Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1072 : เสียงเพรียกจากหลังประตู

“เนื้อหาของภาพจิตรกรรมเหล่านี้… คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลกความจริง…”

ไม่ว่าจะไคลน์หรือเลียวนาร์ด ทั้งคู่ต่างทวนคำถามของมิสจัสติสภายในใจ

ลำพังเรื่องที่ภาพจิตรกรรมฝั่งขวาเป็นตัวกำหนดเรื่องราวของโลกในหนังสือก็นับว่าน่าทึ่งมากพอแล้ว แต่เมื่อเริ่มตระหนักว่าภาพจิตรกรรมฝั่งซ้ายอาจเป็นตัวกำหนดเรื่องราวของโลกความเช่น ภายในใจทุกคนเริ่มเกิดแรงกระเพื่อมหนักหน่วง

การที่ภาพวาดจากอดีตมีพลังในการกำหนดอนาคตของโลกความจริง ไม่ใช่แค่ในโลกมายา มีเพียงเทพเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้!

“นั่นก็… ไม่ได้เกินจริงไปเสียทีเดียว… ใช่ไหมล่ะ” เลียวนาร์ดพึมพำเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกยากจะทำใจเชื่อ

ในทางกลับกัน ไคลน์เริ่มวิเคราะห์ตามนิสัย

“ถึงแม้จะเป็น 0-08 แต่ขอบเขตการแสดงผลก็ถูกจำกัดแค่เมืองใหญ่เท่านั้น และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเอาชนะขีดจำกัดนี้ หมายความว่าลำดับ 1 นักประพันธ์เองก็คงไม่ต่างกัน… และในเมื่อ ‘เอกลักษณ์’ ของ ‘นักสร้างฝัน’ อยู่ในมือของอาดัมเรียบร้อยแล้ว… เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดแห่งนี้จะใช้หลักการใดในการเปลี่ยนให้โลกความจริงตรงตามภาพวาด? พลังเทพของมังกรจินตภาพจากอดีต? กำลังจะบอกว่าในตอนที่หนังสือเล่มนี้ถูกสร้างขึ้น เนื้อหาภายในภาพวาดได้สร้าง ‘ตราประทับ’ ลงในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของโลกความจริงและแผ่ขยายออกไปทุกทิศ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าทำตามภาพวาดโดยไม่รู้ตัว? แต่ถ้ากลไกการทำงานเป็นแบบนั้น การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังลงไปใหม่ก็จะไม่เกิดผลใด เพราะมังกรจินตภาพร่วงหล่นไปนานแล้วและไม่สามารถสร้างพลังเทพขึ้นมาใหม่ได้… พวกเราสามารถทดสอบเรื่องนี้ได้โดยการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นมาใหม่และดูว่ามันจะเกิดขึ้นบนโลกความจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็แปลว่าที่นี่คือเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดซึ่งเต็มไปด้วยความลับ และนั่นยังหมายความว่าพลังของเส้นทางผู้ชมลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่เราติด”

“นักประพันธ์? มีโอสถชื่อแบบนั้นด้วยหรือ?” เมื่อได้คิดความคิดไคลน์ เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะรำพัน

เมื่อเทียบกับชื่อมังกรจินตภาพที่สามารถอนุมานไปถึง ‘นักสร้างฝัน’ โอสถที่ชื่อ ‘นักประพันธ์’ ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า เพราะมันมอบความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งจินตนาการได้ดีกว่า

ออเดรย์ที่ทราบชื่อโอสถลำดับสูงของเส้นทางอยู่ก่อนแล้วไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ เพียงตั้งสมาธิกับเรื่องอื่น

“เอกลักษณ์… มิสเตอร์เวิร์ลสามารถเชื่อมโยงข้อมูลมากมายได้ในพริบตา สุดยอด! อึก… เราชมเขาตรงเกินไปไหม? มิสเตอร์เวิร์ลได้ยินทุกเรื่องที่เราคิด… อุก… ทำตัวให้ชินกับโถงนี่ไม่ได้สักที… ไม่ใช่นะ มิสเตอร์เวิร์ล ดิฉันกำลังชมเชยคุณจริงๆ! หมายความแบบนั้นจริงๆ!”

ออเดรย์เขินอายในตอนต้น ก่อนจะปรับอารมณ์ด้วยพลังของเส้นทางและกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง

“…อย่างที่คิด นักจิตบำบัดสงบจิตใจได้เร็วมาก” ไคลน์ผุดความคิดเสียงดัง

“มิสเตอร์เวิร์ลมิได้เย็นชาเหมือนตาเห็นสินะ เขาเป็นพวกที่ชอบเก็บทุกเรื่องไปพูดกับตัวเองในใจ… อุก… ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น!” ขณะออเดรย์คิดเรื่อยเปื่อยตามสัญชาตญาณ เธอรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

ขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งดังขึ้นรอบตัวเลียวนาร์ด

“ไคลน์ปลอมตัวเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ไม่เลว ทุกคนเชื่อสนิทใจว่าเขาเป็นคนเย็นชาและเสียสติ หึหึ… ใครจะไปคิดว่าที่จริงแล้ว…”

เพียงเลียวนาร์ดเริ่มปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ

“เงียบน่า!”

เลียวนาร์ดสำรวจเสื้อผ้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์หัวจรดเท้าพร้อมกับผายมือและกลั้นขำ

“ดูแต่งตัวเข้าสิ ไม่เห็นเย็นชาตรงไหนเลย ว่าไหม?”

“อยากให้เย็นชานักใช่ไหม ฉันจะกดไม้กางเขนเจิดจรัสลงบนหัวนายและสกัดตะกอนพลังออกมา! ในเมื่อนายไม่ต้องการตะกอนพลังแล้ว ฉันจะเอาไปบริจาคให้คนที่ต้องการจริงๆ!” เมื่อไม่มีการเข้าฌานช่วยสงบจิต ไคลน์เริ่มตอบสนองตามสัญชาตญาณมากขึ้นเรื่อยๆ

“…” ออเดรย์มองสลับไปมาระหว่างเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์พร้อมกับส่งเสียงภายใน “พวกเขาสนิทกันกว่าที่คิด… เราพอจะเดาเรื่องนี้ได้จากท่าทีของมิสเตอร์สตาร์ แต่กับมิสเตอร์เวิร์ลนั้นยากจะอ่านอารมณ์… อึก… แจน… บอส… มินนี่…”

ในช่วงเวลาแบบนี้ ออเดรย์เลือกวิธีท่องชื่ออื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อสงบสติ

“ชื่อของใคร?” เลียวนาร์ดถามอย่างสนใจ

“ชื่อของม้าและหมาล่าเนื้อที่ตระกูลดิฉันเลี้ยงไว้ค่ะ” ออเดรย์ตอบอย่างสุภาพ

“หมาล่าเนื้อราคาตัวละสี่ร้อยห้าสิบปอนด์…” ไคลน์พลันฉุกคิดถึงคำแนะนำของพ่อบ้านวอลเตอร์ที่บอกให้ซื้อหมาล่าเนื้อกลุ่มหนึ่งสำหรับกิจกรรมล่าสัตว์ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบ

“ทำไมสิ่งแรกที่ผุดขึ้นในหัวมิสเตอร์เวิร์ลถึงเป็นราคา?” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะสงสัย

เลียวนาร์ดยกมุมปากและตอบโดยไม่ต้องพูด

“นี่เป็นเรื่องปรกติ… หมอนี่มักจู้จี้เรื่องเงินเสมอ ฉันยังจำได้ว่า…”

ยังไม่ทันจะ ‘พูด’ จบประโยค ไคลน์กระแอมแห้ง

“พวกเราควรรีบสำรวจในส่วนอื่นกันต่อ และถ้ามีเวลาเหลือก็ต้องทดสอบการทำงานของภาพจิตรกรรมฝาผนัง… เฮ้อ… โถงบ้านี่ทำเอาวุ่นวายไปหมด ปัญหาสำคัญคือการที่ความคิดลับๆ ถูกนำออกมาเปิดเผยจนยากจะตั้งสมาธิกับเรื่องอื่น”

เมื่อได้ยินการรำพันในประโยคสุดท้าย ทั้งเลียวนาร์ดและออเดรย์เผลอหัวเราะออกมาอย่างมิอาจหักห้าม

จนกระทั่งหญิงสาวเริ่มตระหนักว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้สถานการณ์เลยเถิดมากไปนัก เธอตั้งสติและแหงนมองเพดาน

“ในมือภาพจิตรกรรมทางขวาควบคุมโลกในหนังสือ และภาพฝั่งซ้ายควบคุมโลกความจริง… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดาน?”

ไคลน์วิเคราะห์โดยเชื่อมโยงข้อมูล

“อิทธิฤทธิ์ของมังกรจินตภาพมีอย่างน้อยสามเรื่อง: ข้อแรก การจินตนาการอาณาจักรขึ้นมาบนโลกความจริง ข้อที่สอง การประกาศอนาคตและสามารถทำให้มันเกิดขึ้นจริงในภายหลัง และข้อที่สาม ท่านสามารถจินตนาการสิ่งของขึ้นมาบนโลกความจริง… ข้อแรกสอดคล้องกับภาพจิตรกรรมฝั่งขวา และข้อที่สองสอดคล้องกับฝั่งซ้าย… ถ้าอย่างนั้นก็อาจตีความได้ว่า เพดานหมายถึงอิทธิฤทธิ์ข้อที่สาม?”

“หากวาดสิ่งใดลงไปบนเพดาน สิ่งนั้นจะปรากฏขึ้นบนโลกความจริงและสามารถใช้งานได้?” ออเดรย์เข้าใจความนัยของเดอะเวิร์ลได้ในทันที

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวาดมังกรจินตภาพ?” เลียวนาร์ด ‘แนะนำ’

ไคลน์ชำเลืองมันอีกครั้ง

“ประการแรก นายต้องเคยเห็นมังกรจินตภาพตัวจริงโดยไม่สติแตกหรือคลุ้มคลั่งไปก่อน ประการที่สอง นายต้องวาดรายละเอียดหลักบนร่างกายของท่านอย่างชัดเจนโดยไม่ตกหล่น และประการสุดท้าย นายต้องวาดรูปให้เป็นเสียก่อน”

“…ตอนนี้ฉันอาจจะวาดรูปไม่เป็น แต่อนาคตอาจไม่ใช่ก็ได้ ฉันสามารถจ้างครูสอนพิเศษมาช่วยฝึกเป็นการส่วนตัว” เลียวนาร์ดรำพันพลางตอบโดยไม่ต้องพูด “นอกจากนั้น รายละเอียดหลักบนร่างกายหมายถึงสิ่งใด? อักขระและลวดลายพิเศษที่อัดแน่นไปด้วยออร่าเทพ?”

พร้อมกันนั้น ออเดรย์รีบ ‘พูด’ โดยพยายามกลั้นขำ

“ฉันวาดรูปได้”

การวาดรูปคือทักษะพื้นฐานของสตรีชนชั้นสูง และออเดรย์ค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านนี้

“อา… ไว้ค่อยทดสอบในตอนที่มีเวลาเหลือ” ไคลน์พยักหน้าพลางเดินไปทางเสาหินต้นใหญ่

แผนของมันก็คือ ต้องมองเห็นภาพรวมทั้งหมดให้ได้เสียก่อน จึงค่อยคิดหาวิธีขยายกรอบในการสำรวจ

พร้อมกันนั้น มันฉุกคิดถึงบางสิ่งจากคำถามของเลียวนาร์ด

“ลวดลายและอักขระที่อัดแน่นไปด้วยออร่าเทพ… สิ่งนี้เปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้ปริมาณมหาศาล หากจ้องมองตรงๆ และยังเอาชีวิตรอดไปได้ ผู้ที่พบเห็นจะทราบสูตรโอสถและรายละเอียดของพลังบางส่วนทันที… แต่คำถามก็คือ ในยุคสมัยที่ศิลาเย้ยเทพปรากฏขึ้น คนที่จ้องมองเทพโดยตรงและรอดชีวิตนั้นได้ความรู้ใดกลับไป? สมัยนั้นยังไม่มีสูตรโอสถสักหน่อย… หรือจะเป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีที่สัตว์ในตำนานใช้สั่งสมพลังไปทีละขั้น? หรือว่าแท้จริงแล้ว ศิลาเย้ยเทพเกิดจากการนำวิธีสั่งสมพลังของสัตว์ในตำนานมาปรับปรุงเป็นสูตรโอสถ? หากหนึ่งในสองข้อสันนิษฐานของเราเป็นความจริง แปลว่าความรู้ที่อยู่ในร่างสัตว์เทพสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้… ในทางกลับกัน ผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรมก็สามารถ ‘ดัดแปลง’ หรือ ‘ลบ’ ความรู้ภายในร่างสัตว์เทพของผู้อื่นได้โดยตรง?”

“มิสเตอร์เวิร์ลครุ่นคิดในประเด็นที่ลุ่มลึกและซับซ้อนมาก ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับตัวตนระดับสูง…” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะ ‘ตัดพ้อ’

เลียวนาร์ดเองก็มิอาจยับยั้งหัวใจ

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ? ไว้ค่อยถามตาแก่ทีหลังก็แล้วกัน… หมอนี่รู้เยอะชะมัด… ดูเหมือนว่าบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด เพราะกลิ่นอายนักวิชาการยังคงเป็นเอกลักษณ์ของหมอนั่น…”

“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ช่วยพอได้แล้ว!” ในสภาพมือข้างหนึ่งถือขวดเลือดและอีกข้างถือไม้กางเขนเจิดจรัส ไคลน์บีบบังคับตัวเองให้คุมสติและเดินไปทาง ‘บัลลังก์’

ด้วยร่างวิญญาณ แม้จะบินไม่ได้ในห้องโถง แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ก็ยังสูงกว่าปรกติหลายเท่า

จนกระทั่งไคลน์เพิ่งตระหนักเมื่อสายว่า ด้านหลังบัลลังก์ของมังกรจินตภาพมีทางเดินที่มืดมิดซ่อนอยู่

“มองไม่เห็นอะไรเลย ถ้ามีแสงก็คงจะดี…” ออเดรย์ครุ่นคิด

ทันใดนั้น แสงที่แสนอ่อนโยนพลันสว่างขึ้นภายในทางเดิน ช่วยทำให้ทุกคนมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน

แม้ไม่ต้องเดินเข้าไป แต่ไคลน์ เลียวนาร์ด และออเดรย์ต่างก็เห็นประตูทองแดงที่ด้านในสุดของทางเดิน

เหนือประตูเต็มไปด้วยอักขระและลวดลายจำนวนมากที่ยากจะอธิบาย ราวกับพวกมันเป็นโซ่หลายเส้นที่คอยพันธนาการบานประตูหลังนั้นไว้ เจตนาคือการผนึกสิ่งที่อยู่ด้านใน เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกลึกลับและเย็นเยียบในเวลาเดียวกัน

ภายในเมืองแห่งปาฏิหาริย์ของมังกร ภายในวังเทพบรรพกาล ด้านหลังบัลลังก์มีประตูลับที่ใช้สำหรับผนึกบางสิ่ง

เพียงพริบตา คนทั้งสามรู้สึกคล้ายกับกำลังมองผ่านบานประตูทองแดงเข้าไปยังความมิดมืดด้านหลังโดยตรง

จากนั้นก็เป็นเสียงหัวใจเต้น

แหล่งกำเนิดเสียงมาจากด้านในร่างกายคนทั้งสาม

แต่ต้องไม่ลืมว่า พวกมันกำลังอยู่ในร่างวิญญาณและไม่มีหัวใจ!

ถัดมา ผิวชั้นนอกของไม้กางเขนเจิดจรัสเริ่มลอกออกและส่องแสงราวกับพระอาทิตย์

สำหรับไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ด พวกมันพลันบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดสุดขีด ประหนึ่งจิตสำนึกกำลังถูกแบ่งแยกออกเป็น ‘ตัวเอง’ อีกหนึ่งคน

ท่ามกลางทัศนวิสัยที่ไม่คมชัด ดวงตาข้างหนึ่งโผล่ขึ้นภายในความมืดมิดด้านหลังประตูทองแดง รูม่านตาสีดำสนิทและมีรอยแยกสีฟ้าอ่อน

ในลำดับที่ไม่เจาะจง ดวงตาประเภทเดียวกัน ‘ลืม’ ขึ้นทีละข้างในลักษณะกระจุกเป็นก้อน ทั้งหมดจดจ้องมายังคนทั้งสามอย่างไม่ละสายตา

ทันใดนั้น ไคลน์และคนที่เหลือต่างได้ยินเสียงเพรียกอันแผ่วเบาแต่ชวนให้หลงใหลเหนือพรรณนา

โดยไม่มัวรีรอ ร่างวิญญาณไคลน์ขยายออกและปกคลุมเลียวนาร์ดกับออเดรย์อย่างมิดชิด จากนั้นก็ยุติการอัญเชิญและส่งทุกคนกลับไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอก

………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset