ในอดีต กุหลาบไถ่บาปคือพันธมิตรที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าทวยเทพ…แต่องค์กรเดียวกัน ภายใต้อิทธิพลของเทพสุริยันบรรพกาล พวกท่านกลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบชุมนุมกันภายในวังสนธยา…เทพสุริยันบรรพกาลในอดีตแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน…ไคลน์พ่นลมหายใจอย่างมิอาจควบคุม ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว
ชายหนุ่มย้อนมองดูชุมนุมทาโรต์และพบว่า เมื่อเทียบกับกุหลาบไถ่บาป ชุมนุมของตนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ ต่อให้นับตัวช่วยที่ทรงพลังอย่างวิล·อัสติน พาลีส·โซโรอาสเตอร์ อะซิก·อายเกส และไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับกุหลาบไถ่บาปในยุครุ่งเรือง
ไม่สิ ต่อให้นับกุหลาบไถ่บาปในยุคปัจจุบัน พวกมันก็ยังเหนือกว่าชุมนุมทาโรต์หลายขุม เพราะผู้นำและประธานการชุมนุมยังเป็นเพียงนักบุญลำดับสี่…ไคลน์จิกกัดตัวเองอย่างมีสมาธิ หันเหความสนใจไปยังทั้งสิบเอ็ดบุคคล
หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ ฉายา และชื่อจริง เราสามารถยืนยันได้ว่าเทวทูตวายุ เทวทูตปัญญา และเทวทูตสีขาว ปัจจุบันคือเทพวายุสลาตัน เทพปัญญาความรู้ และเทพสุริยันเจิดจรัส…พวกท่านทรยศเทพสุริยันบรรพกาลและ ‘แบ่ง’ ร่างของเทพที่ตนเคยรับใช้…เทพสงครามและพระแม่ธรณีคือผู้ที่เหลือรอดมาจากวังราชาคนยักษ์…คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นภรรยา มีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน…ด้วยเหตุนี้ การที่อาณาจักรเฟเนพ็อตไม่ยอมประกาศสงครามกับโลเอ็นเพื่อช่วยจักรวรรดิฟุซัค จึงค่อนข้างแปลก…และน่าสนใจ…
นอกจากนั้น ยืนยันได้แล้วว่าเทพธิดาคืออดีตเทพรับใช้ของราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส…ไม่เพียงพระองค์จะได้ครอบครองอำนาจในขอบเขตรัตติกาลและเถลิงบัลลังก์ลำดับศูนย์สำเร็จ แต่ยังกำจัดทายาทของเฟรเกียจนราบคาบ ผนึกเหล่าเทวทูตตระกูลอันทีโกนัสในแคว้นรัตติกาล แถมยังใช้ร่างของมารดาแห่งผืนนภาเป็นภาชนะในการเสด็จลงมาเยือน…เด็ดขาดมาก…
ในฐานะข้ารับใช้แห่งรัตติกาล ไคลน์เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ด้วยกังวลว่าความคิดของตนจะเผลอรั่วไหลออกสู่โลกภายนอก
หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอกและเรียนรู้ว่าตระกูลอันทีโกนัสกับมารดาแห่งผืนนภาเป็นลูกหลานเทพบรรพกาลเฟรเกีย ไคลน์พอจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเทพธิดารัตติกาลได้อย่างคลุมเครือ เพราะท้ายที่สุด เมืองเงินพิสุทธิ์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้างถือครองอำนาจในครอบเขตรัตติกาลและมีความสามารถพิสดารมากมาย
เมื่อผนวกกับเรื่องที่ตระกูลอันทีโกนัสถือครองเส้นทางนักทำนาย และมารดาแห่งผืนนภาถือครองเส้นทางรัตติกาล ไคลน์เดาว่าราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เฟรเกีย น่าจะเกิดจากการรวมกันของตะกอนพลังในสองเส้นทางที่ไม่ใกล้ชิดกัน ส่งผลให้เทพบรรพกาลตนนี้เสียสติอย่างหนักจนแทบจะไร้เหตุผล จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวคือการทำลายและกัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสันนิษฐานว่าเทพธิดารัตติกาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับในบันทึกการเดินทางของกรอซาย เทพรับใช้ทั้งสองของเฟรเกียได้หายตัวไปหลังจากร่วงหล่น ตนหนึ่งไปเข้ากับต้นตระกูลฟีนิกซ์ ชื่อจริงตรงกับเทพมรณาแห่งยุคสมัยที่สี่ บิดาของมิสเตอร์อะซิก เป็นเหตุให้ไคลน์เชื่อมโยงเทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส เข้ากับเทพธิดารัตติกาล
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล มันจึงไม่อยากวิเคราะห์ลงไปลึกมากนัก รีบเปลี่ยนประเด็นไปทางอื่น
ในตอนที่ได้เห็นชื่อจริงของรัตติกาล ไคลน์ไม่ตกตะลึง แต่เป็นความโล่งใจ เพราะในที่สุดปริศนาก็ไขกระจ่าง นอกจากนั้นยังเพิ่มความยำเกรงในตัวอีกฝ่าย
เป็นเพราะพระองค์ไม่อยากให้เทพบรรพกาลอย่างเฟรเกียคืนชีพ จึงควบคุมเส้นทางนักทำนายอย่างเข้มงวด และป้องกันมิให้ผู้วิเศษที่ไม่ใช่คนของพระองค์เลื่อนลำดับไปได้ไกล?
