กลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องสุดระยำสมชื่อ… ไม่เพียงจะเหม็นคาว แต่ยังน่ารังเกียจจนสรรหาคำมาอธิบายไม่ได้… มันคืออาวุธชีวภาพ!
ไคลน์นั่งยองในมุมหนึ่งของซอยเปลี่ยว ต้องใช้เวลาหลายสิบวินาทีกว่าจะกลับเป็นปรกติ
มันตระหนักว่าตนประมาทกลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องเกินไป จึงตอบสนองต่อหายนะได้ไม่ทันท่วงที ไม่มีการงัดกระดาษคนตัวแทนหรือท่อหายใจล่องหนออกมาใช้
ในวินาทีนี้ ไคลน์ขอชื่นชมคนออกกฎห้ามเปิดปลาหมาป่ากระป๋องในที่สาธารณะ!
ฟู่ว… ชายหนุ่มหายใจเข้าพร้อมกับลุกยืนอย่างระมัดระวัง ยกกระเป๋าสัมภาระและย่างกรายออกไปยังเขตท่าเรือ
ภาพจำแรกเกี่ยวกับเมืองนาสคือ อาคารบ้านเรือนเต็มไปด้วยสีขาวละลานตา เกือบทั้งหมดสร้างจากอิฐขาวโพลน ภาพจำที่สอง ถึงแม้เกาะจะตั้งเยื้องขึ้นไปทางทิศเหนือแค่เล็กน้อย แต่อากาศกลับหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน กระทั่งเดือนเมษายนก็ยังมีอุณหภูมิหลักหน่วยเฉียดติดลบ
และภาพจำที่สาม เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยโรงเชือดวาฬเรียงติดกันเป็นทิวแถว โดยวาฬขาวตัวใหญ่จะถูกแบ่งชำแหละออกเป็นหนัง เนื้อสด ไขมัน กระดูก และ ‘อำพันเทา’
สองอย่างหลังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย กระดูกใช้สร้างเป็นโครงกระโปรงสำหรับงานเลี้ยง ส่วนอำพันเทาสามารถนำไปเป็นเครื่องเทศชั้นหนึ่ง เครื่องหอม หรือแม้กระทั่งน้ำหอม โดยทั้งหมดล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความบันเทิงของชนชั้นสูง
ในส่วนของหนัง เนื้อสด และไขมันของวาฬขาวก็ยังมีประโยชน์หลากหลาย เช่นนำไปสร้างเป็นเสื้อหนัง แปรรูปเป็นอาหาร หรือแม้กระทั่งการกลั่นน้ำมัน สำหรับเมืองนาส อาหารจากวาฬขาวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการดำรงชีพ ภัตตาคารมากมายพัฒนาเมนูเกี่ยวกับวาฬชนิดนี้จนมีรสชาติยอดเยี่ยม
ไคลน์เดินผ่านโรงเชือดวาฬและเห็นไขมันถูกลอกออกจากซาก โดยคนงานแบกจะขึ้นรถขนส่งและขับไปยังโรงงานควันดำที่อยู่ไม่ห่างออกไป
ตัวตนแท้จริงของโรงงานควันดำคือโรงกลั่นน้ำมันการ์กัส ไขมันจากวาฬขาวทั้งหมดจะถูกนำมากลั่นเป็นน้ำมันวาฬ กลายเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
ไม่เหมือนกับเมืองไหนที่เคยไปเยือนเลยแฮะ…
ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย หยุดยืนชมทัศนียภาพรอบเมืองสักพัก
เมื่อเดินออกจากท่าเรือและเข้าไปในเขตอยู่อาศัยของชาวเมือง เสียงภาษาฟุซัคดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
ไคลน์ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาฟุซัคโบราณอันเป็นรากภาษาของทวีปเหนือทั้งหมด ย่อมสามารถถอดความภาษาคนเถื่อนแดนเหนือได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มหันข้างไปมองอย่างสนใจ และได้เห็นกลุ่มคนผมทองที่ค่อนข้างสูง กำลังชูป้ายพร้อมกับเดินขบวนไปตามถนน
ป้ายด้านหน้าสุดเขียนเจตจำนงไว้ว่า :
“ขอคัดค้านการล่าวาฬขาวอย่างผิดกฎหมาย! เราต้องพัฒนาธรรมชาติอย่างยั่งยืน!”
พรวด…!
ไคลน์เกือบหลุดขำเสียงดัง ในใจเชื่อว่ากว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของวลี ‘พัฒนาอย่างยั่งยืน’ จะต้องถูก ‘คิดค้น’ โดยโรซายล์มหาราชแน่นอน
ชายหนุ่มมองไปรอบตัว เพ่งตาอ่านป้ายประท้วงเพื่อประเมินความต้องการของกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายบนถนน
“ล่าวาฬเพื่ออยู่รอด มิใช่เพื่อความบันเทิง!”
“มนุษย์มิได้สูงส่งกว่าวาฬขาว!”
“พวกปีศาจหิวเงิน จงออกจากนาสไปซะ!”
ทันใดนั้น หน่วยตำรวจปราบจลาจลในเครื่องแบบสีเทาปรากฏตัวพร้อมโล่ใหญ่ ส้อมยาวสำหรับควบคุมฝูงชน และไม้กระบอง ยืนตั้งแถวปิดทางเดินของกลุ่มผู้ประท้วง
หลังจากการปะทะประปรายในช่วงต้น ความวุ่นวายเริ่มลุกลามและทวีความรุนแรง
กลุ่มคนหนุ่มสาวเริ่มขว้างกระป๋องปลาหมาป่าและโยนไปทางตำรวจ บางส่วนโยนระเบิดเพลิงที่มาพร้อมกับเชื้อไฟ กลุ่มตำรวจเห็นดังนั้นก็ไม่นิ่งนอนใจ รีบเข้าปราบปรามด้วยมาตรการสูงสุดทันที โล่ใหญ่ถูกดันจนติดกลุ่มผู้ประท้วงและเริ่มต้นการตะลุมบอน
ไคลน์รีบอุดจมูกแน่น มองไปยังกลางถนนที่มีเปลวเพลิงลุกท่วม จากนั้นก็หันไปสำรวจอาการของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวงนอก และพบว่าเกือบทั้งหมดล้วนเฉยชากับเหตุการณ์ตรงหน้า มีเพียงบางส่วนที่หันมาสนใจ แต่ส่วนใหญ่ยังคงก้มหน้าเดินไปตามเป้าหมายตัวเอง
คงเป็นเรื่องปรกติของนาส… การประท้วงคงถูกยกระดับกลายเป็นความชุลมุนบ่อยครั้งสินะ…
สมกับที่เป็นพวกคนเถื่อนฟุซัค…
ไคลน์พึมพำสองสามคำและเดินไปตามถนน เพียงไม่นานก็พบโรงแรมที่จะเข้าพักค้างคืน
ชายหนุ่มยังคงลงทะเบียนด้วยตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ โดยไม่กังวลว่าข่าวลือที่พลเรือโทโรคภัยกระจายออกไป จะทำให้โบสถ์รัตติกาลระแคะระคายว่าตนคือผู้ไร้หน้า เพราะไคลน์ไม่คิดตามหานางเงือกด้วยวิธีโดยสารไปกับเรือประมงล่าวาฬ ซึ่งนั่นอาจมีคนของโบสถ์รัตติกาลคอยดักซุ่ม แต่เลือกเดินทางไปยังสุดเขตตะวันออกแสนอันตรายของทะเลโซเนียแทน
ในส่วนของความปลอดภัยภายในเมืองการ์กัส มันก็ไม่รู้สึกกังวลเช่นกัน เพราะที่นี่คืออาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค ศาสนาเดียวที่ถูกกฎหมายคือโบสถ์เทพสงคราม และพวกมันเป็นศัตรูอย่างรุนแรงกับโบสถ์รัตติกาล
ในตอนแรก ไคลน์กังวลว่าตนจะได้พบกับผู้ไร้หน้าคนอื่นที่นี่ และพบมีมากถึงเจ็ดแปดคนหากตนเดินเข้าไปในร้านอาหารขายเนื้อวาฬ
แต่หลังจากลองพิจารณาดูใหม่ มันพบว่าโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีค่อนข้างต่ำ
สืบเนื่องจากความหายากของผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย ไคลน์จึงรู้จักคนที่มีลำดับสูงกว่า 8 เพียงสามคนเท่านั้น ประกอบด้วยตัวตลกสวมสูทที่พบในเมืองทิงเก็น โรซาโก้ และซาราธ
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ผู้วิเศษลำดับ 6 ถือเป็นสิ่งมีชีวิตหายาก แม้แต่ดินแดนสวรรค์ของเหล่าโจรสลัดก็ยังมีบุคคลค่าหัวห้าพันปอนด์เพียงหยิบมือเดียว และเหตุผลสุดท้าย ชะตากรรมของผู้ไร้หน้าส่วนใหญ่มีแค่ไม่กี่รูปแบบ หากไม่นับถือศาสนารัตติกาลมาตั้งแต่แรก ก็ต้องเดินทางไปพร้อมกับเรือประมงของชาวการ์กัสและถูกโบสถ์รัตติกาลจับโยนลงทะเล หรือไม่ก็ถูกจับไปเป็นหนูลองยาให้กับสมบัติปิดผนึก มีเพียงกลุ่มน้อยที่พอจะฉลาดสักหน่อย และหาโอกาสเลื่อนลำดับอย่างราบรื่น เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่น่าจะมีผู้ไร้หน้าบนเกาะการ์กัสมากนัก
ทั่วทั้งเมืองนาส หากไม่นับเรา ปัจจุบันคงมีผู้ไร้หน้าอาศัยอยู่ไม่เกินสองคน…
ไคลน์จัดระเบียบเครื่องแต่งกาย ไม่รีบร้อนหาทางติดต่อกับพลเรือเอกดวงดาว เพียงเดินไปตามถนนด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กวาดตามองหาอาหารข้างทางเหมือนกับนักท่องเที่ยวตามปรกติ
ซาซิมิวาฬขาวดิบ สเต๊กวาฬขาวทอด น้ำมันวาฬบำรุงผิว เนื้อวาฬขาวย่าง…
ไคลน์สวมบทบาทเป็นนักท่องเที่ยวตัวจริงด้วยการเดินเข้าร้านอาหารสามแห่ง จุดประสงค์เพื่อลิ้มรสความแตกต่างของรสชาติและประเภทอาหาร
ไม่เลวทีเดียว มีเอกลักษณ์โดดเด่น กลิ่นวาฬไม่หนักเกินไป ชวนให้เจริญอาหารมาก…
ไคลน์ปิดปากขณะเดินไปตามถนน พลันพบว่าโคมไฟบนถนนค่อนข้างอับแสง แต่ความสว่างจากบ้านเรือกลับมากพอจะขจัดบรรยากาศอันมืดโดยรอบ
เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาจากทะเล ไคลน์อดไม่ได้ที่จะดึงปกเสื้อขึ้นมากลบเกลื่อนความหนาวเหน็บบริเวณซอกคอ เผยให้เห็นกระดุมข้อมือสีน้ำเงินแพรวพราวที่ฝังอยู่กับชายแขนเสื้อ
หากเทียบกับเครื่องประดับประเภทแหวน กระดุมข้อมือจะเข้ากับมาดแสนสง่างามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กว่ามาก ไคลน์จึงไม่ตำหนิช่างฝีมือที่เปลี่ยนแปลงข้อตกลงโดยพลการ
ในส่วนของฮาร์โมนิก้าซึ่งบรรจุพิธีกรรมอัญเชิญสัตว์วิญญาณ สิ่งนี้นับว่าตรงตามความต้องการของมันทุกประการ อายุการใช้งานหนึ่งปีครึ่งและสร้างจากโลหะสีเงินล้วน แฝงกลิ่นอายความสุนทรีย์และงดงามอย่างเต็มเปี่ยม
ขณะได้เห็นฮาร์โมนิก้าเป็นครั้งแรก ไคลน์จินตนาการภาพของนักผจญภัยเสียสติและทรงพลังท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงา ยืนบนหัวเรือพลางบรรเลงบทเพลงภายใต้แสงจันทร์แดงสลัว
แต่น่าเสียดาย ฮาร์โมนิก้าชิ้นนี้ผลิตเสียงดนตรีไม่ได้ ประโยชน์เดียวของมันคือการอัญเชิญมาดามไรเนตต์·ไทน์เคอร์…
ไคลน์ส่ายหัวเล็กน้อยและเร่งฝีเท้าเดินไปบนถนนบรรยากาศเย็นจัดของเมืองนาส รีบมุ่งหน้ากลับโรงแรมที่เช็กอินไว้
มันจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นในเช้าของวันถัดมา และมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำแห่งหนึ่งนามว่า ‘ระบำวาฬคลั่ง’
หลังจากยืนจ้องหน้าเจ้าของร้านผมสีเทาที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ไคลน์เอนตัวเคาะเคาน์เตอร์พร้อมกับพูดเป็นภาษาฟุซัค
“ซื้อน้ำมันวาฬ”
ใบหน้าเจ้าของร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น สวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากหนังวาฬขาว มีลวดลายสีขาวแซมจนเกิดเป็นความงดงามแปลกตา
“เอาเท่าไร” เจ้าของร้านอยู่ในสภาพเมามายหนักหน่วง ข้าวของภายในร้านระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ
“หนึ่งถังกับอีกหนึ่งส่วนสี่” ไคลน์ตอบห้วน ประโยคดังกล่าวคือสัญญาณนัดแนะพิเศษ
เจ้าของร้านดื่มช้าลงอย่างชัดเจน ก่อนจะกระแทกขวดเหล้าสีน้ำตาลเขียวลงบนเคาน์เตอร์
“ลองสักจิบไหม? เนโพสบริสุทธิ์ เหล้าที่บุรุษชาวฟุซัคทุกคนโปรดปราน!”
เนโพสคือเหล้าชื่อดังของฟุซัค กลั่นจากมันฝรั่งหรือธัญพืช โด่งดังในด้านความรู้สึกซาบซ่านขณะดื่ม เทียบกับไวน์เลือดแห่งโซเนียแล้ว ราคาของเนโพสจะถูกกว่าเล็กน้อย และเป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มฟุซัคมากกว่า
“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้า
เจ้าของร้านหัวเราะเหยียดหยันในลำคอ
“เป็นบุรุษประสาอะไรถึงไม่ดื่มเนโพส ชาวโลเอ็นมีแต่สตรีหรือ?”
มันกระดกดื่มพร้อมกับทำเสียงซาบซ่าน
“แล้วใครแนะนำมา”
“มาดามเกอต์มิวส์” ไคลน์ผสมคำขึ้นมาเองให้สอดคล้องกับธรรมชาติของภาษา
เจ้าของร้านพ่นลมหายใจหนึ่งปอดใหญ่ ส่งผลให้อากาศรอบร้านคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้า
มันลุกยืนด้วยท่าทางโซซัดโซเซ อากัปกิริยาคล้ายกับหมีขาวในคณะละครสัตว์
หลังจากสั่งให้ผู้ช่วยมาดูแลร้านแทน มันเดินนำทางไคลน์ขึ้นไปยังห้องขนาดเล็กบนชั้นสองของโกดังหลังร้าน
“ขอหาสักครู่…” เจ้าของร้านพึมพำขณะโน้มตัวลงไปควานหาบางสิ่งอย่างเมามาย
ไคลน์ฝืนระงับมุมปากจากอาการสั่นกระตุก ในใจกำลังหวนนึกถึงมุกตลกหนึ่งที่แพร่หลายในหมู่ชาวโลเอ็น
“คำถาม : ชายชาวฟุซัคไม่เมาตอนไหนบ้าง? คำตอบ : ตอนที่พวกมันอยู่ในท้องแม่!”
