OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF
บทที่ 43 ทาลิปสติกเป็นครั้งแรก
วันต่อมา
ช่างฝีมือหนึ่งโหลกําลังยุ่งอยู่กับสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าซันไชน์ พวกเขาพยายามซ่อมแซมหรือติดตั้งอุปกรณ์กีฬาสําหรับเด็กๆ เช่น ชิงช้า ลู่วิ่ง และ ม้าไม้
เด็กๆมีความสุขมากที่พวกเขาจะได้เล่นของเล่นพวกนี้ โชคดีที่จหมิงได้ออกมาดูแลความปลอดภัยด้วยตัวเอง มันจึงทําให้พวกเด็กๆปลอดภัยมาถึงตอนนี้ และด้วยอํานาจที่ตัวเองมีเขาได้ออกคําสั่งให้พวกเด็กๆเข้าแถวเรียงหนึ่ง ก่อนที่จะให้พวกเด็กๆเข้ามาเล่นชิงช้า
ซูหยาและหนิงเถาเองก็ทํางานเช่นกัน แต่งานของพวกเขาคือการหันผักสําหรับอาหารเช้า พวกเขาต่างก็หันผักเช่นอิโปโมเอะและโคเปีย
เมื่อคืนก่อนเป็นประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง แน่นอนว่าสําหรับซูหยาแล้วมันเป็นหนังสยองขวัญดีๆนี้เอง ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ความรักและการดูแลของพ่อแม่ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ต่อสู้ชีวิตมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ใช้เรื่องแปลกที่เธอจะมีสภาพจิตใจที่แข็งแกรงกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามวันนี้เธอดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย เธอทาลิปสติกไว้บนริมฝีปากเรียวบางของเธอ และสีที่เธอเลือกใช้นั้นคือสีแดงสด มันยิ่งทําให้เธอที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเถาได้เห็นเธอทาลิปสติก เขาจึงคิดว่ามันแปลกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดความคิดนั้นออกมา ท้ายที่สุดแล้วซูหยาก็เป็นผู้หญิงและการทาลิปสติกก็เป็นเรื่องค่อนข้างปกติ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมันมากนักก่อนที่จะหันมาสนใจการหันผักในขณะที่ความคิดของเขาเริ่มคิดถึงเรื่องอื่นอีกครั้ง
ฉูเหมิงถูกจับกุมและลูกสาวของเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตํารวจ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป สําหรับวังหยางหยางเจียงเฮาได้ลงมือไปแล้ว แต่ผลลัพธ์ยังไม่ออกมา ในความเป็นจริงเขาเดาว่าวังหยางหยางถูกจับได้ แต่มีสิ่งที่รบกวนใจของเขามากกว่าเรื่องนั้น นั้นคือชายชราที่เขาแทงด้วยเข็มอันศักดิ์สิทธิ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ ตามหลักแล้วชายชราควรจะมาหาเขาตั้งนานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขากับยังไม่มา
“เขาตายไปแล้วหรือเขามีวิธีกําจัดพลังงานความชั่วที่ฉันทิ้งไว้ในร่างกายของเขากัน?” หนิงเถาสงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขารู้ว่ามันมีวิธีอื่นที่สามารถถอนพลังงานที่เขาใส่เข้าไปได้ แต่วิธีนั้นจะใช้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม? อันนี้เขาเองก็ไม่แน่เหมือนกัน
ซูหยาแอบมองที่หนิงเถาในขณะที่หันผัก ทันใดนั้นเธอก็ทําลายความเงียบระหว่างพวกเขา “นี่!”
หนิงเถาที่ถูกขัดจังหวะในการคิดก็พยายามรวบรวมความคิดของเขาและเงยหน้าขึ้นมองคนที่ทํามั่น ก่อนที่จะถามว่า “มีอะไร?”
ซูหยาดูผิดธรรมชาติไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถามขึ้นว่า “เอ่อ … วันนี้มีอะไรที่แตกต่างออกไปไหม?”
“ไม่นิ” หนิงเถาตอบกลับแทบจะทันที
ซูหยาแสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ “ลิปสติกไง? นายไม่เห็นฉันทาลิปสติกเหรอ?”
หนิงเถามองเธออย่างระมัดระวังจากนั้นก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ว้าว! เธอทาลิปสติกแล้วดูดีไปเลย”
” หยุดทําท่าหลอกลวงพวกนั้นนะ! ฉันไม่ได้หวังให้นายชมเสียหน่อย!” ซูหยาพยายามพูดปฏิเสธมัน แต่แก้มของเธอกับมีสีชมพูปรากฏออกมา ซึ่งมันเป็นการกระทําที่ขัดแย้งในตัวของมันเอง
เมื่อมาถึงจุดนี้หลี่เสี่ยวหยูก็ได้เดินเข้ามาหาพวกเขา จากนั้นเธอได้เอามือหนึ่งแตะหน้าอกอีกมือหนึ่งแตะคางพร้อมกับเดินไปรอบๆพวกเขา
หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ และถามว่า “หนูกําลังทําอะไรอยู่กันเสี่ยวหยู? ”
” ทําไมเธอถึงมาที่นี่แทนที่จะเล่นกับเด็กคนอื่นๆ?” ซูหยาก็ได้ถามออกมาเช่นกัน
” พี่สาวซู! นี้เป็นคําแนะนําด้วยความรักเลยนะ หนูคิดว่าพี่ควรจะไปเช็ดลิปสติกนั้นออกจะดีกว่า” หลี่เสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง
” ทําไม?” ซูหยาถามกลับอย่างสงสัย
“พี่ยังเด็กเกินไปที่จะทาลิปสติก” หลี่เสี่ยวหมูตอบกลับ “ และการที่พี่เปลี่ยนไปแบบนี้มันทําให้หนูรู้สึกเป็นห่วงมาก”
หนิงเถาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมาแทบจะทันที และไม่สามารถหยุดได้ในเวลาอันสั้นนี้
ซูหยาในตอนแรกก็ได้ตกตะลึงไป ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า “เข้ามานี่หน่อย! พอดีพี่สาวคนนี้มีอะไรจะพูดกับเธอ”
“ฮัม! มันก็คงเป็นเรื่องที่พี่ต้องการเอาชนะหนูอีกครั้งใช้ไหมละ? แต่หนูขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่ายังไงมันก็ไม่มีทางสําเร็จได้หรอก!” หลี่เสี่ยวหยุไม่สามารถทําตัวเป็นผู้ใหญ่ได้อีกต่อไป
ซูหยาเองก็ลุกขึ้นและเดินไปที่หลี่เสี่ยวหยูเช่นกัน
“แม่หมู!” หลี่เสี่ยวหยูพูดภาษาของเธอที่ที่เพียงซูหยาเท่านั้นที่เข้าใจ ก่อนที่จะหันหลังวิ่งกลับไป
“หลี่เสี่ยวหยู! หยุดนะ!” ซูหยาเองก็ได้วิ่งตามเธอไปพร้อมกับตะโกนว่า “วันนี้ฉันจะสอนบทเรียนให้เธอ!”
เมื่อได้เห็นซูหยาวิ่งไล่ล่าหลี่เสี่ยวหยู และฟังเสียงหัวเราะของเด็กๆ หนิงเถาก็รู้สึกสงบในใจขึ้นมา
แหวน แหวน …
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพของเขาก็ได้ดังขึ้น
หนิงเถาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูที่หน้าจอและตอบว่า “สวัส
ดี!”
เสียงของเจียงเฮาที่ดังมาจากอีกทางโทรศัพท์พูดว่า “แม่ของฉันมาถึงแล้วและท่านต้องการจะพบนาย! ตอนนี้นายว่างไหม? “
“ว่าง! ไม่มีปัญหา” หนิงเถาพูดต่อว่า “เธออยู่ไหน? ฉันจะไปหา”
“ฉันอยู่ที่ประตูของสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าซันไชน์” เจียงเฮาพูดต่อว่า “นายแค่เดินออกมา ฉันจะพานายไปพบแม่ของฉัน เอง”
หนิงเถามองไปที่ประตูที่ปิดไว้โดยไม่รู้ตัวแล้วตอบว่า “โอเค! ฉันจะออกไปทันที”
ซูหยาได้จับหลีเสียวหยูได้แล้ว และแทนที่เธอจะตีอีกฝ่าย เธอกับคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้และลงมือจักกะจี้แทน
หลี่เสี่ยวหยูที่ถูกลงโทษแบบนั้นก็ถึงกับหัวเราะออกมาไม่หยุด แต่เมื่อเธอเห็นหนิงเถาเดินไปที่ประตู เธอก็ได้ถามขึ้นว่า “ลุงหนิง! นั้นลุงจะไปไหนเหรอคะ?”
“ลุงต้องออกไปทําอะไรซักอย่างนะ! ”
ซูหยายังคงจับตัวหลี่เสี่ยวหยูเอาไว้ ก่อนที่จะถามว่า ”นายจะกลับมาทานอาหารกลางวันไหม?”
“ไม่” หนิงเถาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเพิ่มว่า “ระวังตัวอย่าเปิดประตูให้คนแปลกหน้า โทรหาฉันถ้ามีอะไรเกิดขึ้น”
“โอเค” ซูหยาตอบกลับไปแล้วพึมพําว่า “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!!”
หนิงเถาทําเพียงแค่ยิ้มก่อนที่จะแยกตัวออกไป อันที่จริงแล้วเขายังต้องการพูดอะไรกับจี้หมิงอีกเช่นกัน แต่เขาก็ได้ยอมแพ้เมื่อเขาเห็นว่าจีหมิงกําลังสนุกกับเด็กๆ ทันทีที่เขาเปิดประตูเหล็กเขาเห็นรถเก๋งบูอิคจอดอยู่ข้างนอก เขาเดินไปที่นั่นและเห็นเจียงเฮาในที่นั่งคนขับ เขาได้ทักทายเธอด้วยรอยยิ้มและขึ้นรถไป
เจียงเฮาที่เห็นแบบนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
“แม่ของเธออยู่ที่ไหนตอนนี้?” หนิงเถาถามออกมา
“ ท่านกลับไปบ้านในชนบทนะ” เจียงเฮาพูดต่อว่า “พ่อของฉันเองก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันเขา แต่เขายืนกรานที่จะรอให้นายอยู่ที่นั่นก่อนที่เขาคุกเข่าลงและขอโทษแม่ของฉัน ฉันได้ถามเขาถึงเหตุผล แต่เขาปฏิเสธที่จะบอกฉันและนั้นยิ่งทําให้แม่ของฉันโกรธมาก”
หนิงเถารู้เหตุผลแต่เขาไม่บอกเจียงเฮา ดังนั้นเขาจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย “ฉูเหมิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขาอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา อัยการจะพาเขาขึ้นศาลเมื่อเขาหายดีแล้ว เขาได้ฆ่าคนจํานวนมากในช่วงก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่าเขาจะได้รับโทษประหารชีวิต” เจียงเฮาพูดกลับมาเรียบๆ
หนิงเถาไม่แปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้
“ ฉันได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ค้นหาครอบครัวบุญธรรมให้กับลูกสาวของเขาแล้ว เราจะพยายามให้สภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดแก่เธอ” เจียงเฮาพูดต่อว่า “ฉันรู้ว่านายให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ ดังนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ไป ฉันรับปากว่าจะจัดการให้ดีที่สุด”
หนิงเถาที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า ” ขอบคุณนะ!”
เจียงเฮาจ้องมองเขา ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “อย่าพูดอย่างนั้นกับฉัน ฉันไม่ได้แม้แต่จะขอบคุณนายที่ช่วยฉันเลย”
หนิงเถาแสดงร้อยยิ้มออกมาและพูดว่า “งั้นถือว่าเราเสมอกันก็แล้วกัน”
“แล้วเรื่องของวังหยางหยางละเป็นยังไงบ้าง? เธอจับเขาได้ไหม?”
ผลลัพธ์นั้นไม่ได้เป็นไปตามคาดของหนิงเถา แต่ในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าทําไม “ฉันเดาว่าวังหยางคงโกหกเรื่องการบวชเป็นพระกับฉูเหมิงใช้ไหม? ดูเหมือนว่าการแสดงออกถึงการฆ่าของเขาจะทําให้อีกฝ่ายกลัวจริงๆ ”
“ฉันเองก็คิดอย่างนั้น” เจียงเฮาพูดต่อว่า “ส่วนไอ้เรื่องดินสีน้ำเงินนั้นกับแผงวงจรที่พบก่อนหน้านี้ ทางสถาบันการศึกษาวิทยาศาสตร์ได้ตอบกลับมาแล้ว พวกเขาพบว่าแผงวงจรนั้นเป็นไดรฟ์ชนิดหนึ่งซึ่งในนั้นมีข้อมูลลับเกี่ยวกับโครงการต้นกําเนิดบรรพบุรุษและรายละเอียดของตัวยาที่หลินชิงหัวผลิตขึ้นมา แน่นอนว่าตอนนี้พวกนักวิจัยกําลังทํางานอยู่และคาดว่าจะมีผลลัพธ์มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปมากกว่าและฉันจะแจ้งให้นายทราบหากได้รับอนุญาต ถ้าไม่! นี้ก็คือเนื้อหาทั้งหมดที่ฉันสามารถบอกนายได้ ”
“เนื้อหาหลังจากนี้อาจจะไม่ได้รับอนุญาต แต่ฉันก็เข้าใจมันดีดังนั้นมันจึงไม่ใช้เรื่องสําคัญอะไร แต่ที่ฉันอยากรู้คือที่มาของดินนั้นมากกว่า” จากนั้นหนิงเถาก็ได้หยุดพูดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อว่า “และฉันอยากรู้เกี่ยวกับวัสดุคล้ายดินเหนียวนั้น ไม่รู้ว่าสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์บอกเธอไหมว่ามันคืออะไร?”
“ฉันเองก็ได้ถามพวกเขาไปเหมือนกัน แต่พวกเขาได้บอกว่าพวกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร” เจียงเฮาพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับข้อมูลนี้”
มันยากที่จะอธิบายสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับการฝึกตนด้วยหลักการวิทยาศาสตร์
หนิงเถาไม่ถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีกแล้วเพราะเขาเชื่อว่าเจียงเฮาได้บอกทุกอย่างที่ทําได้แล้ว หากเขายังคงกดดันต่อไปเธอจะตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ง่ายๆ
“ฉันต้องการพูดคุยกับนายเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง และถามความคิดเห็นของนายด้วย” เจียงเฮาเองก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเธอจึงได้เปลี่ยนหัวเรื่อง
หนิงเถาถามว่า “มันคืออะไร?”
“ฉันได้คุยกับหัวหน้าของฉันเกี่ยวกับนาย” เจียงเฮาพูดต่อว่า “ พวกเขาต่างก็ชื่นชมความสามารถของนายมากและต้องการจ้างนายเป็นกรณีพิเศษ นายคิดว่าไง?”
“มันเป็นงานแบบเดียวกับเธอใช้ไหม?”
เจียงเฮาพยักหน้าและตอบว่า “ใช่! แต่เพราะความสามารถพิเศษของนายมันจึงขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาที่จะตัดสินใจว่างานของนายคืออะไร”
หนิงเถาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ “ฉันจะไม่รับงานแบบนั้น ฉันค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ฉันทําอยู่ตอนนี้แล้ว”
“การเป็นหมอเร่ร่อนนะเหรอ?”
“ ใช้เ มันก็ไม่มีอะไรผิดกับการเป็นหมอเร่ร่อนนิ? ฉันสามารถช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือได้ และฉันยังไม่ต้องรีบเร่งอะไร”
เห็นได้ชัดว่าเจียงเฮาผิดหวังกับตัวเลือกของหนิงเถา “ ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆ นายสามารถมีอนาคตที่ดีกว่านี้ได้ แต่แทนที่จะทํามัน นายกับยืนยันว่าจะเป็นหมอเร่ร่อนแทน นายไม่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นใช่ไหม? ไหนจะบ้านที่สะดวกสบายและน่าอยู่ งานที่มั่นคง ภรรยาและลูก ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายเอง นายสามารถได้รับสิ่งเหล่านี้ได้หากนายต้องการ แต่ทําไม.”
“ มันเป็นเรื่องดีที่ได้เป็นหมอเร่ร่อน” หนิงเถาได้พูดขัดจังหวะ
“นาย …” เจียงเฮารู้สึกโกรธมากจนไม่รู้จะพูดอะไร
หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจในใจและคิดว่า “ฉันต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่ฉันเป็นเจ้าของคลินิกนภาและเส้นทางที่ฉันจะไปนั้นเกินกว่าความเข้าใจของเธอ”
จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็หยุดพูดและบรรยากาศก็น่าอึดอัดใจขึ้นเล็กน้อย
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเจียงเฮาก็ได้ขับรถเข้าไปในหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง เนื่องจากรถไม่สามารถไปถึงบ้านของเธอได้ทําให้พวกเขาต้องจอดรถเอาไว้ที่ตีนเขา จากนั้นก็เดินไปตามถนนบนภูเขาเพื่อไปยังบ้านเก่าของเธอได้เท่านั้น บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังคามุงกระเบื้องที่ทําจากดินเหนียว กําแพงสีน้ำตาลมีหลุมตัวต่อและมุมถูกปกคลุมด้วยผงดิน กระเบื้องหลังคากระจัดกระจายที่นี่และที่นั่นและถ้าฝนตกลงมาแน่นอนว่าน้ำฝนต้องทะลุลงไปข้างในอย่างแน่นอน
นี่คือบ้านในวัยเด็กของเจยิ่งเฮา แม่ของเธอได้แต่งงานกับเจียงหยีหลงเมื่อเขายากจนมากและจากนั้นเธอก็ให้กําเนิดลูกของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อ เจียงหยีหลงรวยขึ้น เขาคิดว่าเธอไม่สวยพอและละทิ้งเธอและเจียงเฮาไป สําหรับความบาปนี้เพียงอย่างเดียวแม้ว่าเจียงหยีหลงจะสาบานกับเธอ 10,000 ครั้งเพื่อขอโทษ มันก็ไม่สามารถชดเชยความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เจียงเฮาและแม่ของเธอต้องเจอตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปข้างในบ้าน ก็ได้เสียงของผู้หญิงดังออกมา “ออกไปจากที่นี่! ฉันไม่ต้องการพบคุณ! ฉันมาที่นี่เพื่อดูลูกสาวของฉัน ไม่ใช่คุณ!”
“ถังเจิ้น! ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน ฉันผิดไปแล้วและฉันได้เปลี่ยนไปจริงๆเมื่อเร็วๆนี้ ดังนั้นได้โปรดให้โอกาส ฉันขอโทษเธอนะ” เสียงของ เจียงหยีหลงดังขึ้น
ถังเฉินเป็นแม่ของเจียงเฮา
“แม่! หนุพาหมอหนิงมาที่นี่แล้ว” เจียงเฮาไม่สนใจเสียงพูดของพ่อตัวเองเลย กลับกันเธอเรียกที่จะตะโกนขึ้นมาแทน
เมื่อเสียงของเธอจบลง ก็ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากกแพงบ้านเก่าๆนั้น เธอกับเจียงเฮาดูเหมือนกันมาก แต่อาจจะเพราะดูอายุที่แตกต่างกันมันจึงทําให้เธอดูเป็นเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ของเจียงเฮา ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วแม่ของเจียงเฮาคงจะมีอายุสี่สิบต้นๆ เธอสวมเสื้อผ้าลินินแบบสบายๆ ที่ให้ความรู้สึกถึงความซับซ้อนและใจกว้าง
เจียงหลี่หลงเองก็ได้ออกมาเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นหนิงเถา เขาก็ทําตัวเหมือนหนูพบแมว “สวัสดี ……. หมอหนิง!”
เขายังจําคําแนะนําของหนิงเถาได้ไม่ควรเรียกเขาว่าอาจารย์หนึ่งโดยเฉพาะต่อหน้าอดีตภรรยาและลูกของเขา
หนิงเถาไม่สนใจคําทักทายของเจียงหยีหลง
ทางด้านถังเจิ้นก็ได้เดินมาหยุดที่เจียงเฮาและหนิงเถาก่อน ที่เธอจะจ้องไปที่หนิงเถาพร้อมกับร้อยยิ้มสดใส่บนใบหน้าของเธอ “เธอคงเป็นหนึ่งเถาที่ลูกสาวป้าพูดถึงใช้ไหม?”
หนิงเถาพยักหน้าและตอบกลับว่า “ดีใจที่ได้พบครับคุณถัง”
เขาต้องการเรียกว่าป้า แต่มันคงจะไม่เหมาะสมที่จะเรียกป่าเพราะอีกฝ่ายดูเด็กมาก