ภายในป่าซึ่งควรจะสลัวและเสื่อมโทรม กลับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสนธยาสีส้มอมแดง ความเข้มข้นที่ลุกโชนราวกับเปลวไฟ มอบบรรยากาศสุกสว่างประหนึ่งมิอาจย้อนกลับ
เดอร์ริค·เบเกอร์ในท่าถือไม้กางเขนเจิดจรัส กำลังแผ่แสงบริสุทธิ์ออกจากร่างพร้อมกับเดินไปตรงไปอย่างเชื่องช้า ด้านหลังเฉียงซ้ายมีโคลิน·อีเลียดตามมาไม่ห่าง มือถือดาบยาวในท่าพร้อมฟัน ด้านหลังเฉียงขวาเป็นฮาอิมที่ช่วยถือค้อนยักษ์ เทพสายฟ้าคำรามเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนยักษ์สูงสองเมตรกว่ารายนี้เตรียมสับเปลี่ยนสมบัติปิดผนึกกับเดอร์ริคทุกเมื่อ
ความสว่างของไม้กางเขนเจิดจรัสไม่ร้อนแรงเท่าที่ควร ราวกับดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าซึ่งเหลือเพียงแสงเรืองรอง
แต่แน่นอน ไม่มีใครในเมืองเงินพิสุทธิ์เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน ทำได้แค่จินตนาการจากคำอธิบายในเอกสารโบราณ เฉกเช่นแสงสนธยาที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นวันนี้เป็นวันแรก
ฟ้าว!
ยิ่งทีมสำรวจตรงเข้าไปลึก เสียงสายลมก็เริ่มดังขึ้นในป่าเสื่อมโทรมซึ่งเคยเงียบสงบราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง
ทว่า เดอร์ริคและคนอื่นๆ กลับมิอาจสัมผัสถึงแรงลม
ฟ้าว!
เสียงสายลมรุนแรงขึ้นทุกขณะ สั่นคลอนจิตวิญญาณทุกคนอย่างหนักหน่วง เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะเย็นวาบไปถึงท้ายทอย เส้นขนลุกตั้งชัน ร่างกายและจิตใจเกิดความหนาวสั่น
หากเป็นในยามปรกติ สัญชาตญาณของมนุษย์จะสั่งให้ย่อคอและยกแขนขึ้นมาปกป้องท้ายทอย ตามด้วยการก็เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่เดอร์ริคมิได้ทำเช่นนั้นเพราะกำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดพิเศษ การขยับมือหรือหันหน้าส่งเดชอาจทำให้ตอบสนองต่ออันตรายได้ไม่ทันท่วงที นอกจากนั้นด้านหลังมันยังมีเจ้าเมืองและพวกพ้องอีกมาก เดอร์ริคเชื่ออย่างสนิทใจว่า ทุกคนกำลังฝากชีวิตไว้กับตน
เสียงบางสิ่งแหวกอากาศดังขึ้น ใบมีดสีเงินที่มีอสรพิษสายฟ้าพันรอบพุ่งผ่านลำคอเดอร์ริค เสียบใส่ร่างที่พร่ามัวจนระเหยภายใต้แสงสนธยา
ขณะเดียวกัน ไม้กางเขนเจิดจรัสออกอาการหงุดหงิด รีบสลัดคราบความหม่นหมองและแผ่แสงบริสุทธิ์อีกครั้ง
สภาพแวดล้อมกลายเป็นสีขาวสว่างเจิดจ้า เงาดำจำนวนมากที่มีรูปร่างไม่ชัดเจนโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าทีละหนึ่ง ก่อนจะสลายไปภายใต้อำนาจแห่งแสงบริสุทธิ์
เมื่อทุกสิ่งจบลง เดอร์ริคมองตรงพลางตั้งคำถาม
“พวกมันคือตัวอะไร? ไม่เหมือนกับวิญญาณอาฆาต ภูตผี หรือวิญญาณมาร…”
นักล่าปีศาจโคลินมองไปรอบตัวและตอบเชื่องช้า
“เป็นออร่าที่ยังหลงเหลือ… ดูเหมือนว่าจะทำปฏิกิริยากับพลังสนธยาจนกลายพันธุ์”
ไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อน… เดอร์ริคกำไม้กางเขนเจิดจรัสแน่น ขยับนิ้วที่ไม่ได้เสียบกับหนามให้กระชับกว่าเดิม
อาศัยไม้กางเขนเจิดจรัสที่มีพลังเฉพาะทาง ทีมสำรวจเคลื่อนที่ข้างหน้าอย่างราบรื่น เพียงไม่นานก็มาถึงส่วนลึกของป่าเสื่อมโทรมที่สามารถมองเห็นหน้าผาและเมฆสีส้มจากระยะไกลผ่านแนวต้นไม้
ความเสื่อมโทรมในบริเวณนี้ไม่ร้ายแรงเท่ากับด้านนอก กิ่งไม้และใบบางส่วนยังยื่นไปในกลางอากาศ ช่วยบดบังแสงสนธยาและสร้างสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมืด
หลังจากเดินสำรวจป่าเขตดังกล่าวอย่างระมัดระวัง ดวงตาเดอร์ริคพลันไหววูบพร้อมเห็นป้ายหลุมศพสีเทาตั้งอยู่สองแผ่น
ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แสงสนธยาที่ส่องลอดผ่านช่องว่างกิ่งไม้และใบไม้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะพิสดาร พวกมันถักสานตัวเองและควบแน่นกลายเป็นร่างหนึ่งซึ่งมีความสูงเกือบสิบเมตร
ร่างดังกล่าวขาดความคมชัด แผ่บรรยากาศเก่าแก่และลึกลับเหนือจินตนาการ ราวกับเป็นภาพฉายจากตำนานเทพนิยาย
ผิวหนังสีเทาอมฟ้า สวมชุดเกราะสีเทาสว่างที่เปื้อนบางสิ่งคล้ายเลือด บนใบหน้ามีจุดแสงสีส้มคล้ายพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า หากพิจารณาจากตำแหน่ง แสงดังกล่าวน่าจะเป็นดวงตา ลำพังการมีตัวตนของสิ่งนี้ก็มากพอจะทำให้ห้วงมิติและต้นไม้โดยรอบบิดเบี้ยว ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งรอบตัวเผชิญภาวะเสื่อมถอยอย่างมิอาจขัดขืน
ได้เห็นฉากตรงหน้า ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจทุกคนอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีคำอธิบาย
ราชาคนยักษ์ เทพบรรพกาลเออเมียร์!
ผิวหนังของทีมสำรวจอย่างโจชัว ฮาอิม และแอนเทียน่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอมฟ้า ผิวหนังบริเวณหว่างคิ้วเริ่มยุบพองและดีดดิ้น ประหนึ่งว่ามีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนังและพยายามเจาะออกมา
เพียงพริบตา พวกมันทุกคนเข้าสู่ภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง
ทั้งที่ไม่ได้เห็นร่างสัตว์ในตำนาน แต่ลำพังการมีตัวตนของร่างปริศนาก็มากพอจะกระตุ้นให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ
เดอร์ริค·เบเกอร์ค่อนข้างปลอดภัยเนื่องจากถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจากไม้กางเขนเจิดจรัส แสงดังกล่าวมอบความรู้สึกอบอุ่นและช่วยให้ต้านทานการเสื่อมถอยได้ชั่วคราว
ในเวลาเดียวกัน โคลิน·อีเลียดทำการโน้มตัวไปด้านหน้า สองมือถือดาบสองเล่มที่เคลือบน้ำมัน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาร่างปริศนาที่น่าสะพรึงด้วยความเร็วประหนึ่งพายุเฮอร์ริเคน
อย่างไรก็ตาม นักล่าปีศาจรายนี้มีได้พุ่งเข้าหาเป็นเส้นตรง มันอาศัยจังหวะเท้าสุดพิสดารเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายในลักษณะฟันปลา
ร่างกายขนาดมหึมาที่ยืนเด่นสง่า ทำเพียงจ้องมองทุกคนด้วยดวงตาแสงสนธยาอย่างไร้อารมณ์ ประหนึ่งเทวรูปแกะสลักที่วิจิตรงดงาม
ทันใดนั้น แสงสว่างบนใบหน้าของมันไหววูบ
เป็นการก้มตัวลงเพื่อกระแทกหมัดลงบนพื้นอย่างแรง
เปรี้ยง!
ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนหนักหน่วงพร้อมกับเกิดรอยแยก ส่งผลให้เดอร์ริคและคนที่เหลือสูญเสียสมดุลร่างกาย ซวนเซราวกับจะเสียหลักล้ม
อย่างไรก็ตาม นักล่าปีศาจโคลินได้กระโดดขึ้นไปในอากาศก่อนแล้ว ลำตัวลอยจากพื้นกว่าสิบเมตร ก่อนจะสับดาบสองเล่มในมือสองข้างลงด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม
ในเวลาเดียวกัน ร่างที่คล้ายกับหลุดออกมาจากตำนาน ดึงดาบยักษ์มายาที่สร้างจากแสงสนธยาออกจากรอยแยกบนพื้น ตามด้วยการฟาดไปข้างหน้าเต็มแรง
เพียงพริบตา พายุแสงสีส้มก่อตัวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับกลืนกินเดอร์ริคและคนที่เหลือ
หลังจากแสงสีส้มจากพายุแผ่ขยายออกไปทุกทิศ ต้นไม้พลันเหี่ยวเฉา ดินกลายเป็นทรายร่วน ทุกสรรพสิ่งเผชิญภาวะเสื่อมถอยอย่างเท่าเทียม
เปรี้ยง!
พายุที่ก่อตัวจากแสงสนธยาปะทะกับบางสิ่งที่คล้ายกำแพงล่องหน ส่งผลให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อาวุโสโลเฟียร์โผล่มาอยู่ด้านข้างเดอร์ริคตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทราบ เธอเสกอัศวินมายาร่างยักษ์ที่สวมเกาะสีเงินขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม
ร่างดังกล่าวมีดวงตาสีแดงก่ำราวกับเลือด มันคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับปักดาบมายาลงไปในพื้น เกิดเป็นกำแพงล่องหนสุดแข็งแกร่ง
เปรี้ยง!
ในเวลาเดียวกัน ดาบยาวสองเล่มของนักล่าปีศาจโคลิน ฟันกระทบกับผิวกายของร่างมหึมาที่สูงกว่าสิบเมตรซึ่งมีกลิ่นอายเทพบรรพกาลเจือจาง เกิดเป็นประกายไฟจำนวนมาก
ท่ามกลางประกายดาบสีเงินที่ส่องวิบวับอย่างต่อเนื่อง ร่างขนาดมหึมาแทบไม่ได้รับความเสียหาย มีเพียงคราบเลือดบนชุดเกราะสีเงินที่ดูเหมือนจะจางลงกว่าในตอนแรก
อาศัยแรงดีดจากพื้น โคลินกระโจนขึ้นอีกครั้งและหมุนตัวกลางอากาศเพื่อโจมตี
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม มันไม่กล้าเผยร่างสัตว์ในตำนาน ด้วยเกรงว่าอาจย้อนกลับไปเป็นปรกติไม่ได้
เมื่อเห็นว่าตัวตนจากในตำนานกำลังถูกตรึงไว้ เดอร์ริครีบฟื้นตัวจากความโกลาหลพร้อมกับกดนิ้วลงบนหนาม แผดเผาศัตรูด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส
เลือดของมันหยดลงบนไม้กางเขนพร้อมกับความเจ็บปวด จากนั้น แสงสีขาวโพลนพวยพุ่งออกไปทุกทิศ จนกระทั่งปกคลุมร่างที่สวมชุดเกราะสีเงินเปื้อนเลือดซึ่งมีดวงตาคล้ายกับพระอาทิตย์อัสดง
ท่ามกลางแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ เคร่งขรึม และบริสุทธิ์ ร่างขนาดมหึมาชะงักงันในตำแหน่ง ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตามธรรมชาติที่แพ้ทางเต็มประตู ชุดเกราะสีเงินสว่างซึ่งสะท้อนกับแสงสนธยาเริ่มละลาย
ฉวยโอกาสดังกล่าว อัศวินเกราะเงินซึ่งเป็นวิญญาณมารของคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ดึงดาบมายาที่ปักพื้นขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปฟันศัตรู
น่าล่าปีศาจโคลินสับดาบยาวทั้งสองเล่มจากบนลงล่าง สร้างแสงสว่างคล้ายรุ่นอรุณปกคลุมศีรษะของตัวตนโบราณอย่างท่วมท้น
โดยไม่มัวรีรอ โจชัว ฮาอิม และคนที่เหลือต่างประเคนท่าไม้ตายของตนเข้าใส่ร่างกายขนาดมหึมา
ผ่านไปสามยก ร่างมายาที่คล้ายกับเดินทางข้ามเวลามาจากอดีต ในที่สุดก็เริ่มสลายตัวและกระจัดกระจายกลายเป็นละอองสีส้มลุกไหม้
นักล่าปีศาจโคลินร่อนลงพื้น เฝ้ามองเห็นการณ์พลางพึมพำ
“น่าจะเป็นจิตตกค้างของราชาคนยักษ์ที่ต้องการปกป้องที่นี่ เมื่อผสานเข้ากับสภาพแวดล้อม จิตดังกล่าวกลายพันธุ์และมีตัวตนขึ้นมาในลักษณะคล้ายวิญญาณมาร… ที่นี่ซ่อนความลับแบบไหนไว้กันแน่…”
ได้ยินคำพูดเจ้าเมือง สายตาทุกคู่มองไปยังเส้นทางที่ร่างมายาอันน่าสะพรึงพยายามยืนขวาง บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด
โชคดีที่เป็นวิญญาณมาร เราสามารถสยบได้ด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส… ขนาดว่านี่เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตตกค้าง แทบเทียบไม่ได้กับร่างต้น แต่แม้จะผ่านมาหลายพันปีกลับยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้… เทพบรรพกาลตัวจริงจะทรงพลังขนาดไหนกัน… อา… ทำไมจิตตกค้างที่ต้องการปกป้องที่นี่ถึงได้รุนแรงนัก เพราะเป็นสุสานของพ่อแม่? เดอร์ริคถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวก็เกิดความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น จึงเดินตามเจ้าเมืองและคนที่เหลือไปยังป้ายหลุมศพทั้งสองแผ่น
ฟู่ว… ไม่ต้องถึงมือเรา… ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม้กางเขนเจิดจรัสมีประโยชน์มากในวังราชาคนยักษ์… มีประโยชน์เสียจน… อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นความต้องการของอาดัม… เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลายพร้อมกับลดคทาเทพสมุทรในมือลง
มันหันเหความสนใจไปยังตำแหน่งที่ราชาคนยักษ์พยายามปกป้องแม้จะผ่านไปกว่าพันปี
สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจก็คือ ป้ายหลุมศพเก่าแก่สองแผ่นที่สลักคำว่าพ่อและแม่เป็นภาษาคนยักษ์
ภาษายักษ์มีอำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องเกิดความรู้สึกโศกเศร้า เจ็บปวด และโหยหา ซึมซับอิทธิพลทางจิตเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจนสภาพจิตใจอ่อนเพลีย
ด้านหลังป้ายหินเป็นหลุมฝังศพ มีร่องรอยการถูกทำลาย เผยให้เห็นโลงศพสีเข้มสองโลงด้านล่าง
ราวกับมีใครบางคนรื้อหลุมศพเพียงเพื่อยืนยันบางสิ่ง ส่งผลให้โครงกระดูกสีเทาทั้งสองที่นอนในโลง ต้องอาบแสงสนธยาซึ่งส่องลอดผ่านกิ่งไม้และใบไม้ลงมา
โครงกระดูกทั้งสองมีเค้าโครงเป็นมนุษย์ สูงไม่เกินหนึ่งเมตรเก้าเซนติเมตรเมตร ส่วนอีกคนก็สูงไม่เกินหนึ่งเมตรแปดเซนติเมตรเมตร
………………………………….