ฉากสีน้ำเงินเข้มอันไร้ขอบเขตของทะเลที่กระเพื่อมแผ่วเบาคล้ายกับภายในนั้นเต็มไปด้วยชีวิตมากมาย กำลังปรากฏสู่สายตาทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงการรับรู้จากตำนานในหนังสือหรือถ้อยคำจากคนนอก
แม้ว่าจะอยู่ใกล้มาก แต่รู้สึกราวกับสัมผัสได้
แอนเทียน่าเจ้าของผมสีไวน์แดงยืนมองด้วยท่าทีเหม่อลอย เธอเปิดปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็พูดได้เพียง
“ทะเล…”
ทันทีที่กล่าวจบ รอยแยกสีเงินผุดขึ้นกึ่งกลางหน้าผากของเธอ
รอยแยกแตกเป็นทางยาวอย่างรวดเร็ว แบ่งร่างแอนเทียน่าออกเป็นสองซีกซ้ายขวา เลือดสีสว่างและอบอุ่นพรั่งพรูออกจากรอยแตก สาดกระจายเต็มใบหน้าเดอร์ริค
วินาทีถัดมา เส้นแสงสีเงินจำนวนมากส่องออกจากร่างแอนเทียน่า หั่นร่างของหญิงสาวให้กลายเป็นเศษเนื้อ
ใบหน้าที่เปี่ยมความหวังและโหยหา แตกละเอียดราวกับจิ๊กซอว์และโปรยปรายลงบนพื้น
โคลิน·อีเลียดตอบสนองเมื่อสาย เหวี่ยงดาบยาวเล่มหนึ่งในแนวนอน อีกเล่มในแนวเฉียง ราวกับกำลังฟาดฟันศัตรูล่องหน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
แสงสีเงินส่องประกาย เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง แสงแห่งรุ่งอรุณที่ห่อหุ้มร่างกายโคลิน·อีเลียดเริ่มแตกกระจัดกระจายไปทุกทิศ
พร้อมกันนั้น อัศวินมายาด้านหลังคนเลี้ยงแกะโลเฟียร์ ก้าวไปข้างหน้าและแทงดาบยักษ์มายาปักลงบนพื้น
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! รอบตัวชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ บางสิ่งพยายามทำลายบาเรียล่องหน คล้ายกับแมลงที่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังภายในอำพัน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
แสงสีเงินเส้นใหญ่ บางครั้งก็เส้นบาง ปรากฏขึ้นรอบตัวทุกคนอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับบาเรียผู้พิทักษ์ที่กำลังปกป้องทีมสำรวจพร้อมจะพังลงในทุกเมื่อ แต่ทั้งโคลินและโลเฟียร์ก็ยังหาศัตรูไม่พบ
ขณะเดอะฟูล ไคลน์บนมิติหมอกเตรียมช่วยบอกใบ้ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ฉุกคิดบางสิ่งได้และนำดาบทั้งสองเล่มมาไขว้กันด้านหน้า
เคร้ง!
แสงสีเงินเส้นหนาฟาดลงมายังกึ่งกลางดาบทั้งสองเล่ม ส่งผลให้ข้อเท้าของนักล่าปีศาจโคลินจมลึกลงไปในพื้นหิน
มันอาศัยจังหวะดังกล่าวคำราม
“เขตแดนเจิดจรัส!”
ได้ยินคำสั่งของเจ้าเมือง เดอร์ริคไม่ลังเลที่จะนำหนามบนไม้กางเขนแทงใส่นิ้ว
ทันทีที่เลือดไหลซึม แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์แผ่ขยายออกไปทุกทิศจนปกคลุมทุกซอกมุมของที่ว่างระหว่างอาคารสองหลัง
บริเวณดังกล่าวปราศจากเงาโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่ให้หลบซ่อน แสงสว่างคือผู้มีอำนาจสูงสุดในละแวกนี้
ร่างกายขนาดมหึมาถูกวาดขึ้นด้านข้างวังราชาคนยักษ์ ‘มัน’ สวมเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก สูงเกือบห้าเมตร แต่ด้านหลังเกราะหมวกไม่ใช่จุดแสงสีแดงหรือสีส้ม หากแต่เป็นดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวง
นี่คือคนยักษ์ คนยักษ์ที่ยังมีชีวิต
มันทำการโจมตีทั้งที่ทีมสำรวจยังไม่ได้เข้าไปในเขตคุ้มครอง ตีความได้ว่ามันมีสติปัญญา
เกราะแขนของยักษ์ตนนี้แตกต่างจากอัศวินเกราะเงินตนอื่น มันมีลวดลายพิเศษ ตำแหน่งแรกอยู่ด้านขวา สีแดงเลือด ลวดลายวนรอบข้อมือ ตำแหน่งที่สองอยู่ด้านซ้าย เป็นจุดสีดำกระจายตัว
อัศวินยักษ์ยกดาบใหญ่ในมือขึ้นมาชี้ทีมสำรวจ กล่าวด้วยเสียงกึกก้อง
“กล้าดียังไงถึงบุกรุกวังราชาและรบกวนการหลับใหลของท่านลอร์ดซาสเรีย!”
ซาสเรีย? เทวทูตมืด ซาสเรีย? เดอะฟูล ไคลน์บนมิติสายหมอก เกิดความตกตะลึงจนต้องนั่งตัวตรง
อดีตหัตถ์ซ้ายแห่งเทพ ผู้ปกครองอันดับสองของดินแดนทวยเทพ ผู้นำแห่งราชาเทวทูต และหนึ่งในสองผู้นำของกุหลาบไถ่บาป แท้จริงแล้วท่านไม่ได้หายไปกับแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ แต่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกของวังราชาคนยักษ์? ทำไมถึงเลือกจะหลับใหล? ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์ โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มชำเลืองไปทางวังที่อัศวินยักษ์คอยคุ้มกัน
อาคารดังกล่าวทั้งสูงและอลังการที่สุดในวังราชาคนยักษ์ คล้ายกับแสงสนธยาก่อตัวกลายเป็นชั้นวัตถุและปกคลุมพื้นผิวเอาไว้ มอบความรู้สึกหม่นหมองอย่างชัดเจนประหนึ่งยามสนธยาใกล้สิ้นสุดลง แทนที่ด้วยค่ำคืนอันเป็นนิรันดร์
ฝั่งหนึ่งเป็นยอดแหลม อีกฝั่งหนึ่งเป็นยอดหอคอย ทางเข้าหลักเป็นบานประตูคู่สีเทาน้ำเงิน สูงกว่าสิบเมตร เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ เครื่องหมาย และลวดลายสมมาตรที่ลึกลับและเป็นระเบียบ
บนบานประตูฝั่งซ้ายสูงจากพื้นสามถึงสี่เมตร มีช่องว่างสีดำขนาดใหญ่ประหนึ่งกำปั้นมนุษย์โตเต็มวัย
ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์หวนนึกถึงภาพที่เคยเห็นจากการทำนายฝันเมื่อครั้งอดีต โดยสื่อกลางที่ใช้ทำนายในคราวนั้นคือกุญแจคนยักษ์ซึ่งยืมมาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า
นั่นคือกุญแจสำหรับเปิดประตูวังราชาคนยักษ์? ไคลน์เหยียดแขนออกไป พยายามใช้ตาทิพย์เพื่อมองเข้าไปในตัวตึก
น่าเสียดายที่ล้มเหลว กุญแจเหล็กสีดำขนาดเท่าพิณลอยมาตกอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
ขณะเดียวกัน นักล่าปีศาจโคลินที่เห็นว่าอัศวินยักษ์ยังไม่โจมตีเข้ามา ตัดสินใจเปิดปากพูด
“ท่านคือผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา?”
ดาบใหญ่ในมืออัศวินยักษ์มิได้ทำการฟาดฟัน มันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงทุ้ม
“แม้จะผ่านไปนาน แต่กลับยังมีคนจำจดผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาได้…ถูกต้อง ข้าคือหัวหน้าผู้ไล่ล่าทั้งปวง ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน ในภายหลังคอยติดตามรับใช้ท่านลอร์ดซาสเรีย…ในอดีตเคยล่ามังกรที่แข็งแกร่ง เอลฟ์ ปีศาจ หมาป่าอสูร และฟีนิกซ์…ในวันนี้ พวกเจ้าได้รับเกียรติให้ตายภายใต้คมดาบของข้า”
ผู้พิฆาตแสงรายนี้มิได้ลดท่าทีคุกคามลง ร่างกายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย สองมือจับดาบยาวแน่นกระชับ จากนั้นก็ปรี่เข้าหาทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ด้วยบรรยากาศประหนึ่งอุกกาบาตทางเรียบ
เนื่องด้วยอำนาจแห่งไม้กางเขนเจิดจรัส มันมิอาจซ่อนตัวได้อีกต่อไป
ขณะที่ทีมสำรวจคำนวณว่าดาบใหญ่ของอัศวินยักษ์จะพุ่งมาถึงในอีกหนึ่งวินาที เมิร์สกอร์กอนชะงักฝีเท้าพร้อมกับสับดาบลงล่วงหน้า
โคลิน·อีเลียดซึ่งมิได้อยู่ในวงแหวนบาเรียของโลเฟียร์เหมือนคนอื่น เมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคาม มันรีบกระโดดไปด้านข้างโดยไม่ลังเล
บึ้ม!
ในจุดที่มันเคยยืน เส้นแสงสีเงินอันแหลมคมปรากฏขึ้นพร้อมกับทำลายทุกสิ่งจากภายในสู่ภายนอก
เป็นการโจมตีที่แปลกประหลาด คล้ายกับเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน ร่างกายโคลิน·อีเลียดซึ่งกำลังย่อตัวลงบนพื้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าฉีกขาดเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ขยายใหญ่
เพียงพริบตา นักล่าปีศาจแปลงร่างกลายเป็นคนยักษ์ตัวสีเทาอมน้ำเงิน สูงสี่เมตร กึ่งกลางหน้าผากมีรอยแยกสีเข้ม ทุกส่วนของร่างกายแผ่กลิ่นอายความน่าเกรงขามและความลึกลับอันไร้จุดสิ้นสุด รวมถึงพลังวิญญาณที่แปลกประหลาด
หากผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าสี่ได้เห็นฉากนี้ จิตใจจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก สมองปวดแปลบประหนึ่งถูกเหล็กเสียบกวน ร่างวิญญาณถูกกัดกร่อนและปนเปื้อน หากมิอาจทนต่อความเจ็บปวด ชะตากรรมคือภาวะคลุ้มคลั่งและเสียสติ หรือเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือตายคาที่
ร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ของครึ่งเทพ
เดิมที โคลิน·อีเลียดไม่ต้องการใช้ร่างสัตว์ในตำนาน เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของแสงสนธยา แต่ปัจจุบัน มันพบว่าหากเป็นภายในเขตแดนเจิดจรัส อิทธิพลด้านความเสื่อมโทรมจะบรรเทาลงมาก
สองมือถือดาบยาวสองเล่มที่ขยายใหญ่ขึ้นจากผลของแสงรุ่งอรุณ โคลินต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนภายในเขตแดนที่แสงสว่างเป็นใหญ่เหนือเงา
เคร้ง เคร้ง!
ดาบสามเล่มของคนยักษ์สองตนปะทะกันและแยกจากอยู่หลายยก แม้โคลิน·อีเลียดจะตกเป็นรอง แต่ยังสามารถต้านทานการโจมตีจากหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา
ในบางครั้งที่มันสัมผัสถึงอันตราย โคลินไม่ลังเลที่ม้วนตัวกลิ้งเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
โดยหลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียว จุดที่มันเคยยืนจะถูกฟันด้วยเส้นแสงสีเงินและเกิดเป็นความพินาศจากภายใน
เดอร์ริคปิดตาสนิท แต่ก็ยังรักษาเขตแดนเจิดจรัสโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลรินจากปลายนิ้ว ส่วนฮาอิมและอัศวินรุ่งอรุณอีกหนึ่งคนเองก็ไม่กล้าลืมตาขึ้น ทำได้เพียงคอยช่วยเหลือคนเลี้ยงแกะ โลเฟียร์ พาทีมสำรวจเคลื่อนตัวทีละนิดไปทางวังใกล้ ๆ โดยไม่ออกจากบาเรียคุ้มครอง
หากไม่มีความช่วยเหลือจากวิญญาณมารอัศวินเกราะเงิน ทุกคนคงถูกสับเป็นเศษเนื้อท่ามกลาง ‘พายุแสง’ ที่พัดกวาดไปทั่วสนามรบ
ลำพังผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนเพียงคนเดียว ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับชนิดที่มิอาจตอบโต้กลับไป
สมแล้วที่เป็นหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา คงแข็งแกร่งที่สุดหากไม่นับเทพรับใช้…เมื่อเทียบกับนักล่าปีศาจ อัศวินสีเงินมีพลังพิเศษที่หลากหลายและน่ากลัวกว่ามาก…เดอะฟูล ไคลน์ บนมิติหมอกเสกคทาเทพสมุทรมาถือและเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างไม่ประมาท
มันค้นพบจุดแข็งของผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอนอย่างรวดเร็ว
ประการแรก พลังป้องกันตัวในรูปแบบชุดเกราะสีเงินเต็มอัตราศึก ประการที่สอง สามารถซ่อนตัวจากแสงสว่างและปกปิดจิตสังหาร ประการที่สาม ‘ดาบรุ่งอรุณ’ ที่ควบแน่นเป็นเวลานานจนสามารถใช้งานได้แทนดาบจริง คมกริบ แถมยังมีพลังชำระล้าง ประการที่สี่ สามารถสร้าง ‘เส้นดาบสีเงิน’ ซึ่งโจมตีระยะไกล ข้ามสิ่งกีดขวางได้เกือบทุกชนิด โจมตีใส่เป้าหมายได้โดยไม่ต้องเคลื่อนที่ แถมการก่อตัวของ ‘เส้นดาบสีเงิน’ ก็ยังแทบจะไร้ร่องรอย ยากจะคาดเดาล่วงหน้า…
สรุปโดยสั้น อัศวินสีเงินคือนักบุญที่แข็งแกร่งอย่างมากในการประจันหน้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์มีประสบการณ์สูง สัญชาตญาณเฉียบแหลม และชำนาญการควบคุมร่างสัตว์ในตำนาน เขาคงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติไปแล้ว เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษเส้นทางเดียวกันที่มีลำดับสูงกว่า…ถ้าเปลี่ยนเป็นเราคงโดนตัดหัวไปนานแล้ว แต่แน่นอน เราจะไม่ดวลกับผู้ไล่ล่าแห่งวังราชาซึ่งหน้า…
พิจารณาจากสถานการณ์ เนื่องจากวิญญาณมารต้องคอยปกป้องโลเฟียร์ หมดสิทธิ์เข้าไปช่วยต่อสู้แน่นอน…ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะแม้แต่น้อย…พวกเขากำลังล่าถอยอย่างใจเย็น ชาญฉลาดมาก…ถ้าเห็นท่าไม่ดี เดอะฟูลคงต้องส่งสายฟ้าลงไปสนับสนุน…แต่พระผู้สร้างแท้จริงอาจเฝ้ามองฉากนี้อยู่…‘พายุสายฟ้า’ ของเราไม่รุนแรงพอที่จะปิดฉากเมิร์สกอร์กอนในพริบตา…ท่ามกลางกระแสความคิดที่พรั่งพรู ไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติ
นั่นก็คือ เหตุใดเมิร์สกอร์กอนซึ่งไม่ใช่เทวทูต ถึงมีอายุยืนยาวนับตั้งแต่ปลายยุคสมัยที่สองจวบจนปัจจุบัน? ชายคนนั้นไม่ใช่แม่มด แวมไพร์ หรืออมรณาสักหน่อย!
และเมื่อพิจารณาจากความมีสติและพลังที่ใช้ในการต่อสู้ ตะกอนพลังของเมิร์สกอร์กอนมิได้ถูกผสานเข้ากับเส้นทางอื่น
…………………………