บึม! บึม!
ภายในบ้านเลขที่ 17 ถนนมินส์ เขตเชอร์วู้ด นายหญิงของบ้าน สตาร์ลิ่ง·ซาเมอร์และสาวใช้ของเธอต่างได้ยินเสียงระเบิดจากระยะไกล พวกเธอที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องต่างสัมผัสได้ว่าผืนดินกำลังสั่นสะเทือน
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ความรุนแรงของสถานการณ์เริ่มบรรเทาลง สตาร์ลิ่งพยุงตัวขึ้นและเหลียวซ้ายแลขวาด้วยจิตใจที่ตึงเครียด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
สาวใช้ทั้งสองคนต่างพากันส่ายหน้า พวกเธอต่างก็ฉงนและกลัวไม่ต่างกัน
หลังออกจากมุมห้อง สตาร์ลิ่งต้องการเดินออกไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านตามความเคยชินเพื่อยืนยันในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอกังวลว่าเหตุการณ์เมื่อครู่อาจวกกลับมาเกิดซ้ำ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินวนเวียนไปมาในห้องนั่งเล่น
ผ่านไปหลายนาที สตาร์ลิ่งได้ยินเสียงเปิดประตูหน้าบ้าน จึงรีบหันไปมองและได้ทราบว่าสามีของเธอ ลุค·ซาเมอร์กลับมาถึงบ้านพร้อมกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว
“คุณไม่ไปทำงานหรือ” สตาร์ลิ่งถามตามสัญชาตญาณ
ลุคที่ร่างกายกำยำตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แค่เกือบจะถึง จากนั้นก็ต้องรีบกลับมา… รีบใส่เสื้อนอกเร็วเข้า พวกเราจะไปที่วิหาร!”
“ก… เกิดอะไรขึ้น?” สตาร์ลิ่งถามย้ำ
ลุคเดินไปข้างหน้าสองก้าว
“กองเรือเหาะของฟุซัคกำลังทิ้งระเบิดใส่เบ็คลันด์!”
“ได้ยังไง… มันเป็นไปได้ยังไง?” ดวงตาสตาร์ลิ่งเบิกกว้างอย่างคลางแคลง
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามถึงเหตุผล ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และพวกเราต้องรีบไปที่วิหารทันที!” ลุคสวมกอดภรรยา “ไม่ต้องกังวลไปนัก ผมเชื่อว่าเรือเหาะเหล่านั้นจะไม่มาที่นี่”
“ตกลง… ตกลง!” สตาร์ลิ่งขานตอบด้วยความตื่นตระหนก
เธอสวมเสื้อนอกที่สาวใช้นำมาให้ จากนั้นก็กล่าวด้วยความกังวล
“แล้วลูกๆ ล่ะ?”
“พวกเขาอยู่ที่โรงเรียนของศาสนจักร คงมีคนคอยพาเข้าไปในหลุมหลบภัย… พวกเราไม่มีเวลาแวะไปหาพวกเขา” ลุคกล่าวอย่างใจเย็น
“ตกลง” สตาร์ลิ่งทำท่าสวดวิงวอนโดยหวังว่าเทพที่ตนศรัทธาจะยื่นมือช่วยเหลือ
สองสามีภรรยารวมถึงคนรับใช้รีบออกจากบ้านและตรงไปยังท้ายถนน
หลังผ่านบ้านเลขที่ 58 หญิงสาวกระซิบกระซาบ
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยหัวเราะเยาะทนายความเยอร์เก้นที่ยอมละทิ้งโอกาสในเบ็คลันด์และย้ายไปอยู่ทางใต้เพียงเพราะปัญหาด้านสุขภาพของมาดามดอริส… แต่ตอนนี้ ฉันชักจะอิจฉาพวกเขาขึ้นมาแล้ว”
ลุคที่ชำเลืองมาครู่หนึ่งกล่าวขึ้น
“ไม่ต้องแตกตื่น ทุกอย่างจะดีขึ้น”
ขณะสตาร์ลิ่งเริ่มเร่งความเร็วในการเดิน เธออดไม่ได้ที่จะถาม
“ลุค… พวกเราหนีออกจากเบ็คลันด์กันไหม”
“ไม่ นั่นไม่จำเป็น!” ลุคยืนกรานหนักแน่น “นี่ก็แค่เหตุสุดวิสัย”
เมื่อเห็นภรรยาทำหน้าฉงน มันเสริม
“กรุงเบ็คลันด์คือเมืองหลวงของอาณาจักร ย่อมมีมาตรการป้องกันในระดับสูงสุดอยู่แล้ว วันนี้ก็แค่เหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีครั้งหน้าสำหรับพวกฟุซัคอีกแล้ว! อาณาจักรของเรามีกองทัพที่เกรียงไกรที่สุดในทวีปเหนือใต้ พวกฟุซัคจะได้รับบทเรียนแน่ ไม่มีทางที่พวกมันจะรุกรานเบ็คลันด์สำเร็จเป็นหนที่สอง หลังจากวันนี้ ที่นี่จะปลอดภัยที่สุดในโลก”
“นั่นสินะ…” สตาร์ลิ่งพบว่าคำพูดของสามีฟังขึ้น จึงเชื่อโดยไม่มัวคิดมาก
อธิบายจบ ลุคเงียบงันสองสามวินาที
“แต่พวกเราก็ต้องเตรียมตัวไว้บ้าง ถ้าศาสนจักรอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้อีกเมื่อไร พวกเราจะพาลูกๆ กลับมาและตุนอาหาร… ตุนให้มากที่สุดเท่าที่จะซื้อไหว!”
…
ย่านสะพานเบ็คลันด์ ในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง
เนื่องจากอยู่ค่อนข้างไกล เดซีย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียนย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในเขตเหนือและเขตตะวันตก และไม่ทราบว่ามีความโกลาหลเกิดขึ้นในเขตฮิลสตันถึงเชอร์วู้ด
แต่ถึงอย่างนั้น ครูจำนวนหนึ่งเดินมาที่ห้องและพาพวกเธอต่อแถวเข้าไปในวิหารใกล้เคียง
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เดซีย์หวนนึกถึงโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เมื่อปีที่แล้ว เพราะตอนนั้นก็ถูกพามาหลบในวิหารข้างโรงเรียนเหมือนกัน
ห…เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำรอยหรือ? บาดแผลในใจทำให้ร่างกายของเดซีย์สั่นระริกไปด้วยความโกรธเจือความเศร้า
เมื่อเดินผ่านประตูห้องเรียน เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองครูและถาม
“ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกแล้วหรือคะ?”
“น่าจะ…” ครูเองก็ไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด เพราะแค่ทำตามระเบียบการที่ส่งมาทางโทรเลข
“มีภัยพิบัติแบบนี้ทุกปี… ในอนาคตจะมีมากกว่าปีละครั้งไหมคะ?” เดซีย์ถามด้วยน้ำเสียงล่องลอยเจือความไร้เดียงสา
ครูคนดังกล่าวจ้องเธอด้วยสายตาเอ็นดูและส่ายหน้า
“เรื่องร้ายๆ จะผ่านไป… พระองค์คอยปกป้องพวกเราทุกคนเสมอ”
เดซีย์ไม่มัวรีรอ รีบเดินตามกลุ่มเพื่อนเข้าไปในวิหารใกล้เคียงด้วยท่าทีเหม่อลอย
…
เขตเหนือ อาคารหมายเลข 22 ถนนเฟลป์
หลังจากได้ยินเสียงระเบิด ออเดรย์ซึ่งอยู่ในตึก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ รีบสร้างเกล็ดมังกรขึ้นมาใต้ผิวหนังและวิ่งไปทางหน้าต่าง
เมื่อเห็นเรือเหาะที่ติดธงฟุซัคลอยอยู่บนฟ้าและทิ้งระเบิดซึ่งในภายหลังถูกพายุพัดกระจัดกระจาย บ้างระเบิดบนพื้น บ้างหายไปราวกับหลุดเข้าไปในโลกวิญญาณ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจหญิงสาว เป็นคำพูดที่เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยกล่าวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เป็นภารกิจที่สมาคมแปรจิตสั่งให้เธอสืบข้อมูล
สงครามปะทุขึ้นแล้ว!
หญิงสาวหันไปกล่าวกับโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ ซูซี่ สาวใช้ส่วนตัว แอนนี่ และคนอื่นๆ ว่า:
“รีบเข้าไปหลบในวิหารนักบุญแซมมวลเร็วเข้า!”
แม้ออเดรย์จะไม่รู้วิธีรับมือกับการโจมตีทางอากาศ แต่การศึกษาในวัยเด็กได้สอนไว้ว่า หากเผชิญเหตุการณ์อันตราย สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเข้าไปหลบในวิหารใกล้เคียงให้เร็วที่สุด
อันที่จริงเธอต้องการจะปรี่กลับบ้านในเขตราชินีเพื่อปกป้องแม่ แต่เมื่อพิจารณาว่าแอนนี่และเจ้าหน้าที่คนอื่นไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้ หญิงสาวตัดสินใจปกป้องทุกคนด้วยการพาไปยังวิหารนักบุญแซมมวล
เพื่อให้รับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ออเดรย์ทำการสวม ‘หัตถ์แห่งความกลัว’ และ ‘คำลวง’ ในแง่หนึ่งเธอสามารถบิดเบือนวิธีของกระสุน และอีกแง่หนึ่งเธอสามารถควบคุมไฟและจุดชนวนระเบิดกลางอากาศ
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีระยะไกล ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมนั้นแทบจะไม่มีบทบาท
หลังจาก ‘แอบ’ ปกป้องคนรับใช้และพนักงานอย่างลับๆ ออเดรย์พาทุกคนมาถึงวิหารนักบุญแซมมวลและเห็นบิชอปหลายคนเดินเข้ามาหา
“คุณหนูออเดรย์ ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยท่านเอิร์ล คุณหญิง และลอร์ดฮิบเบิร์ต พวกเขาทั้งหมดได้รับการอารักขาในระดับสูงสุด ลำพังการโจมตีทางอากาศไม่สามารถทำอันตรายได้ นอกจากนั้น คุณคงทราบดีว่าห้องใต้ดินของตระกูลฮอลล์แข็งแรงทนทานมากเพียงใด” บิชอปคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและปลอบประโลม
ออเดรย์ถอดถุงมือตาข่ายพลางพยักหน้าขานรับคำพูดบิชอป ตัดสินใจว่าไม่มีความจำเป็นต้องกลับบ้าน จากนั้นก็หันไปถาม
“สถานการณ์ปัจจุบันเป็นยังไงบ้างคะ?”
“เรือเหาะของฟุซัคร่วงไปแล้วสองลำ กองเรือเหาะทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตก แต่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้มาตรการความปลอดภัยถูกยกระดับแล้ว แนวป้องกันต่างๆ พร้อมรับมือการโจมตีทุกประเภท ความเสียหายจะไม่ลุกลามเป็นวงกว้าง” หลังจากตอบคำถามสองสามคำ บิชอปพาออเดรย์และคณะเดินลงไปยังชั้นใต้ดินของวิหาร เป็นชั้นที่สูงกว่าห้องทำงานของเหยี่ยวราตรีอยู่หนึ่งระดับ
…
บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน พ่อบ้านวอลเตอร์และคนรับใช้กำลังหลบภัยภายในชั้นใต้ดินซึ่งปรกติถูกใช้เป็นที่เก็บไวน์
นี่คือสิ่งดอน·ดันเตสกำชับไว้ล่วงหน้าก่อนจะออกเดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวล
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ วอลเตอร์และทุกคนได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อมองผ่านช่องเล็กๆ ออกไป พวกมันพบว่านายจ้างของตนกลับมาถึงแล้ว
“การโจมตีที่นี่จบลงแล้ว แต่ผมขอแนะนำให้พวกคุณหลบอยู่ที่วิหารนักบุญแซมมวลต่อไปอีกสักระยะ” ไคลน์กล่าวพลางมองรอบห้อง
“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ขานตอบแทนคนรับใช้อื่นๆ จากนั้นก็ถาม “แล้วหลังจากนั้น?”
ในฐานะพ่อบ้านที่มีคุณภาพ มันมักอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยครั้งและทราบถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ พอจะเดาได้ว่าสงครามจะไม่จบลงหลังจากการทิ้งระเบิดระลอกแรก
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“ไว้ทางศาสนจักรอนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้เมื่อไร ผมจะพาทุกคนไปหลบที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ… รวมถึงครอบครัวของพวกคุณด้วย… ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมืองหลวงของอาณาจักรย่อมปลอดภัยที่สุดเสมอ และคฤหาสน์หลังนั้นอยู่รอบนอกเมืองหลวงซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตีทางอากาศ เพราะไม่มีค่าพอจะให้ทำแบบนั้น… อา… ในคฤหาสน์เพลงกุหลาบมีอาหารตุนไว้มากพอ รวมถึงคลังไวน์ขนาดใหญ่… ต่อให้สงครามยืดเยื้อออกไปนาน แค่พวกคุณก็จะไม่อดตาย”
ได้ยินคำพูดของนายจ้าง บรรดาคนรับใช้ที่มีครอบครัวต่างเผยสีหน้าโล่งใจสุดขีด ความกังวลถูกขจัดออกไปจากใบหน้า ส่วนวอลเตอร์เป็นตัวแทนกล่าวคำขอบคุณจากก้นบึ้ง
จากนั้น มันกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“ผมขอแนะนำให้ซื้ออาหารมาตุนเพิ่ม… ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีคำว่ามากเกินไป… และนอกจากนั้น แม้จะไม่มีการโจมตีเพิ่มเติมในแถบรอบนอกกรุงเบ็คลันด์ แต่ความวุ่นวายอาจนำมาซึ่งหัวขโมยและผู้ร้าย คฤหาสน์จะต้องยกระดับความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น”
ไคลน์พยักหน้าเห็นพ้อง
“ผมเองก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้ เตรียมปรึกษากับส.ส. มัคท์และคนของกองทัพว่าจะขอซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่ ‘ปลดระวาง’ สักชุดสำหรับการฝึกฝนของพวกคุณ… แต่ระหว่างนี้ ผมกับเอ็นยูนจะกลับเข้ามาในเบ็คลันด์เพื่อสะสางงานบางอย่าง ถ้ามีอะไรตกหล่นให้แก้ไขไปก่อนตามความเหมาะสม”
สำหรับเรื่องอาหาร ไคลน์ไม่ได้ห้ามให้วอลเตอร์ซื้อตุน เพราะถ้าประสบภาวะขาดแคลนอาหารจริง ไคลน์อยากให้ทุกคนอยู่รอด
หลังจากปรึกษาหารือในส่วนที่เหลือจบ ทุกคนในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตสเก็บกระเป๋าและของมีค่า จากนั้นก็ตามนายจ้างเข้าไปหลบในชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล
เพียงชำเลือง ไคลน์พบออเดรย์กำลังเดินใช้พลังปลอบโยนแก่ผู้คนจำนวนมาก ชายหนุ่มยิ้มทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท
หลังจากเห็นดอน·ดันเตสและทักทายกลับ พิจารณาจากสีหน้าท่าทาง ออเดรย์สามารถยืนยันได้ว่ายังไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเพิ่มเติม
…
ฟอร์สและซิลย้ายบ้านอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นละแวกชายขอบเขตตะวันออก แต่คราวนี้ใกล้กับย่านสะพานเบ็คลันด์มากขึ้น
หลังจากตื่นตามธรรมชาติ ฟอร์สสางผมพลางเดินออกจากห้องนอนเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน
หญิงสาวกวาดสายตาและพบซิลที่ออกจากบ้านไปแต่เช้าและกลับมาแล้ว กำลังนั่งบนเก้าอี้พลางอ่านหนังสือพิมพ์
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟอร์สถามด้วยความฉงน
ซิลขมวดคิ้วขณะตอบ
“พวกฟุซัคโจมตีเขตเหนือและเขตตะวันตก…”
“อะไรนะ…” ฟอร์สโพล่งขึ้นก่อนจะหวนนึกถึงหัวข้อที่พูดคุยกันในชุมนุมทาโรต์
ทันใดนั้น เสียงของเด็กขายหนังสือพิมพ์ดังออกจากด้านนอก
“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”
“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! อาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว!”
………………………