Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 597 : แผนของไคลน์

ราชันเร้นลับ 597 : แผนของไคลน์

ลาเนวุสคงเป็นลำดับ 8 ‘นักต้มตุ๋น’ บนเส้นทางนักจารกรรม จึงเข้าใจได้ไม่ยากหากจะมี ‘ตั๋ว’ เข้าร่วมชุมนุมลับดังกล่าวในครอบครอง…

ค่อนข้างสมเหตุสมผล… หากเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลัง ชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาน่าจะหาซื้อได้ง่ายกว่าใคร… นี่คือสิ่งที่วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา พยายามบอกเรา…

ไคลน์นั่งบนขอบเตียงนอน ในใจค่อนข้างมีความสุข

มันเริ่มประกอบพิธีกรรม ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก นำเข็มกลัดขนาดเท่าดวงตากลับมายังโลกจริง

หลังจากสำรวจเข็มกลัดที่สลักเครื่องหมาย ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ อย่างละเอียด ด้านหลังมีภาษาเฮอร์มิสโบราณเขียนว่า :

‘สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้’

ไคลน์เตรียมถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป เพื่อกระตุ้นกลไกการทำงานของเข็มกลัดและรอรับข้อมูลการชุมนุมครั้งถัดไป ทั้งเวลาและสถานที่

แต่จู่ ๆ กลับชะงักมือกลางคัน

ประมาทเกินไปแล้ว! เราลืมทำนายยืนยันระดับอันตรายได้ยังไง… หากมีครึ่งเทพที่รู้จักกับลาเนวุสอยู่ในชุมนุมด้วย อีกฝ่ายอาจระบุตำแหน่งของเราได้ทันที หลังจากนั้นคงมีแต่ความฉิบหายตามมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้แต่พลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ก็ยังมีครึ่งเทพคอยปกป้องไม่ห่างกาย เราไม่ควรประมาท…

เกิดเป็นชาย ต้องรู้จักจังหวะใช้ความกล้าและความปอดแหกให้เป็นประโยชน์!

ไคลน์ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาด กลับไปยังมิติเหนือสายหมอกด้วยความไม่ประมาท ทำนายยืนยันอันตรายครั้งที่สองด้วยเทคนิคลูกตุ้มวิญญาณ

หลังจากยืนยันว่าปราศจากอันตราย มันเริ่มหายใจทั่วท้อง ออกจากมิติหมอก นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลังภายในห้องโรงแรม

ด้วยการถ่ายเทพลังวิญญาณ ผิวเข็มกลัดเริ่มปรากฏชั้นลำแสงเคลือบปกคลุม ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นเสาลำแสงไร้เสียง ยิงขึ้นไปในอากาศ

ไม่นานหลังจากนั้น แสงลักษณะเดียวกันส่องย้อนกลับมา ฉายภาพมายาขนาดเท่าฝ่ามือลงบนพื้น เป็นข้อความเขียนด้วยอักษรฟุซัคโบราณ

“6 มิถุนายน 1350 สามทุ่มตรง ปากแม่น้ำทัสซอค”

อีกสี่เดือน… ด้วยเวลานานขนาดนั้น หากใช้วิธีการปรกติ เราคงรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ได้ครบหมดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารอช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังให้วุ่นวาย… ติดแค่เรื่องเดียวตรงที่มีเงินไม่พอ… แต่ถ้าจะทำจริง ๆ ก็ไม่ยากเกินกำลัง ตอนนี้เรามีเงินพร้อมใช้ 6,945 ปอนด์ อีกทั้งยังสามารถขายตะกอนพลังพิเศษได้อีกหนึ่งถึงสองก้อน…

ไม่เพียงเท่านั้น บนท้องทะเลยังเต็มไปด้วยเงินค่าหัวลอยน้ำ ไม่สิ เราไม่ควรโอหังเกินไป คงต้องตัดสี่ราชาโจรสลัดกับเจ็ดพลเรือโจรสลัดออกไปก่อน… วิล·อัสตินมอบเบาะแสประสาอะไรกัน ทำไมเราต้องรอนานถึงสี่เดือน? หมอนั่นเป็นอสรพิษแห่งชะตาจริงหรือ?

ไคลน์โน้มตัวไปด้านหน้า ประสานสองมือ ภายในใจเค้นสมองครุ่นคิดอย่างหนัก

ทันใดนั้น เมื่อไตร่ตรองเกี่ยวกับชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาอย่างละเอียด ไคลน์พลันนึกถึงชายคนหนึ่ง

เลียวนาร์ด·มิเชล!

นักกวีและอดีตพวกพ้องคนนี้เคยเข้าร่วมชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาในลำธารหุบเขาบาบูร์!

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เป็นงานส่วนตัวหรืองานราชการ แต่ชายคนนั้นสามารถตามหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังได้ง่ายกว่าเราแน่นอน… มีสิทธิ์ยืมหรือซื้อต่อจากหมอนั่นได้…

นี่คือเบาะแสที่แท้จริงจากวิล·อัสติน?

ไคลน์เริ่มกระฉับกระเฉง รีบวางแผนอนาคตอย่างคร่าวทันที

“ขั้นแรก ต้องวางเครื่องรับโทรเลขไปไว้บนมิติหมอกเพื่อให้ออร่าปนเปื้อน ขั้นที่สอง รอให้ผ่านไปสองสามวัน ใช้เครื่องรับสัญญาณโทรเลขดังกล่าวติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส ขั้นที่สาม ถามว่าเราจะหาสมบัติวิเศษที่มีพลังช่วงชิงได้จากที่ไหนง่าย ๆ บ้าง หากคำตอบชัดเจน ขั้นที่สี่คือการวางแผนครอบครองตามข้อมูลดังกล่าว บรรลุเป้าหมายอย่างเรียบง่าย… แต่ถ้าคำตอบคลุมเครือหรือเต็มไปด้วยอันตราย ขั้นที่สี่จะกลายเป็นการถามว่าเพื่อนรักนักกวีของเราอยู่ที่ไหน ขั้นที่ห้า ให้สหายเอ็มลิน·ไวท์นำเข็มกลัดชิ้นนี้ไปหาเพื่อนรักนักกวี สอบถามว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ หากมี พร้อมขายไหม… เราจะไม่โผล่หน้าไปเองเด็ดขาด เพราะอาจถูกจำหน้าได้หากทำพลาดแม้เพียงเล็กน้อย นั่นจะทำให้เกิดปัญหาตามมานับไม่ถ้วน… และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เอ็มลินกลายเป็นคนของโบสถ์พระแม่ธรณีไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘ผี’ ของโบสถ์พระแม่ธรณี การให้หมอนั่นติดต่องานแทนเรา ถึงจะโชคร้ายถูกเพื่อนรักนักกวีไปแจ้งกับเบื้องบน หรือถูกจับกุมตัวทันทีในฐานะผู้วิเศษเถื่อน แต่เรื่องราวก็จะไม่ลุกลามบานปลายแน่นอน”

เมื่อวางแผนอนาคตพร้อมด้วยรายละเอียดเสร็จสิ้น ไคลน์รู้สึกสดชื่นทันที อารมณ์แจ่มใสจนอยากออกไปหาปลาย่างสูตรเมืองบายัมด้านนอกโรงแรมกินให้หนำใจ

เหนือท้องทะเลสีน้ำเงินเข้ม ฝันทองคำ นาวาร่วมสมัยที่ผิวฉาบด้วยแสงสะท้อนสีทองอร่ามจากดวงอาทิตย์ กำลังแล่นไปบนคลื่นทะเลอย่างเงียบเชียบ

เมื่อเดนิสถูกกัปตันเรือเรียกพบ ท่ามกลางสายตาริษยาจากทุกทิศ มันเดินเชิดคางเข้าไปในห้องของเอ็ดวิน่าอย่างหยิ่งทระนง

สภาพภายใน เกือบทั้งหมดของกำแพงคือชั้นหนังสือ ทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือวางแน่นขนัด

พลเรือโทรธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่ากำลังยืนใกล้โต๊ะทำงาน ถือปากกาหมึกซึมสีดำ เขียนข้อความอย่างคล่องแคล่ว :

“ดิฉันไม่มีสมบัติวิเศษที่คุณต้องหาร เช่นเดียวกันกับโจเดอร์สัน เขาบอกว่าจะช่วยจับตามองให้ แต่คุณจำเป็นต้องมีโชคอย่างมากจึงจะได้ครอบครอง”

เอ็ดวิน่าเงยหน้า ดวงตาสีฟ้าครามราวกับน้ำพุกำลังจ้องมาทางเดนิส

“คุณต้องเป็นคนประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์”

“ผม…?” เดนิสครุ่นคิดมาตลอดทางว่าตนจะได้รับรางวัลใดจากกัปตัน แต่เมื่อเผชิญกับคำสั่งเหนือความคาดหมาย จึงเลื่อนนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองอย่างประหลาดใจ

“ถูกต้อง” เอ็ดวิน่าพับกระดาษใส่ซอง เหยียดตัวตรง พยักหน้าแผ่วเบา “การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับพิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน ในอนาคต ฉันจะสอบพวกคุณในหัวข้อนี้ด้วย”

“ครับ…” เดนิสสลัดความผิดหวัง ทำหน้านึกเกี่ยวกับรายละเอียดของพิธีกรรม

ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพลิงพิโรธจัดตั้งแท่นบูชาที่มีเทียนไขหนึ่งเล่มเสร็จ

ท้ายที่สุด ภายใต้การจับจ้องจากเอ็ดวิน่า โจรสลัดหนุ่มล้วงหยิบเหรียญทองปอนด์โลเอ็นออกมาวางยังกึ่งกลางแท่น

รับซองจดหมาย เดนิสซ้อมท่องคาถาในใจสองหนก่อนจะเริ่มปฏิบัติจริง

มันก้าวถอยหลัง เปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ

“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามของข้า! สัตว์วิญญาณผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว!”