หลังจากยืนรอสักพัก ไคลน์เห็นเจ้าของร้านเหยียดตัวตรงพร้อมกับถือลูกแก้วคริสตัลใสบริสุทธิ์ในมือ
ถัดมา ‘หมีขาว’ ขี้เมาหันหน้าให้ไคลน์ สองมือลูบคลำลูกแก้วคริสตัลอย่างทะนุถนอม พร้อมกับพึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณที่ยากจะทำความเข้าใจ
ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องแคบพลันมืดครึ้มกะทันหัน ตามมุมห้องที่มืดมิดกำลังเกิดแรงดึงดูดแปลกประหลาด
ลูกบอลคริสตัลเริ่มส่องแสง เผยให้เห็นภาพของหญิงสาวสวมชุดคลุมโบราณ
ใบหน้าทรงไข่ไก่ ผิวพรรณขาวละเอียด ดวงตาสีม่วงเข้มและเต็มไปด้วยปริศนา
ได้พบหน้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์อีกแล้ว…
ไคลน์เดินเข้าไปใกล้ ใช้มือรับบอลคริสตัล
ขณะเดียวกัน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาด้านหลังบอลคริสตัลก็มองเห็น ‘เดอะเวิร์ล’ อย่างชัดเจน หญิงสาวเพ่งพิจารณาชายผมดำ ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
หลังจากตรวจสอบสักพัก แคทลียาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?”
เธอพบว่าตัวตนที่แท้จริงและความแข็งแกร่งของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตนไปมาก ค่อนข้างผิดคาดเมื่อพบว่าเดอะเวิร์ลคือนักผจญภัยเสียสติผู้มีฝีมือทัดเทียมพลเรือโจรสลัด เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
อย่างไรก็ตาม การประเมินด้านอุปนิสัยของเราไม่มีข้อผิดพลาด… เป็นคนเก็บตัว สุขุมลุ่มลึก มากประสบการณ์ และค่อนข้างป่าเถื่อน…
พลเรือเอกดวงดาวไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ
“ถูกต้อง มาดามแคทลียา” ไคลน์โบกมือส่งสัญญาณให้เจ้าของร้านออกจากห้อง
เมื่อบรรยากาศเริ่มเงียบ พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาเริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“ดิฉันนึกสงสัยมาตลอด เหตุใดคุณถึงระบุตัวจริงของฉันได้ถูกต้อง ทั้งที่คอยระมัดระวังเป็นอย่างดีตลอดการชุมนุม”
ย้อนกลับไปเมื่อเดอะเวิร์ลขอสนทนาส่วนตัวกับเฮอร์มิท แคทลียาตกใจมากเมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นทักทายด้วยคำว่า ‘สวัสดี พลเรือเอกดวงดาว’
และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่เธอยอมรับงานจ้างจากเดอะเวิร์ล
“ความลับ” ไคลน์ยิ้มอย่างสุภาพ
และเนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายระแวงว่าตนมีความเกี่ยวข้องกับเดอะฟูล มันตัดสินใจเสริมไปอีกหนึ่งประโยค
“ดวงตาของคุณพิเศษกว่าใคร”
“นั่นเป็นคำชมใช่ไหม?” แคทลียายิ้ม
เธอเชื่อมาตลอดว่า ในตอนแรก เดอะเวิร์ลยังไม่มั่นใจว่าตนคือพลเรือเอกดวงดาว เพียงสงสัยอย่างคราวจากรายละเอียดเล็กน้อยเช่นดวงตาหรือเครื่องแต่งกาย ดังนั้น การทักทายขณะสนทนาส่วนตัวจึงเป็นการหยั่งเชิง และบังเอิญว่าคำตอบออกมาถูกต้อง
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงเปลี่ยนประเด็นถาม
“จะเริ่มออกเดินทางเมื่อไร”
……………………