“หือ เป็นอะไรนิ อายาโนะโคจี่ เช้าอยู่แท้ๆมาแกล้งหลับทำไม”
ตอนนี้ผมอยู่ห้องเรียน กำลังฟุบกับโต๊ะโดยมีทาจิบานะยืนยิ้มเยาะอยู่ข้างๆ
สภาพผมตอนนี้แค่แรงจะยกหัวเปิดปากโต้ตอบยังไม่ไหว เลยทำได้แค่โบกมือว่าไม่ได้แกล้งแต่ง่วงจริง
“โหเล่นตัวว่ะ พวกกูอุตส่ามาคุยกับเมิงเลยนะครับ”
“ดูเหมือนว่าอายาโนะโคจิคุงจะเหนื่อยสัสๆเลยตอนนี้นะ”
“ก็นั่นแหละ เมื่อคืนมันไปทำอะไรมาวะ”
“จากการคำนวนของผม สาเหตุที่มีสภาพเยี่ยงนี้เกิดจากคุณมิสึกิแน่นอน”
วิเคราะห์ได้เป๊ะมากเพื่อน เอาไปเลย 100คะแนนเต็ม
“เฮ้ อายาโนะโคจิ เมื่อคืนคุยกับคุณมิสึกิว่าไงบ้างวะ สรุปว่าคบกันแล้วรึยัง”
“…..”
แค่ฟังคำพูดพวกนี้ ผมก็ไหล่สั่นนึกถึงความทรงจำอันน่ากลัวแล้ว
“จากการคำนวนสุดเทพของผม คุณมิสึกิเขาชอบอายาโนะโคจินะ”
“ห๊ะ ชีวิตแม่มโคตรดีนี่หว่า”
“ชีวิตแม่มโคตรขี้โกง เมิงแชทกับคุณมิสึกิจนไม่หลับไม่นอนใช่มั้ย หรือถึงขั้นโทรคุยแล้ว.. จากภรรยาในเน็ตเกมมาคบเป็นแฟนในชีวิตจริงเลยตื่นเต้นจนนอนไม่หลับรึเปล่าวะ”
“ฮะฮะ “
เมื่อก่อนก็เคยภาวนาขอให้ได้ใกล้ชิดกับไอดอลที่ชอบ ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะถูกใจมาก จัดให้ตามคำขอแบบเต็มสตรีมจนแทบจะกระโดดเตะปากพระเจ้าแทน
คือถ้าแค่ชอบเป็นแฟนยังพอว่านะ แต่ความชอบของมิสึกิมันทะลุจุดเดือดยิ่งกว่านั้นนี่สิ ผมถึงกังวลจนนอนไม่หลับนี่แหละ
ตึงตึ๊ง
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าของแชทในเกมดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผู้ส่งคือริน ข้อความบอกว่า
“กลางวันนี้อยากกินข้าวด้วยกัน ชั้นทำข้าวกล่องมาให้เธอด้วย”
ผมแชทตอบกลับว่า
“จะดีรึครับ คุณไม่กลัวความลับแตกเหรอครับ”
เธอแชทกลับว่า
“อยู่ๆก็สุภาพขึ้นมา เป็นอะไรนิ ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ชั้นเจอสถานที่ดีๆแล้ว ไปทานด้วยกันนะ”
ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มองเพื่อนที่กำลังจ้องมาทางผมก่อนจะอ่านข้อความอีกรอบ
“ชั้นเห็นคาสึโตะคุงวันๆทานแต่ไข่ต้มอย่างเดียวเลย มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ หน้าที่ของภรรยาคือต้องใส่ใจสุขภาพของสามี ชั้นเลยทำข้าวกล่องมาให้เธอไง มาทานด้วยกันนะ”
ดูจากแชทแล้วเธอน่าจะเป็นห่วงและคิดถึงผมในฐานะภรรยาจริงๆ
“เป็นอะไรวะอายาโนะโคจิคุง ได้รับข้อความรักจากคุณมิสึกิรึไง”
“อย่าเรียกว่าอบอุ่น เรียกว่าร้อนระอุจนเหงื่อแตกดีกว่า”
“ห๊ะ”
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนทั้งสองเข้าใจ เพราะขนาดตัวผมตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลย
“เฮ้ยๆ มีอะไรก็อธิบายมาให้ชัดเจนสิฟะ พวกกุเพื่อนเมิงนะครับ”
“ถึงกุอธิบายพวกเมิงก็ไม่เชื่อหรอก”
“เมิงรู้ได้ไงวะ เอาแค่เน็ตเกมเมอร์ง่อยๆได้เป็นแฟนกับไอดอลสุดฮอต เรื่องโคตรเวอร์ขนาดนี้ยังเป็นจริงได้ มีเรื่องอะไรให้ไม่เชื่ออีกวะ”
“แฟนเหรอ…อ้อ กุขอบอกสั้นๆนะ คิดแบบคนปกติ ที่กุกำลังเป็นตอนนี้ ไม่ใช่แฟนว่ะ”
ผมพูดปริศนาธรรมก่อนหัวเราะแห้งๆ ทิ้งให้เพื่อนสองคนมองหน้ากันเองด้วยสายตาถามว่า ที่มันพูดหมายความว่าไงวะ
***
ถึงช่วงพักกลางวัน ผมเดินไปยังสถานที่ที่คุณมิสึกินัดหมาย มันเป็นตึกเก่าที่ไม่มีนักเรียนอยู่แล้ว แน่นอนว่า ตึกเก่าแบบนั้นมันต้องมีกุญแจคล้องห้องเรียนทุกห้อง แต่คุณมิสึกิก็เรียกให้ผมไปยังห้องๆหนึ่ง และห้องนั้นเป็นห้องเดียวที่ไม่มีกุญแจคล้องหน้าประตู เล่นเอาผมทึ่งว่าคุณมิสึกิหาที่แบบนี้เจอได้ไง
ผมเปิดห้องเข้าไป จมูกสูดได้กลิ่นไม้อับๆ พบว่าโต๊ะเก้าอี้ยังวางเรียงปกติ เธอนั่งอยู่มุมในสุดริมหน้าต่าง กวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาเธอ
“คาสึโตะคุง ทางนี้”
ณ.ห้องเรียนในตึกร้างที่ไม่มีใครใช้งาน กับไอดอลสาวสุดฮอต
เรากำลังจะอยู่กับเธอสองต่อสอง บรรยากาศตอนนี้มันดูเหมือนเรากำลังข้ามเส้นศีลธรรมบางอย่าง เล่นเอาหัวใจเต้นโครมครามจนคุมไม่อยู่
“เอ่อ เรื่องข้าวกล่อง ขอบคุณนะครับ”
ผมเดินไปอยู่ข้างๆคุณมิสึกิ บนโต๊ะมีถุงสีฟ้าขนาดใหญ่ใส่ข้าวกล่องอันหนึ่ง และอันเล็กอีกอันหนึ่ง อันใหญ่คงเป็นข้าวกล่องของผม
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ชั้นกับคาสึโตะคุงสนิทสนมกันดีอยู่แล้วนี่นา”
“อืม นั่นสินะ พวกเราเป็น เพื่อนในเกมออนไลน์ มาหลายปีแล้วนี่เนอะ”
“ใช่แล้ว ถูกตามที่เธอพูดนั่นแหละ พวกเราเป็น คู่สามีภรรยา มาหลายปีแล้ว ในฐานะภรรยา การเตรียมข้าวกล่องให้สามีมันย่อมเป็นเรื่องปกติตามสามัญสำนึกอยู่แล้ว”
คุณมิสึกิส่งรอยยิ้มอ่อนโยนปิดท้ายคำพูด เป็นรอยยิ้มที่ผมคิดว่าไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเคยเห็นมาก่อนแน่นอน
ตามปกติ สถานการณ์แบบนี้มันต้องยินดีสิฟะ
ถ้าเป็นคนอื่นเจอแบบผม เขาอาจจะต้องแฮปปี้กับเหตุการณ์นี้จนแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดด้วยความปลื้มปิติก็ได้
ปัญหาคือ ตอนนี้แทนที่ผมจะแฮปปี้ ผมดันรู้สึกกดดันกับบรรยากาศซะงั้น อารมณ์ราวกับอยู่ในหนังสยองขวัญ หรีอกองถ่ายทำที่พร้อมจะเดินออกมาบอกว่า “ยินดีด้วย นายถูกหลอกเต็มเปาแล้วจ้า” ฟีลมันประมาณนี้เลย
“เอ่อ คือว่า..ถึงจะบอกว่าในฐานะภรรยา แต่ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรให้สามีก็ได้นะครับ”
“ชั้นพอใจที่จะเตรียมน่ะ หรือเธอไม่ชอบเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่ไม่ชอบ..”
เอาไงดีฟะ ถ้าเจ้าตัวบอกเองว่าอยากจะทำ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วล่ะ
เอาจริงๆ มีไอดอลสุดฮอตทำข้าวกล่องให้กิน ไม่ดีใจสิแปลก และผม ในฐานะแฟนตัวยงคุณมิสึกิ รินกะ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นด้วย
“งั้นเริ่มทานเลยมั้ย นั่งตรงนี้สิ”
คุณมิสึกิลากเก้าอี้มาให้ผมเตรียมไว้ รอให้ผมนั่ง
ผมนั่งลงรับข้าวกล่อง ส่วนคุณมิสึกิหยิบข้าวกล่องของตัวเอง วางไว้บนตัก
ผมเปิดฝาดูของข้างใน
“ว้าว ท่าทางน่าอร่อยจัง”
ผมรำพึงออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไข่ม้วน สลัดมันฝรั่ง และอาหารเมนูอื่นอัดมาในข้าวกล่อง จัดแต่งสวยงาม เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าถ้าทานข้าวกล่องนี้ คุณได้รับคุณค่าทางอาหาารครบถ้วน กล่องเดียวจบไม่ต้องเบิ้ล ครบทั้งปริมาณและดีต่อสุขภาพแน่
“งั้นก็..จะทานแล้วนะครับ ..เอ๋ ..คุณมิสึกิ”
ขณะที่ผมกำลังจะทาน ผมนึกเอะใจนิดหนึ่่ง หันมาดูคุณมิสึกิ พบว่าคุณมิสึกิไม่ได้ทานข้าวกล่อง แต่เธอใช้สายตาอ่อนโยนมองผมแทน
“มีอะไรเหรอ”
“คือว่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นแล้ว ผมอึดอัดนิดหน่อยจนทานไม่ลงอะครับ”
“น..นั่นสินะ…ขอโทษด้วยนะ ชั้นเฝ้ารอคอยช่วงเวลานี้มาตลอดเลยอดใจที่จะมองไม่ไหว ขอโทษนะ..”
“เฝ้ารอช่วงเวลาที่ว่า หมายถึง ข้าวกลางวันเหรอครับ”
“อืม ชั้นเฝ้ารอเวลาพักกลางวันที่จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับคาสึโตะคุง และรอเวลาที่คาสึโตะคุงจะทานข้าวกล่องที่ชั้นทำให้เองด้วย”
คุณมิสึกิกล่าวต่ออีก
“เพื่อช่วงเวลานี้ ชั้นฝึกทำอาหารหลายปีมาตลอดเลยนะ”
“หา…?”
“ให้ชั้นได้จัดการทำหน้าที่ภรรยาผู้ประเสริฐ ปรนนิบัติให้สามีสุดที่รักไง หากเธอกินข้าวกล่องของชั้น แปลว่าสิ่งที่ชั้นเฝ้ารอมาตลอดในที่สุดก็บรรลุภารกิจสักที”
คุณมิสึกิทำหน้ายิ้มพึงพอใจเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นสมเป็นไอดอลสุดฮอต เจอคำพูดมาซะขนาดนี้ เล่นเอาผมจนคำพูดเลย
ในขณะที่ผมยังนึกคำพูดดีๆโต้ตอบไม่ออก คุณมิสึกิถามผมต่อ
“เป็นอะไรเหรอคาสึโตะคุง”
“เอ่อ..คือว่า..เนิร์ดง่อยๆแบบผม คุณยังชอบ…”
“ชอบสิ”
“…..”
คุณมิสึกไม่รอให้ผมพูดจบประโยค เธอชิงขัดขังหวะคำพูดผมก่อน
“เอ่อ คือว่า..บอกว่าชอบผม คุณไม่รู้สึกอายบ้างเหรอครับ”
“ไม่อายนะ”
คำตอบคุณมิสึกิไม่มีเศษเสี้ยวความลังเล คือถ้าเป็นผมเองคงทำไม่ได้แบบเธอแน่ ไอ้การบอกว่าชอบเนี่ย มั่นใจได้ว่าท่าทางกริยาหรือคำพูดผมต้องดูเฟอะฟะไม่น่าดูแน่
แต่ว่ากับคุณมิสึกิมันไม่ใช่ เธอบอกว่าชอบผมราวกับการทักทายสวัสดีในชีวิตประจำวันยังไงยังงั้นเลย
แต่ก็นะ.. มันจะจริงเหรอฟะ มีไอดอลสุดฮอตมาชอบกุที่เป็นเน็ตเกมเมอร์ง่อยๆเนี่ยนะ
“ม่า ก็นะ..เราคบกันมันก็หลายปีก่อนหน้าแล้วนะ ความสัมพันธ์เราผูกพันมาก่อนหน้าก็เลยไม่เขินแล้วไง”
“เอ่อ..ที่พูดมาตะกี้หมายควาามว่าไงครับ”
“ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ความสัมพันธ์เราเหนือกว่าแฟนด้วย เป็นคู่ชีวิตที่พร้อมจะใช้ชีวิตและก้าวเดินไปด้วยกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่บอกรักครอบครัวแล้วไม่เขินมันก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงมั้ย”
“อ้อ..อืม..เข้าใจละครับ”
ผมก็ได้แค่ตอบรับไปแบบมึนๆอึนๆนี่ล่ะ พร้อมหัวเราะแห้งๆปิดท้ายเพราะไม่รู้จะพูดไรต่อดี
“การได้กินข้าวด้วยกันกับคนที่เรารัก มันช่างมีความสุขมากๆเลยนะ”
“น..นั่นสินะ”
เอาจริงๆการได้กินข้าวกลางวันด้วยกันสองต่อสองกับไอดอลสุดฮอตที่เราคอยเชียร์มาตลอด มันก็คือฝันที่เป็นจริงของเราด้วยอะนะ
…ม่า พอคิดได้แบบนี้แล้วก็ช่างมัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดวะ
“เน่ คาสึโตะคุง ชั้นมีเรื่องจะขอร้องเธอ 1 อย่างได้มั้ย”
“อืมได้สิ ว่ามาเลย”
“ขอป้อนได้มั้ย”
คุณมิสึกิกล่าวด้วยใบหน้าเขินอายแดงก่ำ ท่าทางเธอตอนนี้ช่างน่ารักมาก
“ได้ป้อนข้าวให้คนที่เรารัก มันเป็นความฝันของชั้นตั้งแต่เด็กๆแล้ว ได้..รึเปล่า”
น้ำเสียงเธอเริ่มสั่นๆตอนท้ายราวกับงอน กลัวว่าจะโดนปฏิเสธ
น้ำเสียงเธอมันแฝงความหมายชัดว่า “เราเป็นสามีภรรยากันแล้วจะป้อนข้าวให้กันก็เป็นเรื่องปกตินะ”
“อืม ได้สิ”
“พูดจริงนะ.. เย้ อ้ามมม..”
คุณมิสึกิใช้ช้อนตัดไข่ม้วนหนึ่งคำ ยื่นช้อนเข้ามาที่ปากผม
โอ้พระเจ้า ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันที่ไอดอลสุดฮอตแบบคุณมิสึกิจะมาป้อนข้าวให้ผมด้วย
ไม่รู้ทำไม ผมหลับตาอ้าปากโดยอัตโนมัติ รอให้เธอป้อนไข่ม้วนเข้าปากผม
…สัสเอ้ย รสชาติไข่ม้วนเป็นไงตอนนี้ลิ้นแทบไม่รับรสแล้วเพราะความซาบซึ้งที่คุณมิสึกิอุตส่าป้อนข้าวให้ผม ว่าไป ซึ้งก็ส่วนซึ้งนะ พอเริ่มคุมสติได้ พบว่าไข่ม้วนที่เธอทำมันก็อร่อยใช่ย่อยนี่หว่า
“เป็นไงบ้าง อร่อยมั้ย”
“อืม อร่อยมาก”
“จริงเหรอ ดีใจจังเลย”
มิสึกิผุดรอยยิ้มยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ มันเป็นรอยยิ้มที่คุณไม่เคยเห็นในทีวีแน่นอน สีหน้าท่าทางของเธอตอนนี้ สัมผัสได้ถึงความซื่อสัตย์จริงใจว่าเธอดีใจจริงๆ
เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของเธอตอนนี้ผมก็รู้สึกสุขล้นแล้ว
เธอเป็นไอดอลที่ผมเชียร์มาตลอด พอเห็นรอยยิ้มของเธอ ผมก็อยากทำอะไรให้เธอมีความสุขบ้าง
“เอ้า อ้ามมมม”
คุณมิสึกิป้อนข้าวผมต่อ เธอป้อนผมรัวๆ จนรู้สึกตัวอีกที เธอเปิดฝาข้าวกล่องอันที่สองละ
เฮ้ย เดี๋ยวนะ ข้าวกล่องอันที่สองเลยเหรอวะ
“คาสึโตะคุง ข้าวกล่องยังเหลืออีกชุด ทานได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะ อ้ามมมม”
“เอ่อ ให้กินมากกว่านี้มันก็…”
ตอนนี้ผมเริ่มอิ่มแล้ว เลยโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ
ผมได้ยินเสียงช้อนตก เงยหน้ามองขึ้นมาพบว่า สีหน้าเธอตกตะลึงทำหน้าช็อค
“ท..ทำไมล่ะ..อย่าบอกนะว่าเบื่อชั้นแล้วเหรอ”
“หา? เบื่อเหรอ?”
“แม้ว่าพวกเราจะเป็นสามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานหลายปี ชั้นก็ยังคงใจเต้นทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันกับคาสึโตะคุง แม้กระทั่งในตอนนี้ ชั้นก็มีแต่เรื่องของคาสึโตะคุงอยู่ในทุกห้องหัวใจ”
“เอ่อ ไม่ได้บอกว่าเบื่อนะครับ ผมแค่อิ่ม…”
“ทั้งที่เป็นอย่างนั้น คาสึโตะคุงกลับเบื่อชั้นแล้ว.. ไม่นึกว่าโศกนาฏกรรมนี้จะเกิดขึ้นกับชั้น”
คุณมิสึกิคอตก น้ำตาไหลอาบสองแก้ม น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
เฮ้ย สรุปว่ากุผิดสินะ
พอเห็นท่าทางทุกข์ระทมของคุณมิสึกิ ในฐานะแฟนตัวยง ผมไม่อยากให้เธอเศร้า ผมจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าเอ่ยปาก
“เอ่อ คุณมิสึกิครับ”
“มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ..คือว่า..ผมน่ะไม่มีทางเบื่อคุณมิสึกิหรอกครับ”
“จริงเหรอ แล้วทำไมถึงพูดจาทำร้ายจิตใจชั้นล่ะ”
“ผมเป็นแฟนตัวยงคุณมิสึกนะ แม้แต่ตอนนี้ที่คุยกับผม ผมยังใจเต้นตูมตามด้วยความเขินเลยครับ”
โอ้ย รวบรวมความกล้าพูดได้ก็จริง แต่รู้เลยว่าหน้าผมตอนนี้ต้องแดงก่ำเป็นตูดลิงแน่ เพราะรู้สึกร้อนที่แก้มมากว่าปกติเอาเรื่อง
ชีวิตประจำวันผมก็เป็นแค่เด็กผู้ชายตัวน้อยเชอรี่บอยที่ไม่ได้มีความกล้าขนาดทักผู้หญิงได้ด้วยซ้ำ
แต่ว่าถ้าคุณเห็นไอดอลสุดฮอตที่เราชอบ มีสีหน้าเศร้าหมองขนาดนั้น คุณก็ต้องพูดอะไรสักอย่างจากใจเพื่อให้เธอคลายทุกข์อะนะ
“ขอบคุณนะคาสึโตะคุง ชั้นดีใจจริงๆที่เธอพูดตะกี้”
สีหน้าเศร้าของคุณมิสึกิหายวับราวกับเป็นเรื่องโกหก สีหน้าเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความดีใจ แต่ถ้าสังเกตดีๆ แววตาเธอรื้นๆและสั่นน้อยๆ อย่าบอกนะว่าจากเสียใจจนร้องไห้ อารมณ์เปลี่ยนกลับเป็นดีใจจนร้องไห้เลยเหรอวะ
“ชั้นเองก็เป็นแฟนบอยคาสึโตะคุงด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าชั้นจะทำอะไรก็ตามก็มีแต่เรื่องของคาสึโตะอยู่ในหัวตลอด”
“อ…อืม”
สีหน้าคุณมึสิกิกลับมาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ก่อนเอ่ยปาก
“สิ่งที่เธออยากบอกชั้นคือ พวกเราเป็นสามีภรรยาที่คลั่งรักในตัวอีกฝั่งสินะ”
“เอ้า ทำไมเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปแทนซะงั้น”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดเธออย่างจริงจัง
***
จบ CH3-1
อันนี้ตอนใหม่เอี่ยม เพิ่มเติมเนื้อหาจากในเว็บเต็มที่ ใครเคยอ่านของเพจ คนเหงาและง่วงแล้ว อ่านได้เลยนะครับ มาดุว่าเนื้อหาที่เขียนเพิ่มจะป่วนและฮาในความยันของรินกะแค่ไหน
รอตอนใหม่ได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon