แปะ!
เหรียญทองร่วงหล่นบนฝ่ามือไคลน์ แต่ชายหนุ่มมิได้หันไปมองว่าเป็นหัวหรือก้อย เพราะสายตากำลังถูกปกคลุมด้วยนิมิตลางสังหรณ์
ต้มไม้ใหญ่เด่นตระหง่านท่ามกลางพุ่มไม้ เมฆแผ่นบางบนท้องฟ้าสูงที่มิอาจบดบังดวงดาวอันพร่างพรายท่ามกลางผืนกำมะหยี่สีดำ เสียงมวลหมู่แมลงก้องกังวานภายในค่ำคืนอันเงียบสงบ ผสมผสานกับเสียงระเบิดสองครั้งภายในคฤหาสน์กวางมูส
อาศัยความรู้ในเชิงโหราศาสตร์ มันพิจารณาถึงตำแหน่งของฉากอย่างคราว จากนั้นก็เปลี่ยนให้ร่างกายโปร่งแสงไปโผล่ข้าง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จากนั้นก็คว้าไหล่
ในระหว่างนี้ไคลน์เรียกหนอนแมลงโปร่งใสที่ฝังในตัวหนูสีเทาและแมลงกลับคืน จากนั้นก็ติดการเชื่อมต่อแบบ ‘สองทิศทาง’ ด้วยด้ายวิญญาณออก
เพียงหนึ่งถึงสองวินาที มันพาเอ็นยูนหายตัวไปโผล่ในคฤหาสน์กวางมูสที่กำลังโกลาหล ปลายทางลงจอดคือตำแหน่งในนิมิตลางสังหรณ์
ที่นี่ตรงตามผลการทำนายที่ได้รับ เงียบสงัด สามารถได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้และพุ่มไม้
ด้ายมายาสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นในใจไคลน์ เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในละแวกใกล้เคียง
ทว่า ด้ายวิญญาณมีจำนวนมากเกินไป เกินกว่าหลักหลายสิบ หากไคลน์ต้องไล่ค้นหาทีละหนึ่ง เกรงว่าจะเสียเวลาไปมาก
อย่างไรก็ตาม มันไม่รีบร้อน เพราะอย่างน้อยก็ยืนยันได้หนึ่งเรื่อง:
ตราบใดที่ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมรายดังกล่าวมิได้พกพาสมบัติวิเศษระดับสูง ผลการทำนายของไคลน์ก็ควรจะแม่นยำ เพราะหลังจากกลายเป็นจอมเวทพิสดาร ไม่เพียงพลังทำนายจะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ แต่การแทรกแซงของมิติหมอกบนโลกความจริงก็ยิ่งรุนแรง ผนวกสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน แม้จะไม่ได้อยู่บนมิติเหนือสายหมอก แต่พลังทำนายก็จะไม่ด้อยไปกว่านักบุญ ไม่ด้อยไปกว่าลำดับเดียวกันของเส้นทางโชคชะตา และนอกจากนั้น สภาพของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมก็ยังไม่สู้ดีนัก ความแข็งแกร่งลดทอนลงไปหลายส่วน
ดังนั้น ไคลน์จึงเชื่อว่าอีกฝ่ายกำลังซ่อนตัวภายในป่าเล็กๆ ที่มีพุ่มไม้เตี้ยแห่งนี้ หมดสิทธิ์หนีพ้น
ส่วนวิธีรับมือ มันเชื่อว่าการรอคอยอย่างอดทนคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมค่อนข้างอ่อนแอและไม่เสถียรเป็นทุนเดิม แทบจะคลุ้มคลั่งเต็มที ยิ่งต้องเผชิญการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่ แถมยังต้องทิ้งร่างหนูยักษ์ สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลง ไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก ในไม่ช้าก็เร็วต้องเผยปัญหาออกมา ไคลน์สามารถรอได้ แต่อีกฝ่ายรอไม่ได้
ท่ามกลางเสียงกังวานของแมลง ไคลน์อดทนอย่างใจเย็น เริ่มเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวให้เป็นหุ่นเชิด ขณะเดียวกันก็นำ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนออกจากพื้นที่ ซ่อนตัวในจุดที่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร ส่วนร่างต้นคอยป้องกันตัวเองจากการถูก ‘เข้าควบคุมด้ายวิญญาณ’ เพราะยังไม่ลืมว่าศัตรูได้ขโมยพลังดังกล่าวไปจากเอ็นยูน
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงหอบที่ราวกับดังมาจากส่วนลึกของวิญญาณ
แทบจะในพริบตา เสียงคล้ายคนเสียสติดังมาจากต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
“ทำไมต้องบีบคั้นข้า… ทำไมเจ้าต้องบีบคั้นข้า… ทำไมเจ้าต้องบีบคั้นข้า!”
ขณะเกิดเสียงหวีดแหลม เปลือกไม้ของต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าพลันร่วงหล่น เผยให้เห็นเนื้อไม้ที่กำลังแตก กลุ่มก้อนหนอนประหลาดที่มีเจ็ดถึงแปดปล้องคลานออกจากรอยแยกทีละหนึ่ง
แต่ละปล้องที่โปร่งใสมีลวดลายนูนขึ้นมา ดูคล้ายกับกระแสเวลากำลังไหลเวียน
ทันใดนั้น ไคลน์พลันสูญเสียความคิดทั้งหมด สูญเสียพลังพิเศษอย่างปืนใหญ่อัดอากาศ กระดาษคนตัวแทน สูญเสียเข็มขัด เสื้อนอก หมวก ราวกับกลายเป็นรูปปั้นก้อนเนื้อ
ทว่า สำหรับหุ่นเชิด นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะมันไม่มีความคิด และพลังที่สูญหายไปสามารถแทนที่ได้จากหนอนแมลงตัวใหม่
ถูกต้อง ในวินาทีที่ไคลน์ได้ยินเสียงหอบ มันสลับตำแหน่งกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน!
และผู้ชนะรายนี้ไม่ต้องกังวลว่ากางเกงจะหลุดเพราะเข็มขัดหาย เพราะบริเวณเอวของมันก็ยังอยู่ในรัศมีพลังของผู้ไร้หน้า รอบเอวจึงพองออกเพื่อทำให้กางเกงคับและไม่ร่วงหล่น
ขณะเดียวกัน หุ่นเชิดแมลงและหนูเริ่มคลานออกมาจากที่ต่างๆ รายล้อมต้นไม้ใหญ่ที่กำลังกลายพันธุ์
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากที่ใดก็มิอาจทราบได้
“ใจเย็นก่อน อย่าเดือดดาล ทุกสิ่งกำลังจะดีขึ้น”
เสียงดังกล่าวเปี่ยมไปด้วยพลังการโน้มน้าว การกลายพันธุ์ต้องต้นไม้ใหญ่หยุดชะงักทันที หนอนแมลงที่เจาะออกมาทีละตัวค่อยๆ หดกลับ
“จริงหรือ?” ภายในต้นไม้ใหญ่ที่เปลือกร่วงหล่น เสียงของความแค้นและขุ่นเคืองกลับสู่ความสงบ เจือความสับสนเล็กน้อย คล้ายกับถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
สำหรับไคลน์ มันรู้สึกว่าคำพูดดังกล่าวสมเหตุสมผล อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองว่า ทำไมตนต้องพยายามบีบคั้นให้ครึ่งเทพตนดังกล่าวคลุ้มคลั่ง
มันรู้สึกเหมือนตัวเองหลงลืมไปบางสิ่ง ลืมว่าทำไมถึงต้องถ่อมายังคฤหาสน์หลังนี้
ถัดมา มันเห็นร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกเขตพุ่มไม้ หัวเราะพลางยิ้ม
“ใจเย็นก่อน… ข้ามีวิธีหยุดการคลุ้มคลั่งของเจ้า ขอเพียงทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด”
ร่างดังกล่าวสวมเสื้อกันฝนสีดำตัวใหญ่จนดูเหมือนผ้าคลุม เข้าชุดกับกางเกงและรองเท้าสีดำ หน้าผากเถิกกว้าง ใบหน้าผอมเพรียว สวมหมวกทรงสูงและแว่นตาขาเดียวที่ไม่เหมือนใคร ดูสง่างามเหนือคำบรรยาย
ดวงตาไคลน์แข็งค้างทันที ภายในใจพลังระเบิดความคิด:
อามุนด์!
ตัวตนที่อยู่ตรงหน้ามันคือ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ‘ราชาเทวทูต’ และ ‘บุตรแห่งพระผู้สร้าง’ !
แม้จะทราบว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ร่างโคลน แต่ไคลน์ก็ไม่มัวคิดให้เสียเวลา รีบทำตามเสียงเรียกร้องจากหัวใจ อาศัยความช่วยเหลือของยุบพองหิวโหย เปลี่ยนร่างกายตัวเองให้โปร่งใส
ระหว่างนั้น ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนดีดนิ้วเพื่อจุดไม้ขีดไฟในกระเป๋าเสื้อ รวมถึงจุดไฟเศษใบไม้ข้างๆ ร่างต้น อาศัยพลังกระโจนเพลิงเพื่อหายตัวมายืนข้างไคลน์
ไคลน์รีบคว้าไหล่ พาหายตัวไปพร้อมกัน
ตามความคิดของชายหนุ่ม หากอามุนด์เข้ามาขัดขวาง หรือเอ็นยูนกลับมาได้ไม่เร็วพอ มันไม่ลังเลเลยที่จะสละหุ่นเชิดและ ‘ท่องเที่ยว’ ไปไกลๆ ตามลำพัง
ในสถานการณ์เช่นนี้ การสูญเสียหุ่นเชิดเพื่อแลกกับชีวิต ถือว่าคุ้มค่ามากในเชิงมูลค่า!
โชคยังดี ความสนใจของร่างโคลนอามุนด์มุ่งเน้นไปที่ต้นไม้เปลือกหลุด ไม่ได้คิดจะหยุดไคลน์ หรืออาจหยุดไว้ไม่ทัน
หลังจากที่ไคลน์และหุ่นเชิดหายตัว อามุนด์ชะงักเล็กน้อย มองไปทางด้านข้างที่อีกฝ่ายเคยยืน พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเย้ยหยัน
“จอมเวทพิสดารของรัตติกาล”
มันถอนสายตากลับทันที มองไปยังต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ ยิ้มและถาม
“ทายาทของเจคอป?”
“ช….ใช่แล้ว… เจ้ารู้จักบรรพบุรุษของข้าด้วยหรือ?” ภายในต้นไม้ใหญ่ ครึ่งเทพหนูยักษ์ถามด้วยน้ำเสียงมีหวังประหนึ่งคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ทัน
อามุนด์ยกมือแตะคาง พยักหน้าแผ่วเบาจนแทบมองไม่เห็น
“แน่นอน… พวกมันอร่อยมาก”
ทายาทเจคอปบนต้นไม้ใหญ่เงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะตะโกนด้วยความกลัวในอีกไม่กี่อึดใจ
“จ…เจ้าคือ… ผู้เย้ยเทพ… อามุนด์!”
ภายในรูบนเปลือกไม้ หนอนแมลงตัวปล้องเริ่มคลานออกมาอีกครั้ง
ทว่า พวกมันแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว แน่นิ่งอยู่กับที่
อามุนด์ใช้นิ้วจับขอบบนและขอบล่างของแว่นตาขาเดียว ยิ้มและกล่าว
“สายเกินไปแล้ว… ใช่ไหมล่ะ? หากเจ้าต่อสู้และพยายามขัดขืนในตอนแรก นั่นยังพอจะมีประโยชน์… แต่สำหรับตอนนี้ เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะมาที่นี่ด้วยตัวเองสินะ?”
กล่าวจบ พุ่มไม้โดยรอบสั่นสะเทือนทันที ใบไม้ปลิวไสวไปมา เหล่านกรีบกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้พร้อมกับร้องเสียงแหลม แม้กระทั่งสายลมเย็นยามค่ำคืนก็ยังมอบบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย
“นี่เจ้า…” ทายาทเจคอปบนต้นไม้กลายพันธุ์ ชะงักคำพูดกลางคัน
อามุนด์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันฝน ยิ้มและกล่าว
“ข้าได้ยินมาว่า ตระกูลของเจ้าถูกแบ่งเป็นครอบครัวเล็กๆ และอาศัยแยกกันโดยสิ้นเชิง พยายามไม่จับกลุ่มใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงข้า? อา… จริงสิ… พวกเจ้าและทายาทโซโรอาสเตอร์แอบร่วมมือกัน จับกลุ่มกับผู้วิเศษเส้นทางนักจารกรรมคนอื่นๆ เพื่อก่อตั้งองค์กรลับ… ดูเหมือนจะชื่อว่าผู้สันโดษแห่งชะตา?”
“เจ้าเป็นหนึ่งในพวกมันรึเปล่า? หืม… ดีล่ะ ข้าลองจะแทนที่เจ้า แอบเข้าไปในองค์กรดังกล่าวและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง… องค์กรลับที่พยายามหลีกเลี่ยงอามุนด์ แต่กลับมีอามุนด์เป็นสมาชิก แค่คิดก็สนุกแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ มันชำเลืองไปทางต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ที่กำลังโยกคลอนอย่างหนัก
“หืม… น่าเสียดาย จากที่มองดูจากชะตากรรมของเจ้า ดูเหมือนจะไม่ได้รับการศึกษาในเชิงศาสตร์เร้นลับที่ดีสักเท่าไร… คงไม่ใช่สมาชิกองค์กรนั้นกระมัง… เป็นทายาทของเจคอปคนสุดท้ายในครอบครัวย่อยนี้? เจ้ามาที่เบ็คลันด์เพราะต้องการค้นหาสมบัติลับที่ตระกูลเจคอปเหลือทิ้งไว้… แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องผนึกตัวเอง? อา… เจ้าเข้าเป็นปรสิตในร่างสัตว์ธรรมดา และไม่ได้พูดคุยกับมนุษย์เป็นเวลานาน… ตอนนี้เจ้ากำลังสับสน… กำลังสงสัยว่า เหตุใดหลังจากเลื่อนเป็นลำดับ 4 สำเร็จ เจ้าถึงไม่ได้รับ ‘การเตือน’ เรื่องนี้จากความรู้ภายในโอสถ? อา… นั่นเพราะข้าเป็นคนลบมันออกยังไงล่ะ”
“ไม่!”
เสียงของความขุ่นเคืองและเคียดแค้นดังกังวาน แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์สั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งกว่าเก่า แต่ไม่นานก็สงบลง
ลำแสงเล็กๆ ลอยออกจากด้านในลำต้น พรั่งพรูเข้ามาในร่างกายอามุนด์
อามุนด์หยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง พึมพำขณะใช้มันเช็ดแว่น
“ช่างโง่เขลา… หล่อนดันเหลือจริงๆ ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์… ขอเสียหลักๆ ของพวกใกล้คลุ้มคลั่งคือมักไม่มีสมอง หลอกได้ง่ายมาก… แค่ใช้สมองคิดสักนิดก็น่าจะมองเห็นถึงความผิดปรกติแล้ว… ถ้าหากเราสามารถจัดการเธอได้ง่ายๆ และขโมยชะตากรรม ทำไมต้องเสียเวลาพูดพร่ำด้วย? ร่างโคลนก็เป็นได้แค่ร่างโคลน”
จนกระทั่งอามุนด์สวมแว่นกลับไปใหม่ ลำแสงที่พุ่งออกจากต้นไม้ใกล้กลายพันธุ์ก็ถูกดูดซับโดยสมบูรณ์
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งเดินผ่านด้านนอกพุ่มไม้ไป เป็นเฮเซลในชุดล่าสัตว์
คล้ายกับเธอรู้ตัว รีบหันศีรษะมายังจุดดังกล่าวและพบอามุนด์
จากนั้น เธอยิ้มอย่างประหลาดใจและกล่าว
“อาจารย์… หายดีแล้วหรือ? จริงสิ มีใครบางคนตรวจพบปัญหาของคุณ รีบซ่อนตัวเร็วเข้า!”
อามุนด์ที่ยืนฟังเงียบๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ตกลง”
…………………………………………