอยู่ในทีมสำรวจ แล้วจะมาปรากฏตัวต่อหน้านายได้ยังไง?”
นั่นล่ะคือปัญหา… ไคลน์ยังไม่เชื่อคำอธิบายทันที
แอนเดอร์สันยักไหล่
“อันที่จริง ฉันคิดจะเฉลยว่าเป็นเพียงมุกตลกและขอความช่วยเหลือจากนาย หวังให้นายช่วยแล่นเรือมายังเกาะแห่งนี้และนำตัวฉันกลับออกไป แต่ความฝันดันจบลงเสียก่อน… ให้ตายสิ! จะโชคร้ายอะไรขนาดนี้!”
สมเหตุสมผล สอดคล้องกับคำสาปโชคร้าย… ไคลน์พึมพำ
ขณะชายหนุ่มเตรียมดีดเหรียญทำนายยืนยันต่อหน้าอีกฝ่าย เสียงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ดังแทรกขึ้น
“ฉันคิดว่าเราควรฟังคำอธิบายของเขาก่อน… ชายคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในทะเลหมอก ฉายาของเขาคือ ‘นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด’”
…………………………….