คุณหญิงเคทลินกำลังนั่งบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นคฤหาสน์ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมีรองพ่อบ้าน ผู้ช่วยพ่อบ้าน และคนรับใช้หัวหน้าส่วนงานต่างๆ กำลังนั่งตั้งใจฟัง
สตรีเลอโฉมมาดสง่างามกำลังแจกแจงรายละเอียดพลางมอบคำแนะนำสำหรับงานเลี้ยงรับรองในค่ำคืนนี้ บทสนทนาเป็นไปอย่างไหลลื่นจนกระทั่งบุตรสาว ออเดรย์ เดินมานั่งด้านข้างผู้เป็นมารดา
“ท่านแม่ หนูมีเรื่องจะคุยด้วย” เด็กสาวชำเลืองสายตาไปทางบุคคลอื่นภายในห้อง
ระหว่างมายังห้องนั่งเล่น ออเดรย์สัมผัสถึงแรงกระเพื่อมแผ่วเบา แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดมากไปกว่านั้น
คุณหญิงเคทลินพยักหน้ารับ
“พวกคุณออกไปก่อน”
ห้องนั่งเล่นถูกบรรยากาศเงียบงันครอบงำอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งซูซี่ก็ยังได้รับสัญญาณจากออเดรย์ให้ออกไปก่อน
“เจ้าควรใช้เวลาอยู่กับแม่มากกว่านี้ เพื่อศึกษาหลักการบริหารสิ่งต่างๆ ภายในบ้านอย่างละเอียด จริงอยู่ เจ้าได้รับการศึกษาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่การได้เห็นของจริงย่อมเสริมสร้างให้ทฤษฎีชัดเจนยิ่งขึ้น”
แม้จะมีอายุจริงห้าสิบกว่า แต่คุณหญิงเคทลินกลับมีใบหน้าคล้ายหญิงสาววัยสามสิบตอนต้น เธอกำลังเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางสอนสั่งบุตรสาว
“เอาล่ะ นางฟ้าของแม่ เจ้าต้องการพูดคุยในเรื่องใด”
ออเดรย์พยายามฉีกยิ้มอย่างสง่างามตามคำสอนในคาบเรียนมารยาท แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเผยรอยยิ้มจืดชืดและไม่สบายใจ
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก
“ท่านแม่ หนูปิดบังบางสิ่งจากท่านแม่และท่านพ่อมาตลอด”
“หืม…” คุณหญิงเคทลินเอียงคอ ไม่กล่าวสิ่งใดขณะรอคำอธิบายเพิ่มเติม
คำตอบของออเดรย์ตะกุกตะกักในตอนต้น แต่หลังจากนั้นก็เริ่มลื่นไหลและคล่องแคล่ว
“น…หนูเป็นผู้วิเศษ หมายถึง บุคคลผู้มีพลังพิเศษด้วยการดื่มโอสถ”
คุณหญิงผมทองยกคิ้วเล็กน้อย พลางมอบคำตอบโดยปราศจากอาการตกใจ
“แม่รู้อยู่แล้ว ทั้งพ่อและแม่ทราบมาตลอด”
“เอ๋…?” ออเดรย์อึ้งจนหมดคำพูด
คุณหญิงเคทลินปิดปากหัวเราะในลำคอ
“เจ้านำวัตถุดิบวิเศษออกไปจากคลังสมบัติของตระกูล คิดว่าคนอย่างพ่อเจ้าจะดูไม่ออกเชียวหรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทั้งรอบตัวพ่อเจ้า ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ รวมถึงดินแดนในครอบครองของตระกูลเราทั้งหมด ไม่มีแห่งใดขาดแคลนผู้วิเศษ ส่วนหนึ่งถูกว่าจ้างตามปรกติ ส่วนหนึ่งถูกส่งมาจากโบสถ์รัตติกาล และส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลฮอลล์ ฝ่าบาทเองก็ทราบในเรื่องนี้และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พวกเราจึงไม่ได้ขัดขวางเมื่อเจ้าต้องการลิ้มรสประสบการณ์แปลกใหม่ของโลกเหนือธรรมชาติ… เฮ่อ… สักวันหนึ่ง เจ้าต้องโตขึ้นและกลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อและแม่คงปกป้องเจ้าได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ฉะนั้น