ตอนที่ 98 สมมติฐานของโจเซฟีนและราคาของยาอายุวัฒนะ
“องค์จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟและพระสันตะปาปาแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ ฝ่าบาทเอลิซาเบทจะกลับมาถึงแล้ว!!”
จักรพรรดินีเดินทางกลับมายังจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟพร้อมกับจูเลียน่า คลาร่า และข้ารับใช้คนอื่นๆ รวมไปถึงฟาร์มา นี่ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่พวกเขาพักอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์
เมื่อขบวนรถม้าของจักรพรรดินีเคลื่อนที่เข้าสู่เมืองหลวง เหล่าประชาชนต่างก็เข้ามาห้อมล้อมตลอดสองข้างทางซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล เหล่าผู้ประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ในช่วงที่เธอไม่อยู่นั้นต่างก็รอการกลับมาของเธอกันทั้งสิ้น
เมื่อเหล่าผู้คนได้เห็นขบวนของจักรพรรดินีผู้เป็นเหมือนเทพผู้พิทักษ์ของจักรวรรดิ ก็จ้องมองเธอที่มีข้ารับใช้ติดตามมาเป็นจำนวนมากเหมือนกับลูกน้อยที่กำลังรอการกลับมาของแม่ตน
“ฝ่าบาทเอลิซาเบท…ฝ่าบาทเอลิซาเบทจริงๆ ด้วย ในที่สุดพระองค์ก็กลับมาแล้วสินะ!?”
“พอฝ่าบาทไม่อยู่เมืองหลวงของเราก็วุ่นวายกันไปหมด!”
“พวกเรารอการกลับมาของฝ่าบาทอยู่เสมอ แต่ถ้าหากฝ่าบาทกลับมาเร็วกว่านี้สักหน่อยละก็…”
เสียงของฝูงชนดังกึกก้องไปตลอดเส้นทางที่ขบวนรถม้าผ่าน ผู้คนต่างอยากเห็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์องค์แรกของโลก
“หากฝ่าบาทกลับมาเช่นนี้แล้ว แม้แต่พวกวิญญาณร้ายเราก็ไม่หวั่นหรอก!!”
“เป็นเกียรติแก่ชาวจักรวรรดิเราจริงๆ ที่มีองค์จักรพรรดินีเป็นพระสันตะปาปาเช่นนี้”
ฟาร์มาเฝ้าดูจักรพรรดินีโบกมือให้กับเหล่าประชาชนอย่างร่าเริง ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตาเสียจริง แต่ก็เป็นเพราะเธอจริงๆ ที่ทำให้เมืองหลวงนั้นรอดปลอดภัยได้
อีกทั้งโลกใบนี้ยังให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของศาสตร์แห่งเทพ ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกจะได้เป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ความเชื่อมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอนนี้ย่อมยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้จะถูกพวกวิญญาณร้ายเข้าโจมตี ฟาร์มามีความเชื่อว่าพอเธอได้ตำแหน่งพระสันตะปาปามาด้วยแล้วก็ย่อมดึงดูดผู้คนได้มากกว่าเดิม
ตั้งแต่ที่เธอกลับมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบทยังไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย
เธอได้เข้าไปจัดการพื้นที่ที่ประสบภัย ช่วยเหลือเหล่าผู้ตกเป็นเหยื่อของวิญญาณร้ายและกวาดล้างพวกมันไปจนหมด เรียกได้ว่าเธอเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของการกอบกู้จักรวรรดิ
