Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1118 : ความกลัวของไคลน์

ในอดีต กุหลาบไถ่บาปคือพันธมิตรที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าทวยเทพ…แต่องค์กรเดียวกัน ภายใต้อิทธิพลของเทพสุริยันบรรพกาล พวกท่านกลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบชุมนุมกันภายในวังสนธยา…เทพสุริยันบรรพกาลในอดีตแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน…ไคลน์พ่นลมหายใจอย่างมิอาจควบคุม ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว

ชายหนุ่มย้อนมองดูชุมนุมทาโรต์และพบว่า เมื่อเทียบกับกุหลาบไถ่บาป ชุมนุมของตนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของ ต่อให้นับตัวช่วยที่ทรงพลังอย่างวิล·อัสติน พาลีส·โซโรอาสเตอร์ อะซิก·อายเกส และไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับกุหลาบไถ่บาปในยุครุ่งเรือง

ไม่สิ ต่อให้นับกุหลาบไถ่บาปในยุคปัจจุบัน พวกมันก็ยังเหนือกว่าชุมนุมทาโรต์หลายขุม เพราะผู้นำและประธานการชุมนุมยังเป็นเพียงนักบุญลำดับสี่…ไคลน์จิกกัดตัวเองอย่างมีสมาธิ หันเหความสนใจไปยังทั้งสิบเอ็ดบุคคล

หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ ฉายา และชื่อจริง เราสามารถยืนยันได้ว่าเทวทูตวายุ เทวทูตปัญญา และเทวทูตสีขาว ปัจจุบันคือเทพวายุสลาตัน เทพปัญญาความรู้ และเทพสุริยันเจิดจรัส…พวกท่านทรยศเทพสุริยันบรรพกาลและ ‘แบ่ง’ ร่างของเทพที่ตนเคยรับใช้…เทพสงครามและพระแม่ธรณีคือผู้ที่เหลือรอดมาจากวังราชาคนยักษ์…คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นภรรยา มีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน…ด้วยเหตุนี้ การที่อาณาจักรเฟเนพ็อตไม่ยอมประกาศสงครามกับโลเอ็นเพื่อช่วยจักรวรรดิฟุซัค จึงค่อนข้างแปลก…และน่าสนใจ…

นอกจากนั้น ยืนยันได้แล้วว่าเทพธิดาคืออดีตเทพรับใช้ของราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส…ไม่เพียงพระองค์จะได้ครอบครองอำนาจในขอบเขตรัตติกาลและเถลิงบัลลังก์ลำดับศูนย์สำเร็จ แต่ยังกำจัดทายาทของเฟรเกียจนราบคาบ ผนึกเหล่าเทวทูตตระกูลอันทีโกนัสในแคว้นรัตติกาล แถมยังใช้ร่างของมารดาแห่งผืนนภาเป็นภาชนะในการเสด็จลงมาเยือน…เด็ดขาดมาก…

ในฐานะข้ารับใช้แห่งรัตติกาล ไคลน์เงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ด้วยกังวลว่าความคิดของตนจะเผลอรั่วไหลออกสู่โลกภายนอก

หลังจากเข้าไปในหมู่บ้านสายหมอกและเรียนรู้ว่าตระกูลอันทีโกนัสกับมารดาแห่งผืนนภาเป็นลูกหลานเทพบรรพกาลเฟรเกีย ไคลน์พอจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของเทพธิดารัตติกาลได้อย่างคลุมเครือ เพราะท้ายที่สุด เมืองเงินพิสุทธิ์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ราชาหมาป่าอสูรทำลายล้างถือครองอำนาจในครอบเขตรัตติกาลและมีความสามารถพิสดารมากมาย

เมื่อผนวกกับเรื่องที่ตระกูลอันทีโกนัสถือครองเส้นทางนักทำนาย และมารดาแห่งผืนนภาถือครองเส้นทางรัตติกาล ไคลน์เดาว่าราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เฟรเกีย น่าจะเกิดจากการรวมกันของตะกอนพลังในสองเส้นทางที่ไม่ใกล้ชิดกัน ส่งผลให้เทพบรรพกาลตนนี้เสียสติอย่างหนักจนแทบจะไร้เหตุผล จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวคือการทำลายและกัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง

ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสันนิษฐานว่าเทพธิดารัตติกาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหมาป่าอสูรทำลายล้าง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับในบันทึกการเดินทางของกรอซาย เทพรับใช้ทั้งสองของเฟรเกียได้หายตัวไปหลังจากร่วงหล่น ตนหนึ่งไปเข้ากับต้นตระกูลฟีนิกซ์ ชื่อจริงตรงกับเทพมรณาแห่งยุคสมัยที่สี่ บิดาของมิสเตอร์อะซิก เป็นเหตุให้ไคลน์เชื่อมโยงเทพธิดาแห่งเคราะห์กรรม อมานีซิส เข้ากับเทพธิดารัตติกาล

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล มันจึงไม่อยากวิเคราะห์ลงไปลึกมากนัก รีบเปลี่ยนประเด็นไปทางอื่น

ในตอนที่ได้เห็นชื่อจริงของรัตติกาล ไคลน์ไม่ตกตะลึง แต่เป็นความโล่งใจ เพราะในที่สุดปริศนาก็ไขกระจ่าง นอกจากนั้นยังเพิ่มความยำเกรงในตัวอีกฝ่าย

เป็นเพราะพระองค์ไม่อยากให้เทพบรรพกาลอย่างเฟรเกียคืนชีพ จึงควบคุมเส้นทางนักทำนายอย่างเข้มงวด และป้องกันมิให้ผู้วิเศษที่ไม่ใช่คนของพระองค์เลื่อนลำดับไปได้ไกล?

ใช่แล้ว ในหมู่บ้านยามบ่าย นักบวชผีในเมืองได้พยายามเอ่ยนามใครบางคนที่ ‘ล่อลวง’ เทวทูตมืด ซาสเรีย หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้างและผู้มีอำนาจอันดับสองในดินแดนทวยเทพ แต่นามดังกล่าวไม่ถูกเอ่ยออกมาราวกับถูกลบไปแล้ว…นั่นไม่ใช่อำนาจในขอบเขต ‘ปกปิด’ หรอกหรือ?

หากไม่ใช่สถานที่พิเศษอย่างวังราชาคนยักษ์ เกรงว่าการเอ่ยคำว่า ‘เทพธิดารัตติกาล’ และ ‘อมานีซิส’ พร้อมกันคงเป็นไปไม่ได้ ชื่อดังกล่าวจะถูกลบเลือนหายไป…

กุหลาบไถ่บาปมีประธานสองคน หนึ่งคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และอีกหนึ่งคือเทพธิดา…

นอกจากสถานที่ชุมนุม จุดอื่นล้วนอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการปกปิด…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทพธิดาคือตัวการเบื้องหลังการร่วงหล่นของเทพสุริยันบรรพกาล เริ่มต้นมหาภัยพิบัติ และสิ้นสุดยุคสมัยที่สาม…

เมื่อเทียบกับพระองค์ ไม่ว่าจะอาดัมหรืออามุนด์ต่างก็ยังห่างไกล…

เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเทพแท้จริงอย่างพระองค์จึงตกหลุมพรางของอาดัมจนไม่สามารถแทรกแซงโลกความจริง?

ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดัก แต่พระองค์ก็เดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ เพราะทราบว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง? มีหรือที่เทพธิดาผู้กุมความลับสำคัญ และเป็นหัวหอกที่ทำให้พระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ร่วงหล่น จะเข้าไปในกับดักโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า?

นอกจากนั้น ประโยคที่ว่า ‘สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวคิดของท่าน’ หมายความว่าอย่างไร ‘ท่าน’ คือใคร?

อา…การได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลับเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เราจะย่อยโอสถปราชญ์โบราณทันทีที่ดื่มเข้าไปเลยไหม?

คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ยกมือขวาขึ้น ลูบหน้าผากและบังคับสติให้คิดเรื่องอื่น

นักบวชผีนั่นระเบิดตัวเองขณะกล่าวถึงราชาเทวทูตคนที่สี่…เพราะว่านอกจากสามราชาเทวทูต ที่เหลือล้วนเป็นเทพแท้จริงทั้งหมด?

แต่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์มักจะเอ่ยชื่อบาร์ดไฮเออร์และเฮราเบอร์เก้นบ่อยครั้ง ทำไมถึงไม่เกิดความผิดปรกติกับพวกเขา?

จุดใดที่แตกต่าง?

ราชาเทวทูตที่แข็งแกร่งที่สุด หัตถ์ซ้ายของพระผู้สร้าง ซาสเรีย เหตุใดตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ถึงหายไปกับแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์? อา…หรือว่าท่านกลายเป็นหนึ่งในเทพมารยุคปัจจุบันอย่างพระผู้สร้างแท้จริง ด้านมืดเอกภพ หรือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?

ด้านนอกห้องโถงชุมนุมลับมีเศษเสี้ยวพลังความเสื่อมทราม นั่นคือสิ่งที่ท่านเหลือทิ้งไว้?

จริงสิ…การกำเนิดของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เกี่ยวข้องของกับกุหลาบไถ่บาป…เช่นนั้นแล้ว พระผู้สร้างแท้จริงจะมีท่าทีตอบสนองเช่นไรเมื่อได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้?

ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์มองไปทางอาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์

สตรีผู้นี้กำลังทำหน้าครุ่นคิด คล้ายกับไม่รู้จักชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากนัก รู้จักเป็นเพียงบางคน เช่นเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส

เธอกลายเป็นสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงเนื่องจากได้เห็นภาพจิตรกรรมที่โอโรเลอุสเหลือทิ้งไว้

เดอร์ริค ‘แอบ’ เหล่ไปทางอาวุโสโลเฟียร์ แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติทางสีหน้าของอีกฝ่าย

ในฐานะ ‘เดอะซัน’ แห่งชุมนุมทาโรต์ เดอร์ริครู้จักโลกภายนอกดีที่สุดในหมู่ทีมสำรวจ และเคยได้ยินเกี่ยวกับราชาเทวทูตมานานแล้ว จึงเชื่อว่าราชาเทวทูตทั้งสามน่าจะกลายเป็นเทพแท้จริงในภายหลัง ปัจจุบัน เดอร์ริคแทบไม่ออกอาการตื่นตระหนก มีเพียงสับสนเล็กน้อยและตกใจกับระดับความยิ่งใหญ่ของกุหลาบไถ่บาป

องค์กรลับดังกล่าวทรงพลังกว่าที่มันคิดไว้มาก!

ไม่แปลกใจว่าทำไมพระองค์ถึงร่วงหล่น…เมื่อเข้าใจบางสิ่ง หัวใจเดอร์ริคเริ่มหนักอึ้ง

ขณะเดียวกัน สายตาของเด็กหนุ่มชำเลืองไปเห็นใบหน้าอันซีดเซียวและบิดเบี้ยวของเจ้าเมือง อีกฝ่ายเอาแต่พึมพำบางสิ่ง

“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”

…ตั้งแต่จำความได้ ท่านเจ้าเมืองไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็นขนาดนี้…การชุมนุมของกุหลาบไถ่บาปทำให้เขาเชื่อมโยงกับความจริงที่ว่า พระองค์อาจร่วงหล่นไปแล้วและคงไม่หวนกลับมา? จึงทำใจยอมรับไม่ได้? แต่ท่านเจ้าเมืองน่าจะรู้เรื่องนี้จากเราได้สักแล้ว…ขณะเดอร์ริคตั้งคำถาม มันพบว่าสีหน้าของเจ้าเมืองเริ่มกลับเป็นปรกติ มีเพียงริมฝีปากที่ยังเม้มแน่น

สำหรับสมาชิกคนอื่น คำพูดของนักบวชผีในหมู่บ้านยามบ่ายพลันย้อนกลับมาในความคิด

“ข้าแต่พระองค์ ข้าขอสารภาพว่า…ได้ทำการล่อลวงซาสเรียสมคบคิดกับเหล่าราชาในวังสนธยา…”

“…ข้าค้นพบความจริงในตอนที่สายเกินไป แผ่นดินกำลังจะเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม นองเลือด เน่าเปื่อย ฆ่าฟัน กัดกร่อน และเงามืด…”

“มหาภัยพิบัติกำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่!”

ฮาอิมที่ถือไม้กางเขนเจิดจรัส ใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบสติลงและกล่าวออกมา

“ที่นี่คือวังสนธยา…และคนเหล่านี้คือราชาเทวทูตกับเทพรับใช้จากยุคสมัยที่สอง? พวกท่านสมคบคิดกันสร้างมหาภัยพิบัติ ทำให้พระองค์ต้องทอดทิ้งดินแดน?”

โคลิน·อีเลียดชักดาบสองเล่มออกมาด้านหน้า หมุนตัวครึ่งหนึ่งและพูด

“น่าจะใช่”

“หากพวกเราสืบจนพบต้นตอของปัญหาในตอนนั้น เราอาจมีโอกาสทำให้พระองค์พึงพอใจและหันกลับมาเหลียวแลดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง?” ได้ยินคำตอบจากเจ้าเมือง แอนเทียน่าถามด้วยความกังวล

ในเวลาเดียวกัน คล้ายกับเดอร์ริคมองเห็นร่องรอยความเศร้าในสายตาของเจ้าเมือง จากนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายอืมในลำคอ

“อาจจะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาสำรวจกันต่อเถอะ!” สมาชิกคนอื่นเรียกร้องด้วยสายตาที่ลุกโชน

ท่ามกลางความทุกข์ทรมานนานกว่าสองสามพันปี นี่คือความหวังที่ใกล้เคียงที่สุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่มีใครยอมปล่อยให้หลุดมือ ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตของตนก็ตาม

โคลิน·อีเลียดมองไปรอบตัวอย่างเชื่องช้าและกล่าว

“อย่าลืมหลักในการสำรวจ พวกเราไม่ควรบุ่มบ่าม…ในเมื่อยืนยันแล้วว่าที่นี่มีเบาะแสที่ช่วยให้พวกเรารอด การจะกลับมาสำรวจเป็นครั้งที่สอง สาม หรือมากกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ได้ยินคำพูดดังกล่าว ทีมสำรวจคนอื่นเริ่มสงบลง ก่อนจะขานรับทีละคน

“ครับ ท่านเจ้าเมือง”

ภายใต้คำสั่งของนักล่าปีศาจโคลิน ทีมสำรวจแบ่งออกเป็นทีมย่อยสองถึงสามคน แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสภายในห้องโถง แต่ก็ไม่พบสิ่งมีค่าใดนอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง

แต่แน่นอน คำว่า ‘ไม่มีค่า’ ไม่ได้แปลว่าพวกมันไม่พิเศษ ที่นี่เป็นถึงดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่ว่าจะโต๊ะ เก้าอี้ คบเพลิง หรือเสาหินล้วนเต็มไปด้วยความพิเศษหากนำออกไปยังโลกความจริง และความพิเศษดังกล่าวจะคงอยู่เป็นเวลานาน แต่สำหรับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ พวกมันไม่สะดวกที่จะแบกออกไป จึงไม่มีคุณค่าในสายตา

สำหรับภาพจิตรกรรมฝาผนังอื่น พวกมันเป็นเพียงภาพของห้องโถงจากมุมด้านข้าง เมื่อนำมารวมกันจะกลายเป็นภาพสามมิติ

หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหา เดอร์ริคและคนที่เหลือกลับมารวมตัวกันและเดินตามเจ้าเมืองไปยังทางออกด้านหลังห้องโถง

ตรงนี้มีประตูสีเทาอมฟ้าหนึ่งบาน

โคลิน·อีเลียดสำรวจบานประตูที่สูงกว่าสิบเมตรอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดขึ้น

“ด้านนอกมีองครักษ์ที่แข็งแกร่ง”

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset