ขณะไคลน์กำลังยืนจัดระเบียบความคิดในสมอง ไอร์แลนด์เดินเข้ามาใกล้ เผยรอยยิ้มอ่อนโยนและกล่าว
“ทางเราพบเป้าหมายแล้ว การสืบสวนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกคุณช่วยกลับโรงแรมไปก่อน ค่าจ้างจะถูกจ่ายให้ในอีกสองวัน แต่สำหรับวันนี้ ขอแนะนำให้อยู่แต่ในที่พัก”
ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึมของนักผจญภัยบ้าดีเดือด เพียงพยักหน้ารับ ไม่กล่าวคำใด
ระหว่างทางกลับ เดนิสเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัยมากมาย แต่เนื่องจากมีคนของกองทัพอย่างไอร์แลนด์เดินประกบไม่ห่าง จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เป็นการคาดเดาว่าจะมีโจรสลัดชื่อดังคนใดถูกจับตัวบ้างในวันนี้
สำหรับเดนิส หากไม่ใช่สมาชิกฝันทองคำ โจรสลัดทุกคนบนโลกล้วนมิใช่พวกพ้อง ไม่มีความจำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจ
หลังจากกลับถึงห้อง เมื่อเห็นไอร์แลนด์กลับไป เพลิงพิโรธปิดประตูและพึมพำ
“หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ… โบราณสถานเอลฟ์… มีประเด็นน่าสนใจเต็มไปหมด ว่าแต่ทำไมเอลฟ์ถึงกลายเป็นปีศาจไปได้? แค่ขโมยหนังสือออกมา พลิกหน้าอ่าน ผู้หญิงคนนั้นก็เสียสติและคลุ้มคลั่งเลยหรือ?”
หมอนี่วาดฝันเอลฟ์ไว้แบบไหน? เป็นมิตรกับธรรมชาติ อาศัยบนภูเขา ทำอาหารเก่ง และรักสัตว์? จากข้อมูลของเดอะซันน้อย เหล่าเทพบรรพกาลทั้งแปดก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติล้วนเป็นพวกป่าเถื่อน เกรี้ยวกราด และชั่วร้าย ไม่เว้นแม้แต่ราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม ดังนั้น ไม่ว่าจะสาวกหรือข้าราชบริพารของราชาเอลฟ์ พวกมันย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอ่อนโยน อาจเลวร้ายยิ่งกว่าพวกชุมนุมแสงเหนือเสียอีก… เผ่าพันธุ์วิเศษที่เอาตัวรอดจากยุคมืดมาได้ ไม่มีทางมี ‘จิตใจงดงาม’ แน่…
ไคลน์ตอบในใจ
แน่นอน มันมิได้มองข้ามความเป็นไปได้ที่เผ่าพันธุ์ทั้งหมดจะเริ่มพัฒนาศีลธรรมหลังจากเทพบรรพกาลอย่างมังกร คนยักษ์ เอลฟ์ และผีดูดเลือดทยอยร่วงหล่นตกตาม พฤติกรรมของสัตว์วิเศษกลุ่มนี้อาจดีขึ้นถึงขั้นอยู่ในระดับปรกติของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคงเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตลำดับต่ำเท่านั้น ไม่รวมเหล่าครึ่งเทพ พวกมันไม่มีทางลดความชั่วร้ายลงแน่ โดยเอลฟ์ลำดับสูงผู้เป็นเจ้าของ ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ ก็คงไม่ต่างกัน
ขณะสมองโลดแล่น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่งกะทันหัน
เดนิสอ่านภาษาเอลฟ์ออก!
มันสามารถอ่านข้อความบนหน้าปกหนังสัตว์ของหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ!
ระดับการศึกษาของลูกน้องพลเรือโทธารน้ำแข็งสูงจนน่าเหลือเชื่อ ไม่เพียงเชี่ยวชาญภาษาฟุซัคโบราณ แต่ยังรวมถึงภาษาเอลฟ์ซึ่งใช้ในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ…
บางที ภาษาคนยักษ์และเฮอร์มิสโบราณอาจถูกบรรจุลงในคาบเรียนของฝันทองคำด้วยเช่นกัน… ช่างเป็นกลุ่มโจรสลัดที่เต็มไปด้วยความฝันและความรู้ แต่ว่า มาดามกัปตัน คุณเคร่งครัดวิชาการเกินไปรึเปล่า เดนิสถึงได้บกพร่องด้านอื่นมากขนาดนี้…
แต่หล่อนทำถูกต้องแล้ว สำหรับนักล่าสมบัติ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือการอ่านภาษาโบราณออก…
ไคลน์เมินคำถามของเดนิส เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบงัน
ท้องฟ้ายังคงหม่นหมอง คล้ายกับพร้อมสาดเทสายฝนลงมาตลอดเวลา บรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
ชายหนุ่มพยักหน้ากับตัวเอง
“เลติเซียถูกพบตัวแล้ว ความลับของโบราณสถานเอลฟ์ถูกเปิดเผย โบสถ์วายุสลาตันและกองทัพคงอาศัยมรดกชิ้นดังกล่าวเชื่อมต่อกับรังของคาเวทูว่าแน่ จากนั้นก็ตามหาตัวเทพสมุทรผู้ทวีความบ้าคลั่งขึ้นทุกขณะ หรือไม่ก็ใช้มรดกดังกล่าวเร่งความเร็วในการร่วงหล่น หากเหตุการณ์ดำเนินไปในลักษณะนี้ สาวกเดนตายของเทพสมุทรก็จะสังเวยชีวิตตัวเองเหมือนในความฝันของเรา แต่คนอื่นจะยังปลอดภัย…”
เดิมที ไคลน์มีแผนจะสืบหารังของเทพสมุทร·คาเวทูว่าผ่านโลกวิญญาณ ถ้าทำสำเร็จก่อนโบสถ์วายุสลาตันหรือกองทัพ มันจะรีบแทรกซึมเข้าไปขโมยสมบัติภายในรัง อย่างไรก็ตาม แผนการยังไม่ทันเริ่ม ก็พังลงไม่เป็นท่าเนื่องจากอีกฝ่ายถือครองหนังสือแห่งภัยธรรมชาติไว้ในมือ
เฮ่อ… คงต้องยอมปล่อยไป เราไม่มีความหวังมาตั้งแต่แรกแล้ว… ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในรังของมีอะไรซ่อนอยู่ การที่เรื่องราวจบลงอย่างสงบสุขก็นับว่าดีมากแล้ว…
ไคลน์เบือนหน้ากลับ พยายามข่มใจด้วยสีหน้าเจือความเสียดาย
ตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มและเดนิสทำตามคำแนะนำของไอร์แลนด์เคร่งครัด ไม่ออกไปข้างนอกโรงแรมแม้แต่ก้าวเดียว
ภายในบายัม เสียงระเบิดและเสียงปืนยังคงดังขึ้นเป็นระยะ จนกระทั่งความมืดมิดคืบคลานเข้าปกคลุมอย่างสมบูรณ์
…
เช้าวันถัดมา ไคลน์ตื่นขึ้นตามปรกติ และพบว่าเมฆสีดำบนท้องฟ้าเลือนหายไปครึ่งหนึ่งอย่างผิดวิสัย บรรยากาศด้านบนยังคงมืดครึ้ม
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า การเผชิญหน้าระหว่างอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาวุโสใหญ่ของทูตพิพากษา แยนน์·ค็อตแมน และเทพสมุทร·คาเวทูว่า ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำไปก่อน
ไคลน์รู้สึกปวดแปลบท้องน้อย จึงเตรียมหยิบหนังสือพิมพ์เข้าไปอ่านในห้องน้ำ
แต่หลังจากหันไปเห็นเดนิสกำลังนอนแผ่หลาบนเก้าอี้เอนหลัง มือข้างหนึ่งถือขนมปังข้าวโอ๊ต ส่วนอีกข้างถือหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ชายหนุ่มเปลี่ยนแผนทันที
การอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องน้ำไม่ใช่สิ่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์พึงกระทำ!
ถึงจะน่าเบื่อไปบ้าง แต่เราต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละคร… สิ่งนี้ยังช่วยให้เราพบความแตกต่างระหว่างอุปนิสัยแท้จริงและตัวละครสมมติ…
ไคลน์สรุปเข้าข้างตัวเอง พลางเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หยิบสิ่งใดติดมือ
ถอดกางเกงลง นั่งบนฝาชักโครก สายตาจ้องกำแพงสีขาวตรงหน้าเขม็ง ราวกับมันจะมีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาให้อ่าน
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มถูกกระตุ้นฉับพลัน
ไคลน์รีบกระทบกรามสองหนเพื่อเปิดใช้งานเนตรวิญญาณ
กระดูกสีขาวสองท่อนใหญ่โผล่ขึ้นตรงหน้าในระยะประชิด เป็นท่อนขาสองข้างของผู้ส่งสารร่างยักษ์
ศีรษะของอีกฝ่ายสูงเลยเพดานด้านบน แต่ไคลน์ยังคงมองเห็นดวงตาเพลิงทมิฬผ่านเพดานอย่างเลือนราง
ผู้ส่งสารก้มศีรษะต่ำ มองลงมายังไคลน์ที่กำลังนั่งบนฝาชักโครง
ชายหนุ่มเงยหน้ามองกลับ ไม่มีใครเคลื่อนไหวนานหลายวินาที จนกระทั่งไคลน์เริ่มเกิดคำถาม :
เราควรทำตัวเหมือนผู้หญิง รีบแหกปากโวยวายเสียงดังและปกปิดของสงวนด้านล่าง หรือควรเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยโดยปราศจากความหวาดกลัว?
โดยไม่ปล่อยให้ไคลน์ตัดสินใจ ผู้ส่งสารโครงกระดูกทำการโยนจดหมายใส่ตักชายหนุ่ม ก่อนจะสลายตัวกลายเป็นน้ำพุกระดูก จมลงใต้พื้นห้องน้ำและหายไปอย่างสมบูรณ์
ไคลน์รีบคว้าจดหมายของมิสเตอร์อะซิกอย่างตกใจ ด้วยเกรงว่าจะหล่นลงไปเปียก ชายหนุ่มหมดคำพูดและไม่กระดุกกระดิกร่างกายอยู่นาน
ผู้ส่งสารตัวใหม่นับวันยิ่งเสียมารยาท! ไม่เห็นรึไงว่าเรากำลังเข้าห้องน้ำ! อย่างน้อยก็ควรเคาะประตูบ้าง หรือไม่ก็สอดจดหมายเข้ามาทางช่องว่างใต้ประตู!
ไคลน์โวยวายแกมตลกขบขัน
แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี การจะให้สัตว์ประหลาดส่วนสูงสี่เมตร สอดจดหมายทางช่องว่างใต้ประตูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายแทบจะต้องอยู่ในท่าหมอบคลาน
แค่คิดก็ตลกแล้ว… ฮะฮะ… คราวหน้าที่เขียนจดหมาย เราจะระบุท้ายกระดาษให้มิสเตอร์อะซิกช่วยอบรมสั่งสอนผู้ส่งสารเสียบ้าง! อย่างน้อยก็ต้องมีมารยาทกว่านี้สักนิด…
ไคลน์คลี่กระดาษจดหมายอ่านคำตอบ
“…จากความทรงจำปัจจุบันของผม หากต้องการระบุตำแหน่งเป้าหมายผ่านทางโลกวิญญาณ ผมมีคำแนะนำให้สองวิธี โดยวิธีแรกจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเล็กน้อย เงื่อนไขแรก ถ้าวัตถุประจำตัวของคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ในแหล่งกบดานของคาเวทูว่า คุณสามารถใช้พลังทำนายถามถึงตำแหน่งของวัตถุดังกล่าวได้โดยตรง แต่วิธีนี้ยังมีเงื่อนไขด้วยว่า คุณต้องเข้าออกโลกวิญญาณได้อย่างอิสระ สำหรับเรื่องนี้ ผมค่อนข้างชำนาญ โดยจะอธิบายวิธียอดนิยมในการเดินทางเข้าสู่โลกวิญญาณเอาไว้เป็นตัวเลือก ให้คุณนำไปใช้งานตามที่สะดวก… วิธีที่สองก็คือ ประกอบพิธีกรรม ‘พันธสัญญาลับ’ กับ ‘แสงแดง’ ไอร์ โมเรีย โดยให้ท่านเข้าสิงร่างและแสดงเจตจำนงอย่างอิสระ แสงแดดมักโดดเด่นด้านสิ่งมีชีวิตและสถานที่ภายในโลกวิญญาณ…”
‘แสงแดง’ จากเจ็ดริ้วแรงแห่งโลกวิญญาณ มีชื่อว่าไอร์·โมเรียสินะ… หลักการทำงานของพิธีกรรมพันธสัญญาลับก็คือ ต้องมอมเมาตัวเองอยู่ในภาวะละเมอเทียม ปล่อยจิตและกายให้เป็นอิสระ ปล่อยให้เป้าหมายที่ตนสวดวิงวอนเข้ามาสิงร่าง กระบวนการดังกล่าวจะมอบความรู้ปริมาณมหาศาล แต่เมื่อมองเห็นความลับของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะเห็นความลับเช่นกัน เป็นที่มาของชื่อพิธีกรรมพันธสัญญาลับ… แต่เรายังไว้ใจ ‘แสงแดง’ ได้ไม่เต็มที่… ตัวเรามีความลับมากเกินไป…
ไคลน์รีบตัดข้อสองทิ้ง
ในส่วนของข้อแรก โอกาสสำเร็จก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน เพราะไคลน์มิได้ซ่อนวัตถุประจำตัวไว้ในรังเทพสมุทร·คาเวทูว่า
“นอกเสียจากเราจะให้คนของกลุ่มต่อต้านช่วยสังเวยบางสิ่งเข้าไปในรังเทพสมุทร หรือไม่ก็ตามหาคนที่เคยสังเวยวัตถุเข้าไปในรังเทพสมุทรมาก่อน โดยวัตถุดังกล่าวจะต้องพิเศษกว่าของคนอื่น…”
คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เริ่มผุดไอเดีย
เมื่อพบแนวทาง ชายหนุ่มพยายามวิเคราะห์หาความเป็นไปได้และจุดบกพร่องอยู่นาน จนกระทั่งมองเห็นหนทางทำสำเร็จ
หลังจากลุกขึ้นยืน ไคลน์ล้างมือให้สะอาด เดินทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ทำนายถามถึงอันตรายและโอกาสสำเร็จ โดยผลลัพธ์ออกมาเป็น มีอันตรายพอสมควร แต่สามารถรับมือไหวหากจัดการอย่างถูกต้อง
เมื่อทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับมายังห้องน้ำบนโลกจริง เดินกลับไปยังห้องรับแขก และตรงไปทางเก้าอี้เอนหลัง
เดนิสลุกพรวด เผยรอยยิ้มเหือดแห้ง :
“ม…มีอะไร?”
“รู้จักนามเต็มของเทพสมุทรไหม”
ไคลน์ซักถามเสียงเรียบ
เดนิสกางแขนออกเตรียมอธิบายพร้อมท่าทางประกอบ แต่ทันใดนั้นก็ต้องสบถ
“แม่เย็*!” มันส่งเสียงพลางเลื่อนมือขวามาจับเฝือกซ้าย ก่อนจะหัวเราะแห้ง “ต้องรู้อยู่แล้ว ฉันเคยได้ยินกลุ่มต่อต้านประกอบพิธีกรรมถึงเทพสมุทร เริ่มจาก…ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่…
“แต่จากประสบการณ์ ฉันเคยเห็นคนทำสำเร็จแค่สองครั้ง และทั้งสองครั้งจะสวดเป็นภาษาเอลฟ์”
ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ…?
นามเต็มกระจอกชะมัด…ฟังดูไม่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่เหมือนของเรา…นั่นสินะ ก็เราเล่นดัดแปลงมาจากนามเต็มของเจ็ดเทพจารีตอีกทอดหนึ่ง…ไคลน์เหยียดหยัน
“รู้จักโกดังร้างหรือบ้านร้างบ้างไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว! โจรสลัดชื่อดังส่วนมากต้องรู้จักที่แบบนั้นไว้สักแห่งสองแห่ง”
เดนิสมอบคำตอบโดยไม่ลังเล
ไคลน์หมุนตัวไปทางราวแขวนผ้าหน้าห้อง
“นำทางไป”
คิดจะทำอะไรกันแน่?
แม้เดนิสจะสับสน แต่มันก็มิกล้าปริปากตั้งคำถาม
…
เขตท่าเรือ ในโกดังสกปรกและทรุดโทรม
เดนิสยืนมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเทียนไขออกมาวางสามเล่ม รวมถึงขวดโลหะอีกจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งมันทนไม่ไหว ตัดสินใจซักถามให้หายคาใจ
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ไคลน์ไม่หันกลับไปมอง ตอบอย่างสุขุม
“สังเวย”
“ให้ใคร?” เดนิสถามส่งเดช
หลังจากสร้างแท่นบูชาเสร็จ ชายหนุ่มล้วงหยิบกล่องโลหะบุหรี่โลหะ ก่อนจะตอบเสียงราบเรียบ
“คาเวทูว่า”
การจะระบุตำแหน่งคาเวทูว่าให้ได้ ไคลน์วางแผนสังเวยวัตถุบางชนิดให้มันโดยตรง!
ขอเพียงคาเวทูว่ารับสิ่งนั้นไว้ เราก็จะทำนายระบุตำแหน่งแหล่งกบดานอย่างแม่นยำได้ทันที…
ส่วนคำถามที่ว่า คาเวทูว่าจะยอมรับของสังเวยหรือไม่ แน่นอน ไคลน์มองว่ามีโอกาสพอสมควร เหตุเพราะอีกฝ่ายกำลังอยู่ในภาวะเสียสติสุดขีด แทบไม่หลงเหลือเหตุผล ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน ออร่าของห้วงมิติสายหมอกจึงดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก
ฉะนั้น แผนของไคลน์คือการสังเวยกล่องบุหรี่โลหะให้คาเวทูว่า และถ้าอีกฝ่ายรับไว้ ขั้นตอนถัดไปจะเริ่มต้นทันที แต่ถ้าเทพสมุทรไม่รับสังเวย ก็ไม่มีอะไรเสียหายสักนิด
สังเวยให้เทพสมุทร·คาเวทูว่า?
ในวินาทีนี้ เดนิสรู้สึกว่าสมองตนกำลังหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ มันไม่เข้าใจเจตนาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แม้แต่น้อย
“นายบ้าไปแล้วหรือ อีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรต้องรับของสังเวย? แต่ถึงจะรับแล้วยังไงต่อ? พิธีกรรมบ้าบอของนายกำลังนำพาตัวเองไปสู่ความฉิบหาย!” เดนิสทำสีหน้างุนงง
ขณะเดียวกัน มันรำพันในใจ
…ไม่สิ เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่เราไม่เข้าใจพฤติกรรมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะมันคือคนบ้า! ส่วนเราไม่ใช่!
ไคลน์ชำเลือง อธิบายสั้นกระชับ
“ไม่ต้องห่วง ฉันเชี่ยวชาญด้านนี้มาก”
พิธีกรรมสังเวย…ทำมาจนเบื่อแล้ว!
ชายหนุ่มไม่คิดถ่อมตัวเลยสักนิด
……………………