ฟาร์มาชื่นชมจักรพรรดินีผู้นี้ที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการช่วยเหลือปวงประชา โดยค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูทุกอย่างทางจักรวรรดิจะเป็นคนรับผิดชอบ นั่นคือสิ่งที่เธอให้คำมั่นกับประชาชนของเธอ
และพอสมบัติลับซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ได้ถูกนำกลับมาไว้ภายในโบสถ์ผู้พิทักษ์ของเมืองหลวงแล้ว ความปลอดภัยของเมืองหลวงก็คงจะไม่มีอะไรน่ากังวลอีก ดังนั้นฟาร์มาจึงทำการกลับไปเก็บบัตรประจำตัวของเขาที่ใช้แทนสมบัติลับในคราวก่อน
“ท่านแม่ มาเล่นกับผมหน่อยสิ”
“โถ่ ลูกนี่ก็ช่างสรรหาเวลาได้ถูกเสียจริง”
“ผมไม่สนหรอกว่าท่านแม่จะว่ายังไง”
พอจักรพรรดินีเสร็จงานของเธอแล้วบางส่วน เธอก็มีเวลาได้พักผ่อนจากการเดินทางที่แสนยาวนานเสียที แต่แล้วองค์ชายก็เข้ามาบอกว่าอยากจะเล่นกับแม่ของตน อยากให้เธออ่านหนังสือภาพให้ฟังเนื่องจากเขาเหงาและไม่ได้เจอเธอมานานแล้วจนทำให้เธอต้องกลับไปทำหน้าที่ในฐานะแม่ของคนคนหนึ่งแทน
ตั้งแต่ที่จักรพรรดินีกลับมาจักรวรรดิก็เริ่มกลับเข้าที่เข้าทางเหมือนที่ควรจะเป็น แต่กลับกลายเป็นว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหลวงเกิดความกังวลกับทางโบสถ์ของเมืองหลวงแทน จนทำให้มีผู้อพยพบางคนยังไม่กลับมาจากเมืองแลมบลูเลย
ทางด้านคฤหาสน์เดอ เมดิซิสเองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอาร์ติแฟกต์ต้องคำสาป จึงทำให้ต้องอพยพออกไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน จนกว่าการซ่อมแซมคฤหาสน์จะเสร็จสิ้น
และที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดินั้นเอง ก็ได้มีการหาหนทางเอาชนะตราหลอมละลายอย่างลับๆอยู่ โดยการเพาะเลี้ยงเซลล์ผิวหนังส่วนหนึ่งของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำการเพิ่มจำนวนของเซลล์เหล่านั้น
เอ็มเมอริค เบาเออร์ผู้ที่กำลังกลายเป็นลูกศิษย์อันดับต้นๆ ของฟาร์มา ก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำการพัฒนาในส่วนนี้โดยมีฟาร์มาคอยดูแลกำกับ
เอ็มเมอริคก็ทำการพัฒนาการทดลองต่อไปด้วยความเพลิดเพลินโดยไม่ลืมถึงความรับผิดชอบในการจัดการงานด้วย เมื่อฟาร์มากลับมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว เขาก็ได้ทำการเข้าไปคุยกับเอ็มเมอริค นักเรียน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคคนๆ อื่นๆ ที่กำลังทำงานกันอยู่
“เหนื่อยหน่อยนะครับ คุณเอ็มเมอริค สบายดีหรือเปล่าครับ”
“สวัสดีครับศาสตราจารย์! ดูนี่สิครับกำลังไปได้สวยเลย!”
“ไหนครับมาดูกันหน่อยซิ ว่ามันเติบโตขึ้นขนาดไหนแล้ว?”
“ครับ อีกไม่กี่วันเราก็น่าจะถึงเป้าที่ตั้งกันไว้แล้ว ส่วนทางผลตรวจแบคทีเรียและไวรัสก็ออกมาเป็นลบครับ!”
เมื่อฟาร์มาเข้าไปที่ห้องเพาะเชื้อพร้อมกับชื่นชมเอ็มเมอริค ที่ใบหน้าของเขาเหมือนติดคำว่า “ชมผมสิ ชมผมสิ” เอาไว้ ก่อนที่เอ็มเมอริคจะทำการนำแผ่นเพาะเลี้ยงเซลล์ที่กำลังเติบโตภายในตู้เพาะเลี้ยงในอุณหภูมิที่คงที่จากศาสตร์แห่งเทพ ให้ฟาร์มาได้ดู
โดยอุปกรณ์เพาะเลี้ยงแบบพิเศษนี้ รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ใช่ของแบบใช้แล้วทิ้ง เพราะมันได้สร้างขึ้นมาโดยฝีมือของเมโลดี้
“ยอดเยี่ยมครับ เริ่มโตกำลังดีเลย”
ทางฟาร์มาและเอ็มเมอริคได้ทำการยืนยันผลด้วยกล้องจุลทรรศน์และประเมินจำนวนเซลล์
“การดำเนินการเป็นไปได้ด้วยดี เพราะสภาพแวดล้อมสำหรับการเพาะเลี้ยงเซลล์นี้เป็นห้องปลอดเชื้อ จึงทำให้การเพาะเลี้ยงเซลล์ผิวหนังของฝ่าบาทสะอาดอย่างที่เห็นครับ”
“นั่นสินะครับ….หากมันมีการปนเปื้อนของพวกวิญญาณร้ายแล้วก็คงจะเป็นเรื่องยากเลยทีเดียวที่จะกำจัดมันออกไป”
เนื่องจากทั้งเหล่านักเรียนและคณาจารย์พร้อมใจกันเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องมหาวิทยาลัยนี้เอาไว้จึงทำให้หลายสิ่งไม่เสียหายไป ในจำนวนนั้นก็มีทั้ง บรูโน เอ็มเมอริค โจเซฟีน และศาสตราจารย์แคสเปอร์ที่สูญเสียพลังแห่งเทพไปแล้ว
“เหนือสิ่งอื่นใดก็เพราะความยากลำบากในการทำงานวิจัยของท่านนี่แหละครับ”
“แต่ครั้งนี้ผมติดหนี้คุณจริงๆ”
เมื่อพวกเขากลับมาที่ห้องทดลองของนักเรียน โจเซฟีนที่ดูเหมือนจะเสร็จงานของสัตวแพทย์ก็ตามมาสมทบกับพวกเขาด้วย นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมาโจเซฟีนยังได้มีส่วนช่วยในงานทดลองของเอ็มเมอริคด้วย
“สวัสดีค่ะ ศาสตราจารย์! วันนี้มาได้สักทีสินะคะ”
“ครับวันนี้พอมีเวลาอยู่บ้าง เอาละ ทีนี้เดี๋ยวผมจะอธิบายกำหนดการในอนาคตให้ฟังนะครับ”
ประการแรกจะทำการตรวจสอบแอนติบอดี้ที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ว่าเป็นที่มาของเชื้อตราหลอมละลาย
ก่อนจะใช้แรงดันไฟฟ้าจากภายนอกเพื่อทำการถ่ายโอนเชื้อไปยังแผ่นเพาะเลี้ยงเซลล์ จากร่างกายของจักรพรรดินีเพื่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมภายในห้องทดลองแทน นั่นคือวิธีการถอนคำสาปเบื้องต้นของเธอ
เอ็มเมอริคก็กำลังจัดการกับข้อมูลของเซลล์ กำลังขมวดคิ้วออกมาเหมือนลำบากใจ ฟาร์มากับโจเซฟีนจึงเข้าไปถาม
“เป็นอะไรไปเหรอครับ คุณเอ็มเมอริค?”
“คือว่าก็ไม่ได้เกี่ยวกับกลยุทธ์ในครั้งนี้หรอกนะครับ แต่ผมมีเรื่องที่กังวลอยู่อย่างหนึ่ง”
“อะไรเหรอครับ?”
“อาจจะดูเป็นคำถามทั่วไปนะครับ แต่ว่ามันตอนไหนและเมื่อไหร่กันครับที่จักรพรรดินีได้ตราหลอมละลายนี้มา?”
“มันเกิดขึ้นมาเนื่องจากพระสันตะปาปาได้เสียชีวิตลงครับ ถึงมันจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ในตอนนี้สิ่งที่พวกเรารู้ก็มีเพียงมันจะทำงานต่อเมื่อพระสันตะปาปาเสียชีวิตลงและมันเป็นโรคติดเชื้อครับ”
ฟาร์มาได้ออกคำสั่งปิดปากและบอกนักเรียนบางคนที่เกี่ยวข้องกับเซลล์เพาะเลี้ยงถึงอาการของเอลิซาเบท ถึงทั้งสองจะรู้สึกร้อนรนกับภารกิจในการช่วยชีวิตจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าเอ็มเมอริคจะมีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
“แต่ทั้งพระสันตะปาปาและฝ่าบาทก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันมาก่อน แปลว่าน่าจะต้องเป็นเชื้อที่ติดกันผ่านทางอากาศได้สินะครับ”
“ใช่ครับ พอพระสันตะปาปาเสียชีวิตลงเสร็จ ตราหลอมละลายก็เข้าไปติดที่จักรพรรดินีเอลิซาเบทแทนทันที”
“แล้วตราหลอมละลายมันรู้ถึงการตายของพระสันตะปาปาได้ยังไงกันครับอีกทั้งวิธีการเลือกที่จะย้ายไปยังบนแผ่นหลังของฝ่าบาทด้วย”
“เรื่องนั้นก็ตอบได้ยากเหมือนกันครับ”
“พอมาถึงขั้นตอนนี้ การที่เราวางแผนที่จะถ่ายโอนมันมาที่แผ่นเพาะเลี้ยงเซลล์แบบนี้ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่มันแพร่เชื้อมาให้พวกเราด้วยเหมือนกันนะครับ”
“อันที่จริงผมก็คิดถึงเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันนะครับ แต่โชคดีว่าผมไม่ติดเชื้อใดๆ มาเลย”
“แต่ถึงจะไม่มีอาการก็มีโอกาสจะเป็นเชื้อแฝงก็ได้นะครับ”
นั่นคือความเฉียบคมของเอ็มเมอริคที่เห็นในจุดนั้น แต่ฟาร์มาก็อยากจะให้เขาละส่วนนั้นเอาไว้ก่อน
คงจะเป็นเรื่องง่ายถ้าบอกไปเลยว่านั่นเป็นฝีมือของผู้ดูแลสุสาน แต่ถ้าเล่าไปมันก็คงฟังดูไม่สมเหตุสมผล
ฟาร์มาไม่รู้ว่าจะต้องตอบไปอย่างไรดี ก่อนที่โจเซฟีนสัตวแพทย์และลูกศิษย์ของฟาร์มาที่กำลังเฝ้าดูการทำงานของเขาพูดขั้น
“ฉันมีสมมติฐานหนึ่งค่ะ ถ้าผิดก็ขอโทษด้วยนะคะ”
“เชิญว่ามาได้เลยครับ”
ฟาร์มาเป็นพวกสนับสนุนความคิดเห็นทุกคนอย่างอิสระอยู่แล้ว
“ฉันคิดว่ามันอาจจะเหมือนปรากฏการณ์ของผึ้งหรือมดค่ะ”
“คุณหมายความว่ายังไงกันครับ?”
“ก็คือเมื่อนางพญามดหรือนางพญาผึ้งตาย นางพญาตัวใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น เพราะเมื่อพวกมันรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย มันก็จะพยายามตั้งนางพญาตัวใหม่ค่ะ”
นี่คือมุมมองที่สัตวแพทย์ต่างโลกเห็น
ฟาร์มานั้นเป็นเภสัชกร เขาจึงไม่ได้ทันนึกถึงปรากฏการณ์นี้เพราะเขาคิดว่ามันคือโรคติดเชื้อ นอกจากนี้เขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตววิทยาของโลกนี้ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโจเซฟีนนั่นย่อมมีความรู้ในด้านนี้มากกว่าเขา บนโลกของเขานั้นนี้มีสัตว์ฟันแทะไม่ก็พวกแมลงที่มีลักษณะทางสังคมเป็นแบบ “ระบบสังคมแบบพึ่งพาอาศัย” ที่หน้าที่ของแต่ละตัวในสังคมนั้นจะถูกแบ่งเฉพาะเจาะจงออกไป
ซึ่งฟาร์มาก็ไม่แน่ใจว่าที่โลกใบนี้มันจะเป็นเหมือนกันไหม แต่ดูเหมือนว่าจะใช่หากอ้างอิงจากที่โจเซฟีนบอก นั่นก็ทำให้เขานึกถึงตุ่นหนูไร้ขนที่ฟาร์มาเคยทำงานวิจัยทางพันธุกรรมของพวกมันในเรื่องของความแก่ชราเมื่อชีวิตก่อนที่เป็นสัตว์ที่มีระบบสังคมแบบพึ่งพาอาศัย
ตุ่นหนูไร้ขนนั้นมีชีวิตยืนยาวกว่าหนูทั่วไปถึง 10 เท่า มีความทนทานต่อเชื้อมะเร็งสูงและร่างกายต้านทานภาวะออกซิเดชันได้ดี มันจึงเป็นสัตว์ทดลองที่เหล่าเภสัชกรคุ้นเคยกันดี
ตุ่นหนูไร้ขนยังมีวิถีชีวิตทางสังคมเหมือนกับผึ้งและมด นางพญาตัวใหม่จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อนางพญาตัวเดิมได้ตายลงไปแล้ว นั่นจึงทำให้ทุกรังมีเพียงแค่นางพญาตัวเดียวเท่านั้นที่ใช้สำหรับการผสมพันธุ์ของรัง ไม่ต่างจากมดหรือผึ้ง พวกมันใช้ฟีโรโมนเพื่อป้องกันการเกิดของนางพญาตัวใหม่หากนางพญาตัวเดิมยังสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ สมมติฐานของโจเซฟันยังไม่จบแค่นั้น
“หากไม่มีกลไกในการเลือกผู้แบกรับตราหลอดละลายที่ชัดเจนแล้ว บางทีมันอาจจะถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยการที่จักรพรรดินีเห็นการตายของพระสันตะปาปานั่นก็ได้นะคะ การกระตุ้นของตราหลอมละลายน่าจะเป็นตรงจุดนั้น”
“นั่นสินะครับ…มีความเป็นไปได้พอสมควร”
ฟาร์มาปรบมือชื่นชมเธอ
ทางโจเซฟีนก็ดูมีความสุขเพราะความคิดเห็นของเธอได้รับการยอมรับ
“ระบบผึ้งและมดสินะ…..”
หากเราอ้างอิงจากปรากฏการณ์นี้ ก็จะหมายความว่าการตายของปิอุสนั้นได้ส่งฟีโรโมนหรือบางสิ่งออกมาจากร่างของเขาหลังเสียชีวิต จักรพรรดินีที่รับรู้สึกการเสียชีวิตของปิอุสก็ได้รับสารบางอย่างนั้นเข้าไปในร่าง และเข้าสู้กระบวนการเกิดตราหลอมละลายครั้งใหม่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทั้งพวก ผึ้ง มด หรือตุ่นหนูเปลือยนั้นต่างก็รับรู้ถึงการตายของนางพญาได้ด้วยฟีโรโมนและตัวรับสัญญาณบางอย่างที่ไม่ใช่การมองเห็น
“เดี๋ยวนะถ้าอ้างอิงแบบนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่ตราหลอมละลายจะรู้ว่าใครมีตัวรับสัญญาณ….อ๋อจริงสิ พวกเขาทำการรวบรวมผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระสันตะปาปาคนต่อไปไว้แล้วนี่นา เหตุผลที่พวกคาร์ดินัลมักจะได้เป็นพระสันตะปาปาต่อก็น่าจะเพราะแบบนี้…..แต่ว่าการได้รับโมเลกุลฟีโรโมน ในทางเคมีแล้วเราไม่เรียกมันว่าการติดเชื้อ”
เนื่องจากคำตอบที่เขาได้จากดวงตาคือโรคติดเชื้อฟาร์มาจึงได้บอกเรื่องนี้กับทางเอ็มเมอริคและโจเซฟีน ทั้งคู่ก็เลยหันมาสบตากันเพื่อคิดถึงความเป็นไปได้ต่อไป
“นั่นอาจจะหมายความว่าจักรพรรดินีนั้นมีตัวรับสาร X ดังกล่าว ไม่ก็ติดเชื้อที่สามารถทำให้เกิดอาการเช่นนั้นได้มาก่อน ฉันว่าเราน่าจะตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวโยงกันระหว่างพระสันตะปาปาปิอุสกับจักรพรรดินีก็น่าจะดีนะคะ”
หากพวกเขาได้ตรวจเทียบข้อมูลจีโนมของจักรพรรดินีกับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพทั่วไป ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะสามารถระบุตัวรับสาร X นั้นได้และจะเป็นการพิสูจน์สมมติฐานดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายหากจะลองทำดู
“ทางฉันก็จะไปตรวจสอบข้อมูลในอดีตเพื่อสร้างรายการของพวกสัตว์ที่มีรูปแบบทางสังคมแบบนี้ด้วยน่าจะดีนะคะ”
“ถ้าได้แบบนั้นก็เยี่ยมเลยครับ เพราะเราน่าจะได้แนวคิดที่มีประโยชน์มากกว่าเดิมด้วย”
“แต่ทางผมไม่มีเวลาทำแบบนั้นหรอกนะครับ แค่เรื่องเซลล์นี่ก็เกินมือแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็อยากให้คุณทำงานนี้ต่อไปเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นคุณโจเซฟีนก็พยายามเข้านะครับ”
“ค่ะ!”
(พวกนักเรียนของเราก็เริ่มมีแนวคิดที่น่าสนใจเป็นของตัวเองแล้ว ดีจริงๆ ที่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเดียวอีกต่อไป)
เมื่อฟาร์มากลับไปที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ ระหว่างที่นึกถึงการเติบโตของโจเซฟีน เอ็มเมอริคและเหล่านักเรียน เขาก็พบกับโซอี้ที่เข้ามาทำงานเช่นเดียวกัน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณโซอี้ ขอโทษที่ต้องปล่อยให้คุณทำงานคนเดียวซะนานเลย”
“ค่ะ ไม่ได้พบกันมาพักหนึ่งแล้วนะคะศาสตราจารย์ ว่าแต่มาถึงที่นี่ตอนไหนกันค่ะเนี่ย?”
“ก็กำลังมาถึงช่วงกลางวันนี้แหละครับ ขอโทษด้วยนะครับที่เอาแต่ทิ้งข้อมูลไว้ทางจดหมายตลอดเลย”
ฟาร์มาที่กลับมายังเมืองหลวงในช่วงกลางคืนนั้นมักจะเข้ามาที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์เพื่อทิ้งโน้ตไว้บนโต๊ะของโซอี้ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับการทำงานของเขา โซอี้ที่เห็นฟาร์มากลับมาก็ดูจะมีความสุขดี
