ด้วยพิธีกรรมรับมอบ ไคลน์ส่งเงินสองพันห้าร้อยปอนด์และหน้ากากสีทองของแฮงแมนให้มิสจัสติส ปิดท้ายด้วยการให้เดอะเวิร์ลฝากข้อความเร่งปิดการซื้อขายไปถึงเด็กสาว
เราใช้เงินไปเกือบห้าพันปอนด์ภายในสองสัปดาห์…หากยังอยู่ทิงเก็นกับครอบครัว คงได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติเหมือนกับครอบครัวมาดามสตาร์ลิ่งข้างบ้าน…
โจรขึ้นบ้านสิบครั้ง ยังไม่วอดวายเท่ากับปรุงโอสถครั้งเดียว…
ไคลน์มองไปยังพื้นสายหมอกสีเทาและพระราชวังบรรยากาศเงียบสงบรอบตัว อารมณ์ปัจจุบันค่อนไปทางหงุดหงิดคล้ายกับเพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต
ชายหนุ่มนั่งนิ่งหลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง สำหรับเงินแปดร้อยสามสิบปอนด์สุดท้าย มันหยิบธนบัตรห้าซูลจำนวนหกใบเก็บใส่กระเป๋าสตางค์แบนฟีบ ส่วนอีกแปดร้อยปอนด์ ไคลน์แบ่งออกเป็นสองปึกอย่างละครึ่ง เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสองข้างซ้ายขวา
หลังจากนั้น ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักและหยิบเส้นผมนากาทะเลลึกสองเส้นซึ่งเพิ่งนำลงมาจากห้องมินิเหนือสายหมอก ใส่กระดาษห่อหลายชั้นและยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่ซ้ำกัน
เมื่อจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ไคลน์เดินออกจากบ้านโดยอาศัยแสงเทียนริมถนนนำทาง ก่อนจะเดินหักเลี้ยวตรงหัวมุมและขึ้นรถม้าต่อไปยังผับวีรบุรุษในเขตสะพานเบ็คลันด์
ท่ามกลางบรรยากาศอบอ้าวและเสียงอึกทึกครึกโครม ไคลน์นั่งละเมียดละไมเบียร์นันวีลล์จนหมดไปหนึ่งแก้ว จึงค่อยเดินกลับออกจากผับโดยผ่านเวทีมวยสุดแสนวุ่นวาย
ขณะรถม้ากำลังแล่นโดยมีเสียงล้อไม้บดกับถนนเป็นฉากหลัง ชายหนุ่มจงใจหลับตาลงและปล่อยตัวตามสบาย จนกระทั่งเสียงเคาะกระจกดังแว่ว
มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบมาดามชารอนกำลังนั่งบนเบาะฝั่งตรงข้ามด้วยกิริยามารยาทสง่างาม
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม ไคลน์ชิงเปิดประเด็นสนทนา
“ผมนำข้อมูลของคุณในคราวก่อนไปขายต่อได้ในราคาสูงมาก ผมหมายถึงเบาะแสของสุสานอามุนด์”
ชารอนทำเพียงนั่งจ้องโดยไม่ปริปาก
ชายหนุ่มวางไม้ค้ำพร้อมกับหยิบธนบัตรสองปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ท จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างล้วงหยิบห่อกระดาษ
“แปดร้อยปอนด์ถ้วน รวมถึงเส้นผมนากาทะเลลึกสองเส้น รวมทั้งหมดเป็นหนึ่งพันปอนด์ถ้วน นี่คือส่วนแบ่งของคุณ” ไคลน์เผยรอยยิ้มขณะยื่นปึกธนบัตรและห่อกระดาษไปอีกหาอีกฝ่าย
ชารอนก้มชำเลืองสักครู่ จึงค่อยเหยียดแขนข้างหนึ่งออกไปหามือไคลน์
เมื่อดึงมือกลับมา เธอก้มหน้าสำรวจส่วนแบ่งพลางตั้งคำถามด้วยเสียงล่องลอย
“คุณขายได้เท่าไร”
“สองพันปอนด์ หารกันคนละครึ่ง” ไคลน์มอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม
หมายความว่า ถ้าจิตแห่งจักรกลตระหนี่จ่ายแค่หนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ ส่วนแบ่งของคุณก็จะลดลงไปด้วย… มันเสริมในใจ
เพียงชารอนตวัดฝ่ามือสีขาวซีดแผ่วเบา ทั้งเงินและห่อกระดาษพลันอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
เธอเงยหน้าจ้องไคลน์พลางผงกศีรษะรับเป็นเชิงขอบคุณ ตามด้วยคำถาม
“ข้างในสุสานมีอะไร?”
“ผมไม่ทราบ ไม่ได้เข้าไป” ไคลน์ไม่คิดเปิดเผยข้อมูลซึ่งตนได้ทราบมาจากกระจกวิเศษอาโรเดส
ทันใดนั้น มันจินตนาการว่า หากตนตัดสินใจเล่ารายละเอียดออกไป มาดามชารอนคงนั่งฟังโดยใช้มือข้างหนึ่งจับแก้มเฉกเช่นทุกครั้ง
วิญญาณอาฆาตสาวคนนี้คงมีงานอดิเรกเป็นการนั่งฟังเรื่องซุบซิบนินทาอย่างเงียบงัน… ไคลน์ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง
ชารอนไม่เปลี่ยนสีหน้า ทำเพียงครุ่นคิดสองถึงสามวินาทีและเล่าต่อ
“ใครบางคนกำลังขุดอุโมงค์ไปยังซากอาคารใต้ดิน”
“หือ..?” ไคลน์ตามบทสนทนาของชารอนไม่ทันในตอนแรก
แต่เพียงไม่นานก็เริ่มตระหนักว่าซากอาคารใต้ดินในความหมายของเธอคือสิ่งใด
สำหรับไคลน์และหล่อน ทั้งสองแบ่งปันความลับเกี่ยวกับซากปรักหักพังเพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคืออาคารลึกลับซึ่งสงสัยว่าจะเป็นของราชวงศ์ทูดอร์มาก่อน
ใครบางคนพยายามขุดอุโมงค์เพื่อไปให้ถึงอาคารดังกล่าว?
ชายหนุ่มก้มหน้าตรึกตรอง ก่อนจะฉุกคิดบางสิ่งได้
“ฝีมือบาโรเน็ตคนนั้น?”
ไคลน์ลืมแม้กระทั่งชื่อทายาทรุ่นปัจจุบันของราชวงศ์ทูดอร์ จำได้เพียงว่า อีกฝ่ายถูกริบบรรดาศักดิ์จนเหลือแค่บาโรเน็ตและพักอาศัยบนถนนซิลวารัสติดกับสถานีตำรวจนครบาล
“ถูกต้อง” ชารอนตอบห้วน
“เขากำลังมองหาอะไร? ไม่รู้หรือว่าด้านในมีวิญญาณมารทรงพลังถูกผนึกอยู่ ไม่รู้หรือว่าบรรพบุรุษของตนเข้าไปตายมาแล้วกี่รุ่น?”
ไคลน์รัวยิงคำถาม
ชารอนขยับท่านั่งเล็กน้อยพร้อมกับตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันก็ไม่ทราบ ว่าเขาทราบหรือไม่”
“…อีกนานแค่ไหนกว่าขุดถึง” ไคลน์ซักถามหลังจากพยายามไตร่ตรองหาคำตอบ
“คงราวสองถึงสามเดือน การขุดคนเดียวไม่น่าจะเร็วไปกว่านี้” ชารอนคาดคะเน
ฟู่ว! ไคลน์ถอนหายใจ
“ยังไม่จำเป็นต้องรีบ รอให้ผมพร้อมก่อน พวกเราค่อยไป ‘เยี่ยม’ เขาพร้อมกัน”
มันอธิบายต่อ
“คุณคงทราบอยู่ก่อนแล้ว ผมจำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อความไม่ประมาท”
เราจะไม่เสี่ยงอันตรายใดจนกว่าจะกลายเป็นผู้ไร้หน้าเด็ดขาด! มันเตือนสติตัวเอง
“ตกลง” ชารอนไม่ไต่ถามว่าไคลน์จะเตรียมตัวในเรื่องดี ทำเพียงเลือนหายไปจากห้องโดยสารรถม้าราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
ไคลน์เอนหลังพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย
วัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถถูกเตรียมไว้ครบหมดแล้ว รอแค่ส่วนผสมสำคัญ ‘เดลิเวอรี’ มาถึงถือเรา… หนี้สินก็ถูกสะสางแล้วเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดให้ค้างคาใจ…
อารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าเริ่มมลายหายเป็นปลิดทิ้ง มันโดยสารรถม้าด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งจนกระทั่งถึงบ้าน
ปัญหาเดียวในตอนนี้คือ…ไคลน์ล้วงจับกระเป๋าสตางค์ฟีบแบนในเสื้อโค้ท
มันเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยพลางพึมพำอย่างห่อเหี่ยว
“เหลือเงินเก็บแค่สามสิบปอนด์…กับอีกห้าเหรียญทองปอนด์และเศษเหรียญ…”
…
พฤหัสช่วงบ่าย
ออเดรย์·ฮอลล์กำลังนั่งรอครูสอนพิเศษ มาดามเอสลันด์ อยู่ในห้องอ่านหนังสือ
เมื่อได้รับคำตอบจากแฮงแมนและเดอะเวิร์ล เด็กสาวรีบส่งจดหมายหาเอสลันด์ทันที
ใจความในจดหมายไม่มีพิรุธ ออเดรย์เพียงแจ้งว่าเธอต้องการให้คาบเรียนจิตวิทยาของสัปดาห์นี้เลื่อนมาเป็นวันพฤหัส
แต่ในความเป็นจริง เด็กสาวได้นัดแนะกับอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หากตนเขียนแสดงความประสงค์เช่นนี้ออกไป แปลว่าอีกฝ่ายตอบรับข้อเสนอของสินค้า
ติ๊ก. ต่อก.