ใช่แล้ว ในหมู่บ้านยามบ่าย นักบวชผีในเมืองได้พยายามเอ่ยนามใครบางคนที่ ‘ล่อลวง’ เทวทูตมืด ซาสเรีย หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้างและผู้มีอำนาจอันดับสองในดินแดนทวยเทพ แต่นามดังกล่าวไม่ถูกเอ่ยออกมาราวกับถูกลบไปแล้ว…นั่นไม่ใช่อำนาจในขอบเขต ‘ปกปิด’ หรอกหรือ?
หากไม่ใช่สถานที่พิเศษอย่างวังราชาคนยักษ์ เกรงว่าการเอ่ยคำว่า ‘เทพธิดารัตติกาล’ และ ‘อมานีซิส’ พร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้ ชื่อดังกล่าวจะถูกลบเลือนหายไป…
กุหลาบไถ่บาปมีประธานสองคน หนึ่งคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และอีกหนึ่งคือเทพธิดา…
นอกจากสถานที่ชุมนุม จุดอื่นล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการปกปิด…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทพธิดาคือตัวการเบื้องหลังการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล เริ่มต้นมหาภัยพิบัติ และสิ้นสุดยุคสมัยที่สาม…
เมื่อเทียบกับพระองค์ ไม่ว่าจะอาดัมหรืออามุนด์ต่างก็ยังห่างไกล…
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเทพแท้จริงอย่างพระองค์จึงตกหลุมพรางของอาดัมจนไม่สามารถแทรกแซงโลกความจริง?
ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดัก แต่พระองค์ก็เดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ เพราะทราบว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง? มีหรือที่เทพธิดาผู้กุมความลับสำคัญ และเป็นหัวหอกที่ทำให้พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ร่วงหล่น จะเข้าไปในกับดักโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า?
นอกจากนั้น ประโยคที่ว่า ‘สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวคิดของท่าน’ หมายความว่าอย่างไร ‘ท่าน’ คือใคร?
อา…การได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลับเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เราจะย่อยโอสถปราชญ์โบราณทันทีที่ดื่มเข้าไปเลยไหม?
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากและบังคับสติให้คิดเรื่องอื่น
นักบวชผีนั่นระเบิดตัวเองขณะกล่าวถึงราชาเทวทูตคนที่สี่…เพราะว่านอกจากสามราชาเทวทูต ที่เหลือล้วนเป็นเทพแท้จริงทั้งหมด?
แต่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์มักจะเอ่ยชื่อบาร์ดไฮเออร์และเฮราเบอร์เก้นบ่อยครั้ง ทำไมถึงไม่เกิดความผิดปรกติกับพวกเขา?
จุดใดที่แตกต่าง?
ราชาเทวทูตที่แข็งแกร่งที่สุด หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้าง ซาสเรีย เหตุใดตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ถึงหายไปกับแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์? อา…หรือว่าท่านกลายเป็นหนึ่งในเทพมารยุคปัจจุบันอย่างพระผู้สร้างแท้จริง ด้านมืดเอกภพ หรือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?
ด้านนอกห้องโถงชุมนุมลับมีเศษเสี้ยวพลังความเสื่อมทราม นั่นคือสิ่งที่ท่านเหลือทิ้งไว้?
จริงสิ…การกำเนิดของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เกี่ยวข้องของกับกุหลาบไถ่บาป…เช่นนั้นแล้ว พระผู้สร้างแท้จริงจะมีท่าทีตอบสนองเช่นไรเมื่อได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้?
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์มองไปทางอาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์
สตรีผู้นี้กำลังทำหน้าครุ่นคิด คล้ายกับไม่รู้จักชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากนัก รู้จักเป็นเพียงบางคน เช่นเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส
เธอกลายเป็นสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงเนื่องจากได้เห็นภาพจิตรกรรมที่โอโรเลอุสเหลือทิ้งไว้
เดอร์ริค ‘แอบ’ เหล่ไปทางอาวุโสโลเฟียร์ แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติทางสีหน้าของอีกฝ่าย
ในฐานะ ‘เดอะซัน’ แห่งชุมนุมทาโรต์ เดอร์ริครู้จักโลกภายนอกดีที่สุดในหมู่ทีมสำรวจ และเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาเทวทูตมานานแล้ว จึงเชื่อว่าราชาเทวทูตทั้งสามน่าจะกลายเป็นเทพแท้จริงในภายหลัง ปัจจุบัน เดอร์ริคแทบไม่ออกอาการตื่นตระหนก มีเพียงสับสนเล็กน้อยและตกใจกับระดับความยิ่งใหญ่ของกุหลาบไถ่บาป
องค์กรลับดังกล่าวทรงพลังกว่าที่มันคิดไว้มาก!
ไม่แปลกใจว่าทำไมพระองค์ถึงร่วงหล่น…เมื่อเข้าใจบางสิ่ง หัวใจเดอร์ริคเริ่มหนักอึ้ง
ขณะเดียวกัน สายตาของเด็กหนุ่มชำเลืองไปเห็นใบหน้าอันซีดเซียวและบิดเบี้ยวของเจ้าเมือง อีกฝ่ายเอาแต่พึมพำบางสิ่ง
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
…ตั้งแต่จำความได้ ท่านเจ้าเมืองไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็นขนาดนี้…การชุมนุมของกุหลาบไถ่บาปทำให้เขาเชื่อมโยงกับความจริงที่ว่า พระองค์อาจร่วงหล่นไปแล้วและคงไม่หวนกลับมา? จึงทำใจยอมรับไม่ได้? แต่ท่านเจ้าเมืองน่าจะรู้เรื่องนี้จากเราได้สักแล้ว…ขณะเดอร์ริคตั้งคำถาม มันพบว่าสีหน้าของเจ้าเมืองเริ่มกลับเป็นปรกติ มีเพียงริมฝีปากที่ยังเม้มแน่น
สำหรับสมาชิกคนอื่น คำพูดของนักบวชผีในหมู่บ้านยามบ่ายพลันย้อนกลับมาในความคิด
“ข้าแต่พระองค์ ข้าขอสารภาพว่า…ได้ทำการล่อลวงซาสเรียสมคบคิดกับเหล่าราชาในวังสนธยา…”
“…ข้าค้นพบความจริงในตอนที่สายเกินไป แผ่นดินกำลังจะเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม นองเลือด เน่าเปื่อย ฆ่าฟัน กัดกร่อน และเงามืด…”
“มหาภัยพิบัติกำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่!”
ฮาอิมที่ถือไม้กางเขนเจิดจรัส ใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบสติลงและกล่าวออกมา
“ที่นี่คือวังสนธยา…และคนเหล่านี้คือราชาเทวทูตกับเทพรับใช้จากยุคสมัยที่สอง? พวกท่านสมคบคิดกันสร้างมหาภัยพิบัติ ทำให้พระองค์ต้องทอดทิ้งดินแดน?”
โคลิน·อีเลียดชักดาบสองเล่มออกมาด้านหน้า หมุนตัวครึ่งหนึ่งและพูด
“น่าจะใช่”
“หากพวกเราสืบจนพบต้นตอของปัญหาในตอนนั้น เราอาจมีโอกาสทำให้พระองค์พึงพอใจและหันกลับมาเหลียวแลดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง?” ได้ยินคำตอบจากเจ้าเมือง แอนเทียน่าถามด้วยความกังวล
ในเวลาเดียวกัน คล้ายกับเดอร์ริคมองเห็นร่องรอยความเศร้าในสายตาของเจ้าเมือง จากนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายอืมในลำคอ
“อาจจะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาสำรวจกันต่อเถอะ!” สมาชิกคนอื่นเรียกร้องด้วยสายตาที่ลุกโชน
ท่ามกลางความทุกข์ทรมานนานกว่าสองสามพันปี นี่คือความหวังที่ใกล้เคียงที่สุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่มีใครยอมปล่อยให้หลุดมือ ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตของตนก็ตาม
โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้าและกล่าว
“อย่าลืมหลักในการสำรวจ พวกเราไม่ควรบุ่มบ่าม…ในเมื่อยืนยันแล้วว่าที่นี่มีเบาะแสที่ช่วยให้พวกเรารอด การจะกลับมาสำรวจเป็นครั้งที่สอง สาม หรือมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว ทีมสำรวจคนอื่นเริ่มสงบลง ก่อนจะขานรับทีละคน
“ครับ ท่านเจ้าเมือง”
ภายใต้คำสั่งของนักล่าปีศาจโคลิน ทีมสำรวจแบ่งออกเป็นทีมย่อยสองถึงสามคน แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสภายในห้องโถง แต่ก็ไม่พบสิ่งมีค่าใดนอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง
แต่แน่นอน คำว่า ‘ไม่มีค่า’ ไม่ได้แปลว่าพวกมันไม่พิเศษ ที่นี่เป็นถึงดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ คบเพลิง หรือเสาหินล้วนเต็มไปด้วยความพิเศษหากนำออกไปยังโลกความจริง และความพิเศษดังกล่าวจะคงอยู่เป็นเวลานาน แต่สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกมันไม่สะดวกที่จะแบกออกไป จึงไม่มีคุณค่าในสายตา
สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังอื่น พวกมันเป็นเพียงภาพของห้องโถงจากมุมด้านข้าง เมื่อนำมารวมกันจะกลายเป็นภาพสามมิติ
หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหา เดอร์ริคและคนที่เหลือกลับมารวมตัวกันและเดินตามเจ้าเมืองไปยังทางออกด้านหลังห้องโถง
ตรงนี้มีประตูสีเทาอมฟ้าหนึ่งบาน
โคลิน·อีเลียดสำรวจบานประตูที่สูงกว่าสิบเมตรอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดขึ้น
“ด้านนอกมีองครักษ์ที่แข็งแกร่ง”
…………………………