ฟ้าว!

เกิดลมหมุนกระโชกภายในกำแพงวิญญาณ ส่งผลให้เส้นผมเหลืองเพลิงของเดนิสชี้ขึ้นไปในอากาศอย่างไม่เป็นทรง

เปลวไฟบนเทียนไขเพียงเล่มเดียวเริ่มขยายตัวจนมีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ สีของไฟซีดเซียวประหนึ่งซองจดหมายในมือเดนิส

เพียงพริบตา เดนิสเห็นเส้นผมยาวสลวยสีทองอ่อน ดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือด โผล่ออกมาจากเปลวไฟเทียนไขอย่างเชื่องช้า ตามด้วยใบหน้าใบหน้าสุดแสนงดงาม

หืม… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างไม่ธรรมดา ทำไมสัตว์วิญญาณถึงมีหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ได้? แถมยังงดงามเป็นรองกัปตันแค่นิดเดียวเท่านั้น…

ครุ่นคิดยังไม่ทันขาดคำ เดนิสพลันสะดุ้งโหยง เนื่องจากมันพบว่าศีรษะของหญิงสาวลอยออกมาอย่างเปลือยเปล่าโดยไม่ช่วงคอรองรับ แต่ถูกหิ้วด้วยฝ่ามือสีขาวในท่าดึงผม

มันยืนจ้องศีรษะที่โผล่ออกจากเปลวเทียนหัวแล้วหัวเล่า จนกระทั่งเห็นร่างไร้ศีรษะที่สวมเดรสสีดำหรูหราลอยตามออกมาทีหลังสุด

นึกแล้วเชียว… สัตว์วิญญาณก็ยังคงเป็นสัตว์วิญญาณวันยังค่ำ! เดนิสเกิดความละอายใจที่เคยนำความสวยไปเปรียบเทียบกับเอ็ดวิน่า

สูดหายใจลึก เดนิสรีบยื่นซองจดหมายไปหาอีกฝ่าย และเห็นศีรษะอันงดงามข้างหนึ่งอ้าปากกว้าง ก่อนจะงับลงบนจดหมายอย่างอ่อนโยนด้วยฟันสีขาว

พร้อมกันนั้น อีกหนึ่งหัวของไรเน็ตต์หันไปงับเหรียญทองปอนด์กึ่งกลางแท่นบูชา

แต่เธอยังไม่กลับไปทันที ดวงตาสีแดงสดสี่ข้างของอีกสองหัวพลันกลอกพร้อมกัน มองไปทางเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดที่ด้านนอกกำแพงวิญญาณ สำรวจหญิงสาวหัวจรดเท้าสองสามหน

เอ็ดวิน่ารู้สึกราวกับตนถูกอีกฝ่ายเก็บรายละเอียดอย่างทะลุปรุโปร่ง และเป็นการยากที่จะระดับความหวาดกลัวเจือจางซึ่งเริ่มก่อตัว

ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถอนสายตากลับ ร่างกายที่คมชัดแปรเปลี่ยนเป็นมายา หายเข้าไปในเปลวไฟเทียนไขสีขาวซีดของพิธีกรรม

เปลวไฟเริ่มหดหัวลง กลับคืนสีสันตามธรรมชาติ ทุกสิ่งกลายเป็นปรกติอีกครั้ง

ขณะเดนิสสลายกำแพงวิญญาณ มันได้ยินเสียงกัปตันพึมพำแผ่วเบา :

“นั่นไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…”

ไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…? เดนิสถึงกับอึ้ง

มันย่อมทราบว่ากัปตันของตนคือนักวิจัยสัตว์วิญญาณมืออาชีพ หากเธอพูดว่าไม่ธรรมดา หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ธรรมดาระดับที่ไม่ธรรมดา เป็นความพิสดารที่เหนือจินตนาการตนไปอีกหลายขั้น!

ทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเต็มไปด้วยปริศนามากเช่นนี้… เดนิสรำพัน

กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด

ฟอร์สพยายามอย่างสุดฝีมือ จนกระทั่งสามารถเอาชนะความเกียจคร้านอันเกิดจากความอบอุ่นของเตาผิง หญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเดรสสีน้ำเงินเข้ม หุ้มด้วยผ้าพันคอสีเทาอ่อน สวมหมวกสตรีอบอุ่น ออกจากบ้านเช่าไปเผชิญกับสภาพอากาศเย็น หมอกหนาทึบ แต่ยังไม่หนาวจนเกินไป ขึ้นรถม้าเช่านั่งไปลงถนนวิลเลียมส์

หญิงสาวสูดอากาศเย็นเข้าปอด พร่ำบอกกับตัวเองว่านี่เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันของนักเขียนนิยาย ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องทำตัวผิดปรกติ

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฟอร์สเลี้ยวเข้าร้านกาแฟ นั่งลงริมหน้าต่าง ดื่มเครื่องดื่มอบอุ่นกลิ่นหอมฉุย พลางสำรวจผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบร้าน

ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ไม่มีแม้แต่การวิ่งราวหรือทะเลาะวิวาท… สมแล้วที่เป็นย่านคนรวย ระดับความปลอดภัยสูงกว่าฝั่งตะวันออกนับร้อยเท่า…

หืม… นั่นคือชาวฟุซัค สูงโปร่งแข็งแรง… เหมือนกับพวกหมีป่า… มักเดินด้วยกันเป็นกลุ่มสองสามคน… ฮะฮะ! นั่นต้องเป็นชาวอินทิสแน่! แต่งตัวได้โดดเด่นชะมัด คิดว่าตัวเองเล่นละครเวทีอยู่หรือไง… สมแล้วที่กรุงเบ็คลันด์คือมหานครแห่งนคร มีชาวต่างชาติเดินขวักไขว่เต็มไปหมด…

ฟอร์สเริ่มลืมจุดประสงค์ของตัวเองทีละนิด สมุดบันทึกถูกเปิดออกเพื่อจดไอเดียสำหรับเขียนนิยาย

ดื่มกาแฟเสร็จ หญิงสาวเดินวนรอบถนนวิลเลียมส์หนึ่งจบ และออกจากจุดดังกล่าวโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือแม้แต่สิ่งเดียว วางแผนกลับมาใหม่ในวันอังคาร

หลังจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์นำจดหมายของเอ็ดวิน่ามาส่ง ไคลน์จ้องมองผู้ส่งสารขอตนเลือนหายไป ยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่เรียกร้องเหรียญทองปอนด์เพิ่มเติม

หมายความว่า เราสามารถหลอกให้คนอื่นเข้าใจว่าเหรียญทองปอนด์เป็นเครื่องเซ่นในพิธีกรรม…

ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เปิดซองจดหมายและคลี่อ่าน

เมื่อพบว่ายังไม่มีความคืบหน้า มันเตรียมออกไปเดินเล่นบนถนน มองหาโอกาสสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อให้โอสถย่อยไปจากเดิม

ทันใดนั้น ไคลน์ได้ยินเสียงเคาะประตู ผู้มาเยือนคือกัปตันไอร์แลนด์

“ผมกำลังตามหาคุณพอดี” ไคลน์เปิดประตูและทักทายอย่างใจเย็น

ไอร์แลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตราบใดที่คุณใช้ชื่อตัวเองเช็กอินห้องพัก ผมจะทราบทันทีว่าคุณอยู่ที่ไหน”

นายกเทศมนตรีกับกองทัพควบคุมข้อมูลของทุกโรงแรมไว้ในมือสินะ… ไคลน์พยักหน้า

ไอร์แลนด์หมุนตัวครึ่งรอบ ชี้ไปยังทางเดิน

“ผมจะพาคุณไปพบใครบางคน โมราขาวใกล้ถึงกำหนดกลับท่าเรือพริสต์แล้ว หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือแจ้งเบาะแส สามารถติดต่อเขาได้ทันที ในแง่การตกรางวัล พวกเราขึ้นชื่อว่าใจกว้างกว่าใคร”

นี่คือข้อตกลงที่ไคลน์เคยเสนอกับไอร์แลนด์ไปในการพบกันเมื่อคราวก่อน

“ไม่เลว” ไคลน์เหยียดแขนไปทางราวผ้า

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไอร์แลนด์เดินนำทางชายหนุ่มไปถึงผับใบไม้หอม จากนั้นก็ตรงไปยังมุมหนึ่งของร้าน

ณ ห้องใต้ดินของผับใบ้ไม้หอม

‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง จ้องไปยัง ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลฝั่งตรงข้ามพลางกล่าว

“ตกลงว่านายได้ข้อมูลล่าสุดของเพลิงพิโรธ·เดนิสมาหรือยัง?”

“เรียบร้อย” โอซิลตอบพลางยิ้ม “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เนตรสีฟ้า·มีธ ระบุว่ามันพบเพลิงพิโรธ·เดนิสพร้อมกับนักผจญภัยปริศนาคนหนึ่ง”

……………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset