หลังจากหักเลี้ยวผ่านถนนสองเส้น ไคลน์ผู้เปลี่ยนใบหน้าเสร็จสรรพได้เดินตรงไปทางตู้ไปรษณีย์สีเขียว และดึงจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าออกจากกระเป๋า
นี่คือ ‘จดหมายแจ้งตาย’ ไคลน์เขียนขึ้นเองโดยเลียนแบบเอกสารของกรมตำรวจ เป้าหมายคือการส่งไปยังนายอำเภอประจำเมืองไซมีม เนื้อหากล่าวถึงความตายของชาวบ้านท้องถิ่นนามว่าวินเทอร์ เสียชีวิตเนื่องจากล้มป่วยกะทันหันภายในเมืองบายัม
หลังจากวางแผน ‘สวมรอย’ ไคลน์ก็เตรียมทางออกให้ตัวเองและอีกฝ่าย ตัดขาดเรื่องราวทั้งหมดให้จบในคราวเดียวโดยไม่ปล่อยให้ค้างคา และไม่สร้างบาดแผลทางใจอันเกินกว่าจะเยียวยา ให้กับหญิงสาวชื่อเรนนี่
แผนก็คือ ใช้ยันต์หลับใหลเพื่อกลบเกลื่อนการพบปะในวันนี้ให้เป็นเพียงความฝัน
ด้วยวิธีนี้ ถ้าเรนนี่ไม่ได้รักวินเทอร์และปฏิเสธคำสารภาพ เมื่อเธอได้รับแจ้งข่าวการตายในภายหลังก็จะไม่เกิดความรู้สึกผิด อย่างมากก็หวาดกลัวเล็กน้อย และแก้ไขได้โดยการให้บิชอปประจำวิหารปัดเป่า
แต่ถ้าเรนนี่เกิดชอบวินเทอร์ และยอมรับคำสารภาพรัก ยันต์หลับใหลจะช่วยให้ไคลน์สลัดหลุดจากเธอได้ทันที โดยข่าวคราวการตายหลังจากนั้นจะไม่ส่งผลต่อชีวิตเธอมากนัก ไม่มีการรอคอยไปจนวันตายอย่างทุกข์ทรมาน
“แต่ถึงอย่างนั้น ผลลัพธ์ก็นับว่าค่อนข้างโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใด จะชอบวินเทอร์หรือไม่ แต่การได้ทราบข่าวมรณะทันทีหลังจากถูกสารภาพรักในฝัน คงสร้างความเจ็บปวดทางใจได้ไม่น้อย ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกสักพัก แต่ถ้าเราไม่เดินทางมาสารภาพรักในวันนี้ เมื่อข่าวการตายของวินเทอร์ส่งมาถึง เรนนี่อาจเสียใจไม่มาก แต่ภายในใจคงเกิดคำถามไปตลอดชีวิตว่า ตกลงแล้ววินเทอร์ทิ้งตนไปอยู่บายัมเพราะต้องการออกผจญภัย หรือเพียงเพราะไม่ชอบเธอกันแน่”
“จบแบบนี้ก็ไม่เลว… เมื่อแผลในใจของเรนนี่ถูกเยียวยา เธอจะใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างอ่อนโยน เนื่องจากเคยได้รับความรู้สึก ‘ถูกรัก’ จากใครสักคนแล้ว เฮ่อ… เพื่อจะใช้เทคนิคสวมบทบาท เราต้องเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตของคนอื่น และมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบทางจิตใจ แม้จะใช้ข้ออ้างว่าทำไปเพื่อเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของตนตาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด… ดังคำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ ยิ่งมีลำดับสูง โลกของผู้วิเศษก็ยิ่งบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความชั่วร้าย… บางที ตัวเร่งปฏิกิริยาความบ้าคลั่งอาจไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเทคนิคสวมบทบาทเสียเอง… งานของเราคือการคอยควบคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง…”
ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางเดินเข้าไปในโรงแรมเพียงแห่งเดียวในเมือง ด้วยหน้าตาของคนท้องถิ่นไม่โดดเด่น
ระหว่างทาง ชายหนุ่มสรุปผลการทดลองล่าสุดของตนได้ว่า ‘การปลอมเป็นบุคคลอื่นอย่างแนบเนียนจนคนใกล้ชิดหลงเชื่อ’ คือกฎสำคัญของเทคนิคสวมบทบาท และเป็นรองเพียงกฎ ‘จะปลอมเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วต้องเป็นตัวเอง’
แต่ถ้าเป็นผู้ไร้หน้าคนอื่น มันคงปิดข่าวการตายของวินเทอร์อย่างมิดชิด และสวมรอยเป็นวินเทอร์เสียเอง กลับมาบอกรักเรนนี่ จากนั้นก็แต่งงานอยู่กินกับเธอราวสองปี ลูกมีด้วยกัน โดยสุดท้ายก็จะหายไปอย่างเลือดเย็นเพราะไม่ต้องการผูกพันระยะยาว และไม่ต้องการลืมว่าตัวเองเป็นใคร… ระหว่างกระบวนการดังกล่าว หากไม่มีข้อบกพร่อง โอสถก็คงย่อยเกือบเสร็จพอดี…
แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้! มันขัดแย้งกับศีลธรรมเกินไป! อย่างมากก็แค่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างผิวเผิน…
ไคลน์ถอนหายใจ และตระหนักถึงความน่ากลัวของพลังในมือ
มันส่ายหน้า หัวเราะกับตัวเองเสียงแผ่ว
“นอกจากผู้วิเศษต้องคอยต่อสู้กับความบ้าคลั่งของโลกแล้ว ยังต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายภายในจิตใจด้วย หากปล่อยไว้โดยไม่คอยควบคุม ศีลธรรมก็จะถูกบั่นทอนลงทีละนิด… จนกระทั่งสมองถูกกัดกร่อนโดยสมบูรณ์และกลายเป็นสัตว์ประหลาด—ศัตรูซึ่งพวกมันเคยสาบานว่าจะจำกัดให้หมดไป…”
ไคลน์พยายามระงับอารมณ์ขณะก้าวเข้าไปในโรงแรม และเดินต่อไปจนถึงเคาน์เตอร์หลังร้าน
“ห้องธรรมดาหนึ่งห้อง”
เจ้าของโรงแรมตัวผอมสูงเงยหน้าขึ้น
“แสดงบัตรยืนยันตัวตน”
ใบหน้านี้เพิ่งถูกสร้างขึ้น จะไปมีของแบบนั้นได้ยังไง… ไคลน์ยิ้มแห้ง
“ผมลืมพกมา”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์พัก! นี่คือกฎของเมือง!” เจ้าของโรงแรมก้มหน้าลงไปอีกครั้งเพื่อคำนวณรายได้ประจำวัน
ไคลน์หยิบธนบัตรหนึ่งซูลออกมา และผลักไปหาอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ดวงตาเจ้าของโรงแรมพลันเบิกกว้าง
“ไม่ได้! เอามันออกไป! ฉันไม่ต้องการถูกนายอำเภอจับขังคุก! ไสหัวไปซะ! ไอ้คนไม่มีบัตรยืนยันตัวตน!”
ไคลน์ถูกไล่ออกจากโรงแรมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากทำใจเชื่อได้ยากว่า เงินตราซึ่งเคยมีอำนาจเหนือสิ่งใด กลับใช้ไม่ได้ในดินแดนแห่งนี้
ถัดมาไม่กี่วินาที มันหลบเข้าไปในตรอกเปลี่ยวและเปลี่ยนหน้ากลับไปเป็นนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
ไคลน์เดินกลับไปในโรงแรม ตรงไปทางเคาน์เตอร์หลังร้าน และพูดภาษาโลเอ็นสำเนียงเบ็คลันด์
“ห้องพัก”
เจ้าของโรงแรมเงยหน้ามอง ว่างงานทุกอย่างลง รีบลุกขึ้นยืนและหัวเราะแห้งด้วยท่าทีสุดแสนนอบน้อม
“ได้ครับผม ท่านต้องการห้องแบบไหน มองเห็นวิวทะเลหรือว่าเงียบสงบ”
มันพูดภาษาโลเอ็นตะกุกตะกักพร้อมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นโชยหึ่ง ไม่มีการเอ่ยถึงบัตรยืนยันตัวตนอะไรนั่นอีกเลย
ไม่ว่าจะโลกไหนก็เหมือนกันหมด… ไคลน์เหยียดหยัน และตอบเสียงห้วน
“เงียบสงบ”
“ได้ครับท่าน” เจ้าของโรงแรมเน้นย้ำ
ถัดมา มันเรียกพนักงานมาเฝ้าเคาน์เตอร์แทน ส่วนตัวเองเดินนำไคลน์ไปยังชั้นสอง
“ท่านต้องการพักกี่วันครับ ค่าบริการคืนละหนึ่งซูลห้าเพนนี”
“คืนเดียว” ไคลน์เริ่มสะอิดสะเอียนความพินอบพิเทาของอีกฝ่าย เพียงตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์
สำหรับโรงแรมวายุครามของตนและเดนิส ค่าบริการสูงถึงคืนละห้าซูลเลยทีเดียว
โดยไม่ทำให้ผิดหวัง ห้องซึ่งเจ้าของโรงแรมเลือกให้เองทั้งสะอาดและเป็นระเบียบ ไม่มีกลิ่นอับชื้นซึ่งอันเอกลักษณ์ทั่วไปของโรงแรมประจำท่าเรือ ไคลน์กวาดสายตาไปรอบห้องด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ยอดเยี่ยมมาก”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ” เจ้าของโรงแรมเป็นปลื้มกับคำชมเชย
ไคลน์วางกระเป๋าลง ผ่อนคลายตัวเองสักพักก่อนจะเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมจัดการปัญหาปากท้องในช่วงค่ำ
สำหรับชั้นล่างสุด นอกจากบริเวณเคาน์เตอร์ การตกแต่งค่อนข้างไม่เป็นระเบียบ แถมยังมีคราบมันเลื่อมให้เห็นประปราย บริเวณมุมห้องเป็นเตาผิงสีแดงส้ม คอยมอบแสงสว่างและความร้อนแก่ทุกคน
หมู่เกาะรอสต์เยื้องอยู่ทางใต้เล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุดในฤดูหนาวจึงอยู่ราวสิบองศาเซลเซียส แต่สำหรับคนท้องถิ่น เท่านี้ก็นับว่าหนาวเย็นมากแล้ว
ไคลน์สุ่มโต๊ะนั่ง สั่งบาร์บีคิวท้องถิ่นสูตรพิเศษและซุปเห็ดหอม โดยมีอาหารจานหลักเป็นขนมปังมันฝรั่ง
ระหว่างรอ มันกวาดสายตาไปรอบร้านและสะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง
เส้นผมสีดำขลับ มัดรวบและปล่อยลงตามธรรมชาติ ดวงตาสีฟ้าอมเทางดงาม รูปร่างหน้าตาเป็นประเภทใครเห็นก็ไม่รังเกียจ ยิ่งได้มองก็ยิ่งยากจะละสายตา
ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่คนท้องถิ่น โดยเฉพาะการสวมเสื้อเชิ้ตบุรุษและแจ็คเก็ตสีน้ำตาลตัวหนา ข้างฝ่ามือมีหมวกปีกกว้างทรงกลมยุบตรงกลางวางอยู่
การแต่งกายลักษณะนี้พบได้บ่อยในหมู่นักผจญภัย โดยผู้ชายอีกสามคนบนโต๊ะก็แต่งกายคล้ายคลึงกัน ผิวหนังแต่ละคนเผยให้เห็นถึงร่องรอยการถูกสภาพอากาศทำร้าย
ไคลน์ไม่เคยตระหนี่คำชมต่อสาวงาม เพียงแต่ในกรณีนี้ มันให้ความสนใจหญิงสาวปริศนาโดยไม่มีเรื่องรูปร่างหน้าตามาเกี่ยวข้อง
ท้องทะเลมักดูแคลนสตรีเสมอ เนื่องด้วยอิทธิพลจากเทพวายุสลาตัน ดังนั้น หากหญิงสาวคนใดอยู่รอดและถูกยอมรับ จะต้องมีมันสมองเฉลียวฉลาด หรือไม่ก็ต่อสู้เก่งกาจ หรือทั้งสองอย่าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนเป็นตัวอันตรายทั้งสิ้น!
รองเท้าหนังของพวกมันทุกคนมีคราบโคลนใหม่ติดอยู่… เพิ่งกลับจากป่า?
หึหึ สมกับเป็นนักผจญภัย…
ไคลน์วิเคราะห์จากเบาะแสเบื้องต้น
หากนักผจญภัยเหล่านี้เหยียดโคลนมาจากเมืองบายัม ระหว่างการเดินทางด้วยเรือนานห้าชั่วโมง คราบดังกล่าวคงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนถนนในเมืองท่าไซมีมก็แห้งมาก เนื่องจากไม่มีฝนตกมาแล้วสองวัน อย่างมากก็มีเศษฝุ่นประปราย ไคลน์จึงตัดความเป็นไปได้ทั้งสองออกทันที และเหลือคำตอบเพียง พวกมันเพิ่งกลับจากป่าในเขตชานเมืองไซมีม
ไคลน์เคยได้ยินมาบ้าง นักผจญภัยหลายคนจะเลือกเข้าไปสำรวจในป่าลึกของเกาะอาณานิคม เพื่อค้นหาวิหารหรือแท่นบูชาของศาสนาเถื่อนซึ่งถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้รับการดูแลด้วยเหตุผลต่าง ๆ
ตามผับบนเกาะทั่วโลกไม่เคยขาดแคลนตำนานในทำนองดังกล่าว ส่วนใหญ่มักเล่าถึงความโชคดีในชั่วข้ามคืนของกลุ่มนักผจญภัย
แต่จากสัญชาตญาณของเรา บริเวณดังกล่าวน่าจะมีวิญญาณมารเร่ร่อนสถิตอยู่… การล่าโจรสลัดจึงปลอดภัยกว่ามาก นอกเสียจากจะมีข้อมูลของป่าอย่างละเอียด…
ไคลน์เบือนหน้ากลับ และก้มศีรษะจัดการอาหารของตนอย่างเอร็ดอร่อย
ตามคำสอนของเจ็ดโบสถ์หลัก เทพของศาสนานอกรีตจะถูกเรียกว่าวิญญาณมารเสมอ แต่ไคลน์เชื่อว่า มีเทพบางตนเป็นเพียงวิญญาณธรรมชาติไร้พิษภัย
ถัดมาไม่นาน บาร์บีคิวสูตรพิเศษถูกยกมาเสิร์ฟในสภาพหั่นเป็นชิ้นเล็กและเสียบเข้ากับแท่งไม้แหลมยาว ผิวเคลือบด้วยซอสสีน้ำตาลอมแดง กลิ่นหอมเย้ายวน สีสันน่ารับประทาน
หน้าตาคล้าย ‘เคบับ’ จากโลกเก่า… สำหรับอาณาจักรโลเอ็น วัฒนธรรมการกินเนื้อจะค่อนข้างแตกต่าง เป็นการย่างทั้งชิ้นจึงค่อยมาหั่นแบ่งหลังจากย่างเสร็จ… แต่วิธีการทำแบบเคบับจะช่วยให้รสชาติซอสซึมเข้าไปได้ดีกว่า…
ไคลน์หยิบแท่งไม้ขึ้นมากัดหนึ่งคำ สัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำเล็ก ๆ จากเนื้อ และรสหวานติดปลายกลิ่นเค็ม
อร่อย! ชายหนุ่มพยักหน้าพึงพอใจ
ไคลน์ค่อนข้างชอบอาหารมื้อนี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่ม ‘ยางไม้กอลลั่ม’ อันเกิดจากการผสมระหว่างน้ำมะนาว น้ำตาล และนม
เมื่อกลับถึงห้อง ชายหนุ่มเตรียมเข้านอนเร็วกว่าปรกติ เนื่องจากทั้งคืนออกล่าโดยแทบไม่ได้พักผ่อน มันรีบอาบน้ำ ดับเตาผิง และแทรกตัวเข้าไปขดในผ้าห่ม
เมื่อนอนเร็วเกินไป ปัญหาตามมาคือการตื่นขึ้นกลางดึกเพราะปวดฉี่
ไคลน์ตื่นกลางคัน จึงลืมตาขึ้นและพยายามดึงผ้าห่ม
ไซมีมในช่วงกลางดึกจะมีอุณหภูมิราวแปดถึงเก้าองศาเซลเซียส เรียกได้ว่าหนาวจับใจ
นอนไปได้สักพัก ไคลน์เหยียดแขนออกไปคล้ายกับต้องการคว้าบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกจะหดกลับและนอนเงียบ ๆ ตามเดิม
จนกระทั่งมันเริ่มทนไม่ไหว จึงเงยหน้าและเอื้อมแขนหยิบ ‘เข็มกลัดสุริยัน’ บนโต๊ะข้างหัวเตียง
แม้สิ่งนี้จะไม่ได้มอบความร้อนเชิงกายภาพ แต่ก็สามารถหลอกกับตัวเองได้ว่าไม่หนาว
จากนั้น ไคลน์ลุกออกจากเตียงและเดินไปยังห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยของเหลว
มันหรี่ตาลงเมื่อตระหนักว่าท้องน้อยเริ่มเบาสบายกว่าตอนแรก
หลังจากจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มดึงกางเกงขึ้นและเตรียมล้างมือ แต่ทันใดนั้น สัญชาตญาณของมันพลันถูกกระตุ้น
ไคลน์ขมวดคิ้วพลางหันไปมองช่องระบายลมริมผนังห้องน้ำ
ในวินาทีดังกล่าว มันมองเห็นบางสิ่งสีดำ ผิวลื่น กำลังห้อยลงมาจากช่องลม
งูพิษ!
งูพิษกำลังอ้าปากและเผยลิ้นสองแฉก!
ไคลน์พลันสะดุ้ง ก่อนจะส่งเสียงจากปาก
“ปัง!”
งูพิษถูกกระสุนอากาศแยกออกเป็นสองท่อนอย่างเท่าเทียม
เกิดอะไรขึ้น…
ไคลน์ยืนจ้องราวสามวินาที จนแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม จึงเดินออกจากห้องน้ำและหยิบเหรียญทองจากกระเป๋าเสื้อ
……………………