เข็มยาวของนาฬิกาแขวนบนผนังหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งครูสอนพิเศษวิชาจิตวิทยาผู้มีผมยาวถึงสะโพก เอสลันด์ เดินผ่านกรอบประตูเข้ามาในห้องอ่านหนังสือพร้อมกับอุปกรณ์การสอนจำนวนหนึ่ง
ออเดรย์ส่งสัญญาณบอกซูซีทางสายตา สุนัขขนทองตัวใหญ่รีบเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะนอนหมอบหน้าประตูพลางเฝ้ามองเหตุการณ์รอบตัวจากมุมมืดของคฤหาสน์
เอสลันด์ใช้มือปิดประตูตามหลังและเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะกลมสีขาวตัวเล็ก พลางวางอุปกรณ์การสอนลง
“พวกเขาจ่ายด้วยเงินสดหรือสมบัติวิเศษคะ?” หญิงสาวบีบเสียงกระซิบ
“คนหนึ่งจ่ายสองพันห้าร้อยปอนด์ ส่วนอีกคนเสนอสมบัติวิเศษแลกเปลี่ยน” ออเดรย์หยิบกล่องกระดาษแข็งออกจากกระเป๋าถือสีส้มด้วยท่าทีไม่ได้ระมัดระวังอะไรนัก ด้านนอกกล่องมีกำแพงวิญญาณผนึกอยู่อย่างชัดเจน
หลังจากสลายกำแพงวิญญาณ เด็กสาวเปิดฝากล่องและหยิบหน้ากากสีทองลักษณะหยาบออกมาถือ
จากนั้นก็อธิบายคุณสมบัติอย่างละเอียด
ด้วยความสัตย์จริง ออเดรย์อยากทดสอบใช้งานหน้ากากสักครั้งเนื่องจากเป็นการสัมผัสสมบัติวิเศษครั้งแรก อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเกินห้ามใจ แต่สุดท้ายก็ต้องข่มความรู้สึกและปล่อยผ่านไป ออเดรย์ยังไม่อยากกลายเป็นคนเย็นชา
“มูลค่าใกล้เคียงกัน…” เอสลันด์ถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอก
ผ่านไปสองวินาที ครูสอนพิเศษสาวหยิบหนังสือเล่มหนาสุดเปิดไปยังหน้าสี่สิบแปด
เนื้อกระดาษด้านในถูกคว้านเป็นร่องลึกทรงสี่เหลี่ยม บรรจุกล่องโลหะขนาดเท่าฝ่ามือและม้วนกระดาษหนึ่งแผ่น
“ตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์… สูตรโอสถผู้รับใช้วายุ…” เอสลันด์แนะนำสินค้าในมือทีละชื้น
เพียงออเดรย์ชำเลืองวัตถุลักษณะคล้ายเพชรซึ่งมีใบหน้าจำนวนมากซ้อนทับ ศีรษะของเด็กสาวพลันวิงเวียนรุนแรง
นี่มัน… สามารถสะกดพลังของผู้ชมได้… เป็นวัตถุดิบหลักของเส้นทางมิสเตอร์เวิร์ล? นึกแล้วเชียวว่าทำไมเราถึงไม่เคยอ่านอารมณ์ของเขาได้เลย…
ออเดรย์เบือนหน้ามาทางสูตรโอสถ
ลำดับ 6 : ผู้รับใช้วายุ
วัตถุดิบหลัก :
– ผลึกขนเหยี่ยวเงาฟ้าหกเส้น
– ดวงตาอินทรีทะเลตามังกรหนึ่งคู่…
โดยไม่ปล่อยให้เด็กสาวอ่านจบ เอสลันด์ชิงม้วนสูตรโอสถกลับสู่สภาพเดิม
จากนั้น เธอเก็บสินค้าใส่กล่องโลหะใบเดิมและยัดกลับคืนโพรงช่องว่าง ก่อนจะผลักมาทางเด็กสาวหลังจากผนึกกำแพงวิญญาณเสร็จเรียบร้อย
ออเดรย์หยิบหนังสือขึ้นมาถือ แต่ยังไม่จ่ายเงินสองพันห้าร้อยปอนด์หรือมอบหน้ากากสีทองให้อีกฝ่าย
เมื่อเห็นเอสลันด์แสดงสีหน้าประหลาดใจ เด็กสาวอธิบายอย่างใจเย็นคล้ายกับเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า
“พวกเขากังวลเกี่ยวกับความถูกต้องของตะกอนพลังและสูตรโอสถ จึงต้องการยืนยันให้แน่ใจก่อนแลกเปลี่ยน ขอรับประกันว่า สินค้าของทุกฝ่ายจะอยู่ในมือดิฉัน ไม่มีใครโกงใครได้แน่นอน หวังว่าทางคุณจะมองว่าดิฉันมีความน่าเชื่อถือมากเพียงพอ กับเงินจำนวนแค่นี้ ดิฉันไม่ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองมัวหมองแน่นอนค่ะ”
“ทางเราเข้าใจความกังวล” เอสลันด์เว้นวรรคเล็กน้อย “และทางเราก็เชื่อใจคุณ”
ในเมื่อเงินและสมบัติวิเศษกำลังอยู่ในมือ ‘พวกเดียวกัน’ เอสลันด์จึงไม่กังวลว่าตนจะถูกโกง ตรงกันข้าม เธอกำลังโล่งใจ
คุณหนูออเดรย์ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมาก ไม่มีใครเป็นคนกลางได้ดีกว่าเธออีกแล้ว…
เอสลันด์ถอนหายใจยาว
…
ท่ามกลางพระราชวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทากว้างไกลไร้ก้นบึ้ง
ไคลน์ถือลูกตุ้มวิญญาณด้วยมือซ้ายพลางนำไปจ่อเหนือม้วนกระดาษหนังเขียนสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ
มันไม่ต้องการให้ชุมนุมทาโรต์สูญเสียสมาชิกทรงพลังอันดับหนึ่ง มิสเตอร์แฮงแมน ไปกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เมื่อลืมตาขึ้นและพบว่าจี้บุษราคัมกำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา ชายหนุ่มทำสีหน้าโล่งอกพร้อมกับถ่ายทอดความคิดเข้าไปในดาวแดงตัวแทนแฮงแมน
…
นครแห่งการให้
วิวทิวทัศน์รอบตัวอัลเจอร์พลันกลายเป็นสายหมอกสีเทา ตามด้วยเสียงสุขุมและกังวานของเดอะฟูลดังจากระยะไกล
“มิสจัสติสจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ทันใดนั้น ภาพมายาของแผ่นกระดาษหนังได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าอัลเจอร์ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ
หากสูตรโอสถผ่านมือมิสเตอร์ฟูลโดยตรง มันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกขายของปลอม อัลเจอร์รีบโค้งศีรษะคำนับและกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม
เมื่อภาพมายาทั้งหมดเลือนหาย ชายหนุ่มรีบหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาจดสูตร
ไม่กี่นาทีถัดมา มันเดินวนเวียนไปมาในห้องด้วยสีหน้าตื่นเต้น ปากขยับพึมพำ
“เหยี่ยวเงาฟ้า…บนเกาะแห่งนั้นมี…”
…
หลังจากจัดการธุระให้แฮงแมนเสร็จ ไคลน์มีเวลาสำรวจตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ของตัวเองเสียที
เมื่อยืนยันว่าเป็นของจริง ชายหนุ่มเอนกายพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าสุดเคลิบเคลิ้ม
จบสักที…
สามวินาทีถัดมา มันลุกพรวดพร้อมกับวางแผนเตรียมปรุงโอสถผู้ไร้หน้าในคืนนี้ทันที!
จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าแม้แต่วินาทีเดียวไม่ได้เด็ดขาด!
……………………