“ช่วงบ่ายช่วยลงตารางนัดหมายไว้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”
“รับทราบค่ะ ว่าแต่ผู้รับนัดคือใครกันคะ”
คนที่ฟาร์มาต้องการจะพบนั่นก็คือศาสตราจารย์แคสเปอร์
ฟาร์มาเดินทางไปถึงห้องของศาสตราจารย์แคสเปอร์ตามเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ ซึ่งก็อย่างเคยศาสตราจารย์สูงวัยผู้นี้ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านเอกสารข้อมูลต่างๆ โดยมีกองหนังสือจำนวนมากล้อมเอาไว้อยู่
“ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยือนกันนะคะ ศาสตราจารย์ฟาร์มา เดอ เมดิซิส”
“ทางผมก็ต้องขอโทษที่มารบกวนเวลาคุณด้วยนะครับ”
น้ำเสียงของศาสตราจารย์แคสเปอร์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปกติเลย
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป แม้สภาพของเธอจะยังคงไม่ต่างจากเดิม
ฟาร์มาได้นำขนมที่เขาเลือกมาเองให้ศาสตราจารย์แคสเปอร์ ซึ่งนั่นก็คือหลังจากถามเลขาของเธอเกี่ยวกับรสนิยมเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นการแสดงความเอาใจใส่
“โฮ้ นี่มันของโปรดฉันเลยนะคะ”
“ผมได้ยินมาว่าพ่อของผมใช้ศาสตร์ต้องห้ามจนทำให้พลังแห่งเทพของศาสตราจารย์แคสเปอร์หายไปสินะครับ ร่างกายคุณตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
“โถ่ ร่างกายของฉันตอนนี้สบายดีค่ะ ไม่มีอะไรต้องให้เป็นห่วง”
เนื่องจากศาสตร์ต้องห้ามที่บรูโนใช้ จึงทำให้เธอสูญเสียพลังแห่งเทพไปตลอดกาล
นอกจากนั้นเขายังไม่ได้มาอีกว่าชีพจรแห่งเทพของพ่อเขาก็เกือบจะสิ้นไปเช่นกัน โชคร้ายที่แคสเปอร์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นด้วย ฟาร์มาที่ทราบเรื่องก็อยากจะพบกับเธอเพื่อดูว่ามีเรื่องที่เขาพอจะทำให้เธอได้บ้างหรือไม่
“ที่มาก็เพราะแบบนี้เองสินะคะ?”
“ใช่ครับ ผมอยากจะตรวจสอบชีพจรแห่งเทพของคุณสักหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ?”
“ท่านทำได้ด้วยเหรอคะ…งั้นก็ขอรบกวนด้วยนะคะ”
เมื่อศาสตราจารย์แคสเปอร์หลับตาลงฟาร์มาก็ได้ทำการตรวจดูชีพจรแห่งเทพของเธอ ผลก็คือมันหาได้ยากมากจนแทบจะเหมือนไม่มีอยู่ในร่างของเธอเลย อีกทั้งชีพจรแห่งเทพที่เขาเจอก็อยู่ในสภาพที่เหี่ยวเฉาและปิดสนิทไปแล้ว
พอฟาร์มาลองได้พลังของเขาในการเปิดชีพจรแห่งเทพดู ก็พบว่ามันไม่ได้ผลราวกับมันถูกตอกฝาโลงปิดตายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าไม่มีสิ่งใดที่ฟาร์มาทำได้อีกแล้ว
เธอกลายเป็นสามัญชนโดยสมบูรณ์แล้ว
ศาสตราจารย์แคสเปอร์ถามฟาร์มาแบบติดตลกเพราะฟาร์มาดูจะพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ได้ผลสินะคะ?”
“ครับ ดูเหมือนชีพจรแห่งเทพจะสูญสิ้นไปแล้ว”
“ฟุฟุฟุ อย่าทำหน้าแบบนั้นเลยค่ะ ก็แค่เพราะการมัวแต่ฝึกศาสตร์แห่งเทพมันสร้างปัญหาให้ฉันเยอะเลยนี่คะ อายุก็ปูนนี้แล้วด้วย นี่มันก็แค่เหมือนการหักคทาแล้วโยนทิ้งเท่านั้นเองค่ะ”
ศาสตราจารย์แคสเปอร์พูดอย่างเฉยเมยราวกับไม่สนใจจะกลับไปจับคทาตั้งแต่แรกแล้ว เพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นที่เธอยอมแลกมา
เธอบอกว่าทั้งพลังแห่งเทพในตอนนี้มันไม่ได้จำเป็นสำหรับเธอเลย เธอยังสามารถทำอาหาร หาเสื้อผ้าใส่ หรือซื้อที่พักอาศัยใหม่ได้โดยไม่ยาก แม้ว่าทรัพย์สินของเธอจะถูกยึดไปและถูกขับออกจากการเป็นชนชั้นสูง
“ถ้าหากว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ ก็เชิญมาที่ตระกูลของผมได้เลยนะครับ พวกเราเปิดประตูต้อนรับคุณเสมอ”
ตระกูลเดอ เมดิซิสนั้นมีพลังมากพอที่จะต้องรับอดีตนักวิชาการสูงวัยคนนี้ในฐานะแขกอยู่แล้ว
ถึงอาจจะดูน้อยไปสำหรับศาสตราจารย์แคสเปอร์ แต่เขาก็คิดว่าทางตระกูลเดอ เมดิซิส ควรจะรับผิดชอบชีวิตในวัยชราของเธอไว้ ทว่าราวกับความกังวลของฟาร์มาเป็นเพียงเรื่องเล็ก ศาสตราจารย์แคสเปอร์ได้หัวเราะออกมาเสียจนหมดแรง
“ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ ถึงฉันจะไม่ได้เป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นนักวิชาการนะคะ ถึงจะไม่มีศาสตร์แห่งเทพแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกละอายกับการที่ต้องเดินในเส้นทางนี้ต่อหรอกค่ะ”
ศาสตราจารย์สูงวัยคนนี้ยังคงดูเฉียบคมเช่นเคยและไม่ต้องการความเห็นใจในสิ่งที่เธอเลือกเดิน
“ครับ ทางผมก็จะไม่มีวันลืมการตัดสินใจอันกล้าหาญของศาสตราจารย์และความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้คนมากมาย”
“ดีแล้วค่ะ อย่ามาเสียใจแทนตัวฉันเลย เพราะฉันก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกแย่เช่นเดียวกัน”
“…เข้าใจแล้วครับ”
“ช่วงนี้ค่อนข้างหนาว ระวังเป็นหวัดด้วยนะคะ”
ฟาร์มาพยักหน้าให้เธอก่อนจะออกจากห้องไปโดยกลืนคำพูดของเขาที่เหลืออยู่กลับไป
ขณะที่เขากำลังจะออกจากห้องไปเงียบๆ ศาสตราจารย์แคสเปอร์ก็พูดเรื่องที่น่าขนลุกออกมา
“ยิ่งไปกว่านั้น คำสาปของพ่อท่านร้ายแรงกว่าอีกนี่คะ ท่านควรจะไปดูอาการเสียหน่อยนะคะ”
“เดี๋ยวนะครับ ที่ผมรู้มาก็คือท่านพ่อไม่ได้สูญเสียชีพจรแห่งเทพไปนี่ครับ”
ศาสตราจารย์แคสเปอร์หน้าซีด เพราะดูท่าฟาร์มายังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เปิดขึ้น
“งั้นเหรอคะ ถ้าจะให้พูดก็คือหากพ่อของท่านใช้ศาสตร์แห่งเทพ แม้เพียงอีกแค่ครั้งเดียว ร่างกายของเขาก็จะเน่าเปื่อยและตายลงไป พ่อของท่านพบกับคำสาปเช่นนั้นแหละค่ะ”
ฟาร์มาต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อทำความเข้าใจคำพูดของศาสตราจารย์แคสเปอร์ ยาอายุวัฒนะฮาบัลลิเทอร์เป็นยาที่ปกป้องพลเมืองจากวิญญาณร้าย เพื่อแลกกับใช้ศาสตร์ต้องห้าม บรูโนจึงไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อีกต่อไป นั่นคือราคาที่เขาต้องจ่าย
“ไม่มีศาสตร์ต้องห้ามใดจะสะดวกสบายจนไม่จำเป็นต้องมีของแลกเปลี่ยนหรอกค่ะ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ถูกเรียกว่าศาสตร์ต้องห้าม”
จะให้พูดก็คือบรูโนในตอนนี้ก็เหมือนคนที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อีกแล้ว
——–
Note 1 : ตอนหน้าก็จบเล่ม 6 แล้วครับ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code