ได้ยินคำพูดเจ้าเมือง อาวุโสคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ ตั้งคำถามทันที
“เหมือนกับอัศวินสีเงินสองตนจากทางเข้าวังด้านหน้าใช่ไหม? ที่มันจะไม่โจมตีหากเราไม่เข้าไปในระยะ”
โคลิน·อีเลียดพยักหน้า
“ใช่…ในตอนนี้ล่ะนะ”
ทีมสำรวจอยู่ใกล้ทางออกมาก แต่องครักษ์ด้านนอกกลับยังไม่มีท่าทีตอบสนอง
แปลว่าอีกฝ่ายไม่มีสติปัญญาหรือวิญญาณ และอาจทำงานโดยการถูกกระตุ้น
โดยไม่รอให้สมาชิกคนอื่นพูด นักล่าปีศาจโคลินกล่าวต่อ
“ใหญ่…หนัก…”
หลังจากได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จับกลุ่มกันโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ทีมหนึ่งอยู่ห่างจากทางออก แต่หันหน้าเข้าหาประตู คุ้มกันโดยอาวุโสโลเฟียร์ มีหน้าที่เป็นเหยื่อล่อองครักษ์ อีกทีมหนึ่งรับน้ำมันศักดิ์สิทธิ์บางชนิดมาจากเจ้าเมืองและทาลงบนพื้นใกล้กับประตู ส่วนฮาอิมผู้ถือไม้กางเขนเจิดจรัส และนักล่าปีศาจโคลินคอยหลบอยู่สองฝั่งข้างบานประตูโดยใช้เสาหินเป็นกำบัง
จากนั้น โคลิน·อีเลียดชักดาบออกจากหลังหนึ่งเล่มพร้อมกับหยิบขวดโลหะใบเล็กขึ้นมากระดกดื่ม
ออร่าของมันเลือนรางลงอย่างรวดเร็ว ไม่เด่นชัดเหมือนในตอนแรก หากไม่เพ่งมองอย่างตั้งใจก็ยากจะตระหนักว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้
นี่คือหนึ่งในแผนการ ฮาอิมไม่อำพราง ส่วนนักล่าปีศาจอำพราง
ผ่านไปราวสิบวินาที อาวุโสโลเฟียร์เหยียดแขนขวาออกมาจับอากาศอันว่างเปล่า
ผมสีเทาเงินของเธอถูกย้อมกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
สายลมดังโหยหวนพร้อมกับการเปิดออกของบานประตูสีเทาอมฟ้า
ทันทีหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ห้องโถงทั้งหลังสั่นไหว
คนยักษ์ที่ถือง้าวและสวมเกราะเหล็กปรี่เข้ามาในห้องโถง
ส่วนที่ไม่ถูกเกราะปกปิดปราศจากเลือดเนื้อ ราวกับพวกมันถูกสร้างจากโลหะ ด้านหลังหน้ากากสีดำมีแสงสีแดงสว่าง
หากไม่ได้กำลังขยับเขยื้อน เอาแต่ยืนนิ่ง คงไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น
ตึง! ตึง! ตึง!
ห้องโถงสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งกว่าเก่า ทันใดนั้น รูปปั้นคนยักษ์ทำการขว้างง้าวในมือ เกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนพุ่งมาทางเดอร์ริคและคนอื่นที่กำลังหันหน้าเข้าหาประตู
เปรี้ยง!
ง้าวพุ่งชนบาเรียล่องหนจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมมายา
ด้านหน้าคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ ร่างมายาที่สวมเกราะสีเงินปรากฏขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ร่างดังกล่าวแทงดาบใหญ่ในมือลงไปบนพื้น
ตึง! ตึง! ตึง!
รูปปั้นคนยักษ์ยังไม่หยุดวิ่งเข้ามาในห้องโถง
ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กดังจากใต้ฝ่าเท้าพวกมันจนร่างกายขนาดมหึมาเซไปด้านหลัง
มันเหยียบลงบนจุดที่มีการทาน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ไว้
เมื่อรูปปั้นยักษ์ล้มลง แสงสีแดงในดวงตาพลันสว่างไสว พลังที่มองไม่เห็นบางชนิดช่วยดึงร่างของมันกลับขึ้นมาใหม่
ทันใดนั้น แสงสว่างอันเจิดจ้าพุ่งออกจากไม้กางเขนเจิดจรัส ตรงเข้าใส่ดวงตาเพียงหนึ่งเดียวของคนยักษ์อย่างแม่นยำ
แสงสีแดงเข้มจางลงทันที
นักล่าปีศาจโคลินกระโจนไปในอากาศพร้อมกับถือดาบหนึ่งเล่มด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็พุ่งลงประหนึ่งอินทรีโฉบใส่เหยื่อ
แสงแห่งรุ่งอรุณควบแน่นเคลือบดาบยาวจนมันดูใหญ่เป็นพิเศษ ความยาวโดยรวมมากกว่าส่วนสูงของโคลินเสียอีก
ท่ามกลางเสียง ‘ฉึก’ ดาบที่สว่างไสวแทงทะลุช่องว่างระหว่างชุดเกราะของคนยักษ์ เสียบเข้าไปในดวงตาอย่างแม่นยำ
แสงแห่งรุ่งอรุณพรั่งพรูเข้าไปในร่างกายของมัน
ขณะมือกำด้ามดาบ โคลิน·อีเลียดออกแรงแทงให้ลึกกว่าเดิม จนกระทั่งรูปปั้นยักษ์ล้มลง มันชักดาบกลับและกระโจนไปทางด้านข้าง
รูปปั้นยักษ์นอนแผ่แน่นิ่งหน้าประตู เสียงแตกดังขึ้นจากอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายของมันหยุดนิ่ง
นักล่าปีศาจโคลินไม่หันกลับไปมอง เพียงจ้องออกไปนอกประตูและกล่าวหลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที
“ตอนนี้ยังไม่มีองครักษ์ตนอื่น เราสามารถสำรวจรูปปั้นนั่นได้”
เดอร์ริคและคนที่เหลือเข้ามาล้อมรูปปั้นทันที รีบค้นตัวอย่างชำนาญ
เหนือสายหมอกสีเทา ไคลน์ที่ได้เห็นขั้นตอนทั้งหมด อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความแข็งแกร่งและความสามัคคีของทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์
จากการสังเกตของชายหนุ่ม รูปปั้นยักษ์ตนนี้ทำมาจากโลหะนิรนาม พื้นผิวถูกหุ้มด้วยชุดเกราะซึ่งมีพลังป้องกันเหนือจินตนาการ สามารถรับการโจมตีส่วนใหญ่ได้สบาย ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการได้ยาก
นอกจากนั้น รูปปั้นยักษ์ยังไม่มี ‘วิญญาณ’ กล่าวคือ ไม่สามารถจัดการมันได้ด้วยพลังในขอบเขตที่เกี่ยวข้อง เช่น ‘ควบคุมด้วยวิญญาณ’ ‘สะกดจิต’ ‘โรคประสาท’ และ ‘ฝันร้าย’ ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการเดินดิน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นผลงานของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว
ไคลน์เชื่อว่า หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง เมื่อพลังที่เป็นแก่นสำคัญของจอมเวทพิสดารกลายเป็นหมัน หนทางเดียวคือการพึ่งพาพลังของหุ่นเชิดทั้งสองตัว การต่อสู้จะลงเอยเช่นไรคงมิอาจคาดเดา
พลัง ‘บิดเบือน’ กับ ‘โกลาหล’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยอาจช่วยเราได้มาก แต่คงจัดการได้ไม่เร็วเท่ากับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์…อา…ทีมผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญจะสร้างผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง’ …นอกจากนั้น จังหวะและความมั่นใจในตัวเองของเจ้าเมืองก็เป็นกุญแจสำคัญ…ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาด้วยความชื่นชม
หากนี่เป็นการถ่ายทอดสดของโลกเก่า ชายหนุ่มคงอดไม่ได้ที่จะส่งของขวัญเป็นกำลังใจ
แต่มันก็ทำได้แค่คิด
หลังจากนำของมีค่าออกจากรูปปั้นยักษ์ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เดินตรงไปตามทางเดินด้านนอกจนกระทั่งมาถึงอีกหนึ่งห้องโถง
ในทำนองเดียวกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปตามจุดต่าง ๆ ระหว่างวัง หอคอย และทางเดินอีกหลายแห่งโดยหวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติม รวมถึงทางเข้าทะเลที่ ‘คนนอก’ อย่างแจ็คเล่าให้ฟัง
ไม่ว่าพวกมันจะเชื่อคำพูดของเด็กชายหรือไม่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังถึงทะเลสีครามด้านหลังวังราชาคนยักษ์ คาดหวังว่าอีกฟากฝั่งของทะเลมีอาณาจักรที่เต็มไปด้วยมนุษย์ ปราศจากสัตว์ประหลาดในความมืด มีดวงอาทิตย์ขึ้นและตก สายฟ้าจะโผล่ออกมาเฉพาะตอนที่ฝนโปรย ผู้คนอิ่มหนำสำราญไปกับอาหาร
ระหว่างนี้ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เผชิญหน้ากับศัตรูไม่มากนัก เกือบทั้งหมดเป็นรูปปั้นที่กลับมามีชีวิต บางส่วนเป็นวิญญาณมารที่เกิดจากการผสานระหว่างจิตตกค้างและออร่าสนธยา โดยรายหลังถูกขจัดอย่างง่ายดายด้วยไม้กางเขนเจิดจรัส
“ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร…” เดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอกพยักหน้าแผ่วเบา ไม่แสดงความประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เพราะหลังจากราชาคนยักษ์ร่วงหล่น สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนในการปกครองของเทพสุริยันบรรพกาล ไม่น่าจะมีสมบัติหรือคนยักษ์ที่แข็งแกร่งหลงเหลือ…โดยเฉพาะเมื่อเหล่าราชาเทวทูตใช้เป็นสถานที่สมคบคิด ปัญหากวนใจย่อมต้องถูกเก็บกวาดเป็นธรรมดา…แต่หลังจากเทพสุริยันบรรพกาลถูก ‘กิน’ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครคือเจ้าของวังสนธยา…หรือบางทีอาจถูกทิ้งร้างไว้เฉย ๆ …
สรุปโดยสั้น ทีมสำรวจไม่น่าจะได้พบกับศัตรูในระดับครึ่งเทพหรือสมบัติวิเศษที่ทรงพลัง…อา…แต่ถ้าไม่มีไม้กางเขนเจิดจรัส วิญญาณมารเหล่านั้นก็รับมือได้ไม่ง่ายเช่นกัน ยากที่จะสำรวจไปข้างหน้าหากปราศจากเทวทูตมานำทีม หรือไม่ก็ต้องนำสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ออกปฏิบัติการ…
เมื่อไม้กางเขนเจิดจรัสกลับมาอยู่กับเดอร์ริค ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ขยับเข้าใกล้อาคารที่สูงที่สุดในวังราชาคนยักษ์
แสงสนธยาที่นี่เข้มข้นมาก ราวกับมาจากวังดังกล่าว
“ถ้าออกจากห้องโถงนี้ไป พวกเราน่าจะถึงส่วนข้างของสถานที่พำนักราชาคนยักษ์” น่าล่าปีศาจโคลินสำรวจทิศก่อนจะเหยียดนิ้วไปด้านหน้า
คนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ผงกศีรษะรับ ใบหน้าเผยเศษเสี้ยวความหวัง
หัวใจเดอร์ริคดังระรัวราวกับมิอาจควบคุมความตื่นเต้น ต้องเดือดร้อนแอนเทียน่าช่วยใช้ปลอบโยนเพื่อทำให้กลับมาเป็นปรกติ
หลังจากทุกคนปรับอารมณ์เสร็จ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าและได้พบกับวัตถุคล้ายภาพวาดสีน้ำมันถูกแขวนบนผนังทั้งสองฝั่ง
‘ภาพวาดสีน้ำมัน’ เหล่านี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนยักษ์ที่แตกต่างออกไป บ้างถือขลุ่ยกระดูก บ้างถือกระดิ่งลม และบ้างถือพิณประหลาดเจ็ดสายที่เหมาะกับความสูง
หลังจากสมาชิกทีมสำรวจมาถึง คนยักษ์ในภาพวาดสีน้ำมันมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน พวกมันเริ่มบรรเลงเครื่องดนตรีจนเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ
แสงสนธยาในห้องโถงสว่างขึ้นเล็กน้อย อาหารจำนวนมากปรากฏขึ้นบนโต๊ะยาวที่วางเรียงราย ทุกจานเปล่งประกายและเย้ายวนใจอย่างยิ่ง
ไก่ย่าง…ห่านย่าง…ปลาทาน้ำผึ้ง…นี่คืองานเลี้ยงของวังราชาคนยักษ์? แต่ขนาดของไก่ ห่าน แพะ และปลาไม่ใหญ่ไปหน่อยหรือ…เป็นฝีมือของเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว? เพียงชำเลือง ไคลน์ยืนยันได้ว่าอาหารทั้งหมดเป็นภาพลวงตา เพราะวังราชาคนยักษ์ไม่น่าจะมีวัตถุดิบประกอบอาหารหลงเหลืออยู่ รวมถึงไม่มีคนที่สามารถ ‘จินตนาการ’ หรือสร้างพวกมันให้สมจริง
“นี่คือ…อาหารปรกติ?” ฮาอิมที่กำลังถือเทพสายฟ้าคำราม จ้องไปทางโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง
“คงใช่…” เดอร์ริคสูดกลิ่นและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
นอกจากหญ้าผิวดำ พวกมันไม่เคยเห็นอาหารทั่วไปมาก่อน เนื้อที่เกิดจากการย่างศพสัตว์ประหลาดจะมอบสีสันที่แตกต่างกัน แต่รสชาติห่วยแตกเหมือนกันหมด แถมยังเป็นพิษกับร่างกาย
นักล่าปีศาจโคลินจ้องสักพักก่อนจะถอนหายใจ
“พวกมันเป็นของปลอม อย่าแม้แต่จะสัมผัส ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
นอกจากโลเฟียร์ ทีมสำรวจทุกคนถอนสายตาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เดินตามเจ้าเมืองไปจนกระทั่งออกจากห้องโถง
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด โคลิน·อีเลียดปักดาบลงในดินและผลักประตูหนักให้เปิดออก
ช่องว่างขยายใหญ่ขึ้น แสงสีส้มเข้มข้นลอดผ่านจากด้านนอก
ยิ่งช่องว่างขยายใหญ่ ภาพของพระราชวังสูงตระหง่านก็ยิ่งแจ่มชัด
จากนั้น ทุกคนในทีมสำรวจได้ยินเสียงบางสิ่งถูกปะทะ
โคลินชักดาบยาวออกมาสยบความตึงเครียดภายในใจสมาชิกทีม
ตามด้วยการชักดาบอีกหนึ่งเล่มและเดินออกจากห้องโถงอย่างไม่รีบร้อน เดอร์ริคและคนที่เหลือตามหลังไปด้วยความระมัดระวัง
ทันทีที่ร่างกายอาบแสงสนธยาโดยสมบูรณ์ พวกมันมองไปทางซ้ายโดยพร้อมเพรียง และพบกับราวกั้นที่ทำจากเสาหิน
เหนือราวกั้นออกไปไกลมีเมฆสีส้มแดงที่ลอยตัวบนท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางทุ่งกว้างสีน้ำเงินเข้มอันไร้ขอบเขต เสียงปะทะของบางสิ่งดังขึ้นตลอดเวลา
โดยไม่ต้องกล่าวคำใด สมาชิกทีมสำรวจทุกคนต่างนึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือและคำอธิบายของเด็กชายแจ็ค คำคำหนึ่งผุดขึ้นในหัวทันที
“ทะเล”
…………………………