ในเมื่ออาจต้องเผชิญหน้ากับอันตราย การมีพลังพิเศษติดตัวไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย จากความรู้ของแม่ ผู้วิเศษในช่วงแรกจะไม่ได้เผชิญอันตรายมากนัก และการเลื่อนลำดับแต่ละครั้งต้องใช้เวลากว่าหนึ่งถึงสองปี พ่อเจ้าจึงมิได้คัดค้าน พวกเราคิดจะรอให้ลูกโตกว่านี้อีกสักหน่อย จึงค่อยกล่าวตักเตือน และห้ามมิให้เลื่อนลำดับไปมากกว่าปัจจุบัน”
ผิดแล้วค่ะแม่ ความรู้ของแม่ล้าสมัยมาก! แม่ยังไม่รู้จักเทคนิคสวมบทบาทดีพอ ถ้าหนูมีวัตถุดิบครบเมื่อ ก็สามารถกลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 7 ได้ก่อนปีใหม่…
และเหนือสิ่งอื่นใด หนูไม่มีแผนจะหยุดพัฒนา ความตายของดยุคนีแกนทำให้หนูเข้าใจว่าโลกมิได้สงบสุขเหมือนกับในจินตนาการสมัยเด็ก พลังคือสิ่งจำเป็นในการปกป้องทุกคนในครอบครัว…
ขณะพลังของมิสเตอร์ฟูลเริ่มฟื้นฟูกลับมาทีละนิด เทพมารจำนวนมากพยายามแบ่งร่างลงมาจุติและสร้างความเสียหายบนโลกมนุษย์ แม้ว่าเราจะยังไม่โต และยังขาดประสบการณ์ชีวิตค่อนข้างมาก แต่เราก็สัมผัสถึงอันตรายแอบแฝงจากเรื่องเหล่านี้ได้…
ออเดรย์รู้อยู่แก่ใจว่า ตนไม่มีวันปกปิดเรื่องการแอบหยิบวัตถุดิบวิเศษออกจากคลังสมบัติตระกูลได้ตลอด แต่เธอคิดว่าอย่างน้อย พ่อและแม่คงมองเป็นเพียงการขโมยไปเพราะอยากรู้อยากเห็น มิใช่กลายเป็นผู้วิเศษ
ไม่อยากจะเชื่อ… ฟู่ว!
หลังจากยกภูเขาออกจากอก เด็กสาวกล่าวต่อไปโดยไม่สนใจคำเตือนของมารดา
“ท่านแม่ หนูได้เข้าร่วมองค์กรลับแห่งหนึ่ง เป็นองค์กรเชิงวิชาการและมิได้บูชาเทพมาร แต่หนูสาบานไว้ว่าจะไม่เปิดเผยชื่อขององค์กรให้ใครทราบ ได้โปรดอภัยในเรื่องนี้ด้วย”
โดยไม่รอให้มารดาซักถาม เด็กสาวรีบเล่าเข้าประเด็น
“วันนี้หนูเพิ่งได้รับแจ้งข่าวด่วน หญิงสาวสามัญชนซึ่งองค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรัก ความจริงแล้วคือแม่มด แต่ยังไม่มีใครทราบเจตนาแท้จริงของหล่อน”
ทั้งสองประโยคของออเดรย์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย ประโยคแรกหมายถึงสมาคมแปรจิต ส่วนประโยคหลังหมายถึงชุมนุมทาโรต์และมิสเตอร์ฟูล
ด้วยการจัดเรียงคำพูดในลักษณะเมื่อครู่ ทำให้ทุกคำกล่าวของเธอล้วนเป็นความจริง หากถูกทำนายตรวจสอบก็จะไม่พบการโกหกเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้คนฟังคล้อยตามไปเองว่า องค์กรลับนิรนามผู้แจ้งข่าวด่วนคือสมาคมแปรจิต
รอยยิ้มบนใบหน้าเคทลินเริ่มซีดจาง
“แม่มด…?”
เธออาจไม่สันทัดข้อมูลของโลกเหนือธรรมชาติมากนัก แต่วลีดังกล่าวได้มอบกลิ่นอายความชั่วร้ายเข้มข้น
ออเดรย์รีบพยักหน้า
“ใช่ค่ะ แม่มดสุขสม และเรื่องน่าตกใจกว่านั้นคือ เธอมีนามว่า ทริสซี่·ชีค”
“น่าตกใจอย่างไร” มารดาซักถาม
“สมาชิกขององค์กรเคยอ่านพบชื่อชีคภายในหนังสือโบราณ” ออเดรย์กุเรื่องอย่างชำนาญ ไม่ว่าจะแววตาหรือภาษากายล้วนสมบูรณ์แบบ “ในยุคสมัยที่สี่หรือนานกว่านั้น ชีคคือชื่อของแม่มดบรรพกาล”
เด็กสาวรีบเสริมต่อ
“หล่อนคือเทพธิดามาร!”
คุณหญิงเคทลินอาจไม่ทราบความหมายของแม่มดบรรพกาล แต่เธอไม่มีทางไม่ทราบความหมายของเทพธิดามาร
ผู้เป็นแม่นั่งไม่ติดเบาะ ตามด้วยการซักถามอย่างกระวนกระวาย
“เจ้ามั่นใจไหม…”
“…ไม่ค่อยค่ะ” ออเดรย์มิได้เคลือบแคลงในตัวมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่ การกล่าวออกไปอย่างมั่นใจคงไม่เหมาะสมสักเท่าไร
“ถึงกระนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่หนูคิดว่าการติดต่อกับราชวงศ์… ไม่สิ ติดต่อกับหน่วยพิเศษของโบสถ์รัตติกาลและให้พวกเขาช่วยยืนยันข้อมูล ก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก เพราะถ้าอีกฝ่ายคือเทพธิดามารจริง สถานการณ์จะได้ถูกแก้ไขอย่างทันท่วงที”
เคทลินเงยหน้ามองบุตรสาวอย่างประหลาดใจ
“…ออเดรย์ ลูกโตขึ้นมาก”
ถ้าไม่เพราะนี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ออเดรย์คงแสร้งทำหน้าขรึมและรีบกลับไปดีใจกระโดดโลดเต้นภายในห้องตัวเองแล้ว
แต่ปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้น เธอหาได้ใส่ใจกับคำชมเชย บนใบหน้าปรากฏเพียงความกังวลใจ
“ท่านแม่ ช่วยปิดเรื่องของหนูไว้เป็นความลับได้ไหมคะ ได้ยินมาว่า หน่วยพิเศษของทางโบสถ์และราชวงศ์ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้วิเศษนอกองค์กรพวกเขาสักเท่าไร… ให้บอกว่าเป็นข่าวจากท่านพ่อก็ได้ ท่านพ่อคงมีเครือข่ายข้อมูลในมือไม่น้อย”
เคทลินลุกขึ้นยืนพลางเดินเข้ามาสวมกอดบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกังวล พ่อกับแม่จะไม่นำลูกไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน พ่อของเจ้ายังไม่กลับจนกว่าจะเย็น แต่ไม่ต้องกังวล แม่จะให้องครักษ์เงาปรากฏตัว คนอื่นจะได้เข้าใจว่าเขาคาบข่าวมารายงาน จากนั้น แม่จะนำข้อมูลไปบอกกับโบสถ์รัตติกาล และให้พวกเขาส่งคนมาคุ้มครองครอบครัวเราทันที”
“ตกลงค่ะ!” ออเดรย์ฉีกยิ้มกว้าง
เด็กสาวพลันรู้สึกผ่อนคลาย ความกังวลใจหลายเรื่องซึ่งเคยค้างคามานาน ได้ถูกสะสางจนหมดในคราวเดียว
…
ขณะกำลังแหงนมองท้องฟ้าและเห็นกลุ่มอุกกาบาตกำลังกระจายตัวปกคลุมท้องฟ้าเหนือแนวป่าอย่างสมบูรณ์ ไคลน์เกิดความท้อแท้สิ้นหวังเหนือพรรณนา
ถึงจะใช้กระโจนเพลิงจนหมด แต่ก็ไม่มีทางหนีพ้นเขตป่าได้ทัน ไม่แคล้วตกเป็นเหยื่อของฝนอุกกาบาตอยู่ดี และร่างกายแสนอ่อนแอของนักทำนาย ก็ไม่ช่วยให้ทนทานต่อการพุ่งถล่มของอุกกาบาต
เรามั่นใจ ต่อให้เป็นโอสถซอมบี้ผู้ขึ้นชื่อด้านความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ก็คงกลายสภาพเป็นก้อนเนื้อบดถ้าต้องรับแรงกระแทกจากก้อนหินไฟระยำบนท้องฟ้าอย่างจัง…
กระโจนไฟ… จริงสิ…!
ทันใดนั้น ขณะเหลือบเห็นเปลวเพลิงสีเหลืองอมส้มอันโชติช่วงด้านบน ชายหนุ่มพลันเกิดแนวคิดบางอย่างทันที
ท่ามกลางสถานการณ์ซึ่งความเป็นความตายถูกตัดสินด้วยเสี้ยววินาที ไคลน์รีบลงมือโดยไม่มัวไตร่ตรองให้มากความ
เป๊าะ!
หลังจากคำนวณระยะทาง มันดีดนิ้วเพื่อจุดก้านไม้ไฟซึ่งยังเหลือในช่องกระเป๋าลับ
แสงสีแดงอมส้มลุกไหม้คลอกร่างสักพักก่อนจะเลือนหายไป
ไคลน์ปรากฏตัวอีกครั้งบนเปลวไฟเหนือก้อนอุกกาบาตบนท้องฟ้า
ฟ้าววววว!
ขณะลูกอุกกาบาตกำลังพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง ไคลน์โผล่ออกในจุดเหนือขึ้นไปจากก้อนอุกกาบาตเล็กน้อย แต่ยังคงสัมผัสถึงความร้อนในปริมาณแสนสาหัส
พลังกระโจนไฟอาจช่วยให้ชายหนุ่มทนความร้อนได้ในชั่วเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเดินออกจากเปลวไฟปลายทาง ความสามารถในการทนไฟก็จะสูญหายไปด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ต้องใช้ ‘ควบคุมไฟ’ เพื่อลดอุณหภูมิอุกกาบาตลง ร่างกายของตนจะได้ไม่ถูกคลอกจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
และเหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์ไม่สามารถกระโดดหลบไปในอากาศได้ถ้าปราศจากกองไฟรอบตัว
เป๊าะ!
ชายหนุ่มดีดนิ้วอีกครั้ง อากาศอันร้อนระอุในระยะสายตาพลันเกิดเป็นประกายไฟลุกโชน
มันรีบหนีไปบนท้องฟ้าด้วยเปลวเพลิงลูกแล้วลูกเล่า หวังรักษาชีวิตให้รอดจากการแรงระเบิดอันเกิดจากอุกกาบาตปะทะพื้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะกระโจนไฟสักกี่ครั้งหรือลองเสี่ยงชีวิตสักกี่หน แต่การหนีให้พ้นจากอันตรายก็ยังไม่ใกล้ความจริงสักเท่าไร
ไคลน์มีสองทางให้เลือก หนึ่ง หนีลงพื้นและพยายามวิ่งเอาตัวรอดสุดชีวิต เตรียมรับแรงปะทะชุดแรกซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออุกกาบาตกระทบพื้น หรือสอง กระโดดลอยไปมาในอากาศโดยเอาตัวรอดจากแรงปะทะ แต่จะถูก ‘เมฆเห็ด’ สีขาวกลืนกินร่างกายแทน
ณ กลางอากาศ ขณะไคลน์กำลังชั่งใจ ภาพการมองเห็นของมันพลันแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ทุกเฉดเริ่มสีเข้มข้นและฉูดฉาดคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมัน สีแดงยิ่งแดงสว่าง สีเหลืองยิ่งคมชัด และสีขาวยิ่งสว่างเจิดจ้า
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่า ภาพการมองเห็นรอบตัวอันคล้ายกับ ‘ภาพสีน้ำมัน’ นั้นมิใช่โลกแห่งความจริง ไคลน์ก้มมองลงไปเบื้องล่างและพบว่า ฝนอุกกาบาตระลอกแรกได้กระทบพื้นจนเกิดคลื่นกระเพื่อมทุกทิศทาง เมฆทรงเห็ดสีขาวปนเทาพลันพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าในปริมาณเข้มข้น
แต่ทุกสิ่งมิได้ส่งผลกระทบต่อไคลน์แม้แต่น้อย ราวกับมิติ ‘ภาพวาดสีน้ำมัน’ ถูกแยกออกจากโลกปรกติโดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มทำหน้างุนงงสักพัก ก่อนจะมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนไม่ห่างจากตน
ผิวทองแดง สูงปานกลาง รูปร่างสันทัด สวมสูทยาวสีดำเกือบถึงเข่า หมวกทรงกึ่งสูง ดวงตาลุ่มลึกกร้านโลก ใบหน้าอบอุ่น และไฝสีดำเม็ดเล็กตรงติ่งหูขวา
“มิสเตอร์อะซิก!”
ไคลน์โพล่งด้วยสีหน้าปีติยินดี
ขณะเดียวกันก็เข้าใจทันทีว่า นิมิตความฝันเกี่ยวกับมิสเตอร์อะซิกเมื่อหลายเดือนก่อนหมายถึงสิ่งใด
มันหมายถึงวินาทีนี้!
ท่ามกลางทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ ไคลน์ถูกมิสเตอร์อะซิกดึงแขนขึ้น จึงรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด ฉากนี้สามารถแปลความหมายได้ว่า ตนจะถูกช่วยชีวิตไว้โดยมิสเตอร์อะซิก!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงยินดีของชายหนุ่ม อะซิกโบกมือทักทายพอเป็นพิธีพร้อมกับยื่นมืออีกข้างจับแขนไคลน์แน่น จากนั้น คนทั้งสองเริ่มท่องไปในโลกพิสดารอันเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด
…
ปากกาขนนกแสนธรรมดากำลังอยู่ในสภาพแน่นิ่ง ผิวกระดาษซีดจางลงเล็กน้อย
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมและตาบอดหนึ่งข้าง พลางก้มหน้าขีดเขียนบางสิ่งอย่างรวดเร็วประหนึ่งถูกเข้าสิง
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความทรงจำและพลังของอะซิก·อายเกสยังฟื้นฟูกลับคืนมาไม่หมด ขณะเขาเดินทางผ่านโลกวิญญาณ อันตรายไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ส่งผลให้เขากับนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้หลงทางท่ามกลางโลกวิญญาณ จนกระทั่งโผล่ออกมาเผชิญหน้ากับอินซ์·แซงวิลล์และพวกพ้อง”
……………………