Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 97

ตอนที่ 97 จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และความลับของยีน

 

 

เมื่อปาลเล่เดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงเขาก็รีบตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลและก็ต้องพบกับสภาพที่คฤหาสน์นั้นเสียหายไปแล้ว

 

 

“ท่านแม่! ปลอดภัยดีไหมครับ!”

 

 

ปาลเล่รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นที่นี่จึงได้ตะโกนเรียกเบียทริชด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

 

เขาเดินทางโดยไม่พักกระทั่งจะดื่มน้ำเพียงแค่สักหยดก็ไม่มี เขาพยายามควบม้าฝ่าสายหมอกมาตลอดทั้งเส้นทาง

 

พอเขาเข้ามาภายในเขตของบ้าน ก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ตรงลานบ้าน ปาลเล่ไม่รอช้ารีบนำคทาของเขาออกมาก่อนจะเดินเข้าไปดู แล้วก็พบว่าตรงนั้นคือฟาร์มาที่กำลังรักษาเซดริกที่บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนทางเบียทริชก็ยืนดูด้วยความเป็นห่วง

 

“ท่านแม่ ปลอดภัยดีสินะครับ”

 

“ปาลเล่?! ทำไมลูกถึงกลับมาที่นี่กัน…แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูแลคนอื่นๆ แล้วอย่ากลับมาที่นี่!”

 

 

เบียทริชดูจะเป็นกังวลกว่าเดิมเมื่อลูกชายทั้งสองของเธอตามกลับมาที่คฤหาสน์เหมือนเดิม

 

ปาลเล่จึงได้อธิบายถึงที่มา

 

 

“ผมส่งคนที่เหลือไปยังที่ปลอดภัยแล้วครับ ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอีก”

 

 

“ยินดีต้อนรับกลับนะครับท่านพี่ คุณเซดริกตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

 

 

“ขอบพระคุณมากครับท่านฟาร์มา ทั้งที่เป็นแค่รอยข่วนแท้ๆ”

 

“อย่าเรียกมันว่าแค่รอยข่วนเลยครับ”

 

 

จากนั้นปาลเล่ก็เรียกฟาร์มาไปคุยหลังจากที่เขารักษาเซดริกเสร็จ

 

“ฟาร์มา นายกลับมาก็ดีแล้ว ก็อย่างที่เห็นตอนนี้เมืองหลวงกำลังวุ่นวายไปหมดพลังแห่งเทพของฉันก็หมดแล้วด้วย ทางนายคิดจะทำยังไงต่อจากนี้ล่ะ หากปล่อยไว้แบบนี้พอพระอาทิตย์ตกดิน พวกวิญญาณร้ายฝูงใหม่ได้ออกมาอีกแน่”

 

 

ปาลเล่สรุปเรื่องราวอย่างง่ายก่อนจะถามฟาร์มาด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

 

 

“คือว่าถ้าเป็นเรื่องนั้นผมพอจะรู้แล้วครับว่าต้องทำยังไงบ้าง”

 

“แปลว่านายได้รับวิวรณ์มาจากเทพโอสถแล้วสินะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นประสงค์ของเหล่าเทพเทพผู้พิทักษ์งั้นเหรอ?”

 

 

ปาลเล่คว้าไหล่ของฟาร์มามาเขย่า ก่อนจะเอาปลายนิ้วของตนเจาะเข้าไปที่ไหล่ของฟาร์มาเพื่อถามเอาความ

 

 

 

“….ผมไม่สามารถหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ได้ด้วยตัวเองครับ ถึงเราจะสามารถปกป้องเมืองหลวงเอาไว้ได้ แต่ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็มีแนวโน้มว่าจะถูกพวกวิญญาณร้ายกลืนกินเช่นกัน ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝากเรื่องนี้ไว้กับฝ่าบาทเป็นการชั่วคราวครับ”

 

 

“นี่นายจะบอกว่านายกำลังจะเอาชีวิตของฝ่าบาทไปเสี่ยงอันตรายด้วยงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่นายเป็นถึงแพทย์โอสถหลวงส่วนพระองค์เนี่ยนะ!!”

 

 

สายตาของปาลเล่จ้องไปที่ฟาร์มาด้วยความดุดัน จนรู้สึกขนลุกเมื่อต้องมองตา ตระกูลเดอ เมดิซิสนั้นเป็นตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งของแพทย์โอสถหลวงมากว่าหลายชั่วอายุคน ถ้าหากว่าคนในตระกูลดันไปสร้างเรื่องให้กับองค์จักรพรรดิเข้า ไม่ว่าใครก็คงนอนตายตาไม่หลับ

 

 

“ครับ…แต่ผมก็ขอสัญญาว่าจะปกป้องชีวิตของพระองค์ให้ถึงที่สุด เพราะผมไม่สามารถคิดหาทางออกอื่นได้อีกแล้วครับ”

 

 

สายตาของทั้งสองพี่น้องปะทะกันอย่างรุนแรง จนปาลเล่เห็นว่าฟาร์มาไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยความคิดที่ตื้นเขิน

 

“งั้นก็เอาตามที่นายว่า ถึงจะจบลงที่ต้องกลายเป็นกบฏก็เถอะนะ ทำสิ่งที่นายคิดว่าดีสำหรับโลกนี้ซะ ทำตามสิ่งที่วิวรณ์ของเทพโอสถบอกกับนาย หากนายพลาดขึ้นมาเดี๋ยวเราค่อยไปขึ้นลานประหารด้วยกันนะน้องพี่ แบบนั้นคงได้สินะครับท่านแม่”

 

“…เอาเถอะ แม่ก็ว่าอะไรไม่ได้ เห้อ ทำไมผู้ชายทั้งสามคนของตระกูลเราเป็นแบบนี้ไปซะหมดนะ!”

 

 

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ เพราะพวกเราก็แค่ทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อ”

 

“ให้ตายสิ…เหมือนกับคนคนนั้นไม่มีผิด”

 

 

ขณะที่บ่นไปตามประสาแม่ เบียทริชก็จ้องมองไปที่ฟาร์มา

 

ปาลเล่ก็ตบเข้าที่หลังของฟาร์มาเพื่อให้เขาเตรียมออกศึกต่อไป

 

“ไปกันเถอะ ฟาร์มา”

 

“ครับงั้นก็ลุยกันเลย”

 

 

ฟาร์มาหรี่สายตาของตนลงครึ่งหนึ่ง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับทั้งสองคนแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

“แล้วผมจะกลับมานะครับ”

 

 

 

 

 

 

“รอบนี้คือวิญญาณร้ายของจริงเลยสินะคะ”

 

 

เมโลดี้ได้นำทางเหล่าสมาชิกตระกูลเดอ เมดิซิสรวมไปถึงลอตเต้และบลานช์ พร้อมกับตระกูลบอนฟัวไปยังคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองแลมบลู ก่อนจะทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านในการเสิร์ฟชาให้กับแขกที่มาเยือน

 

 

 

“ยานี้ที่ฉันได้รับมาจากท่านแพทย์โอสถนี่คือฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตฉันเลยค่ะ มันทำให้ฉันไม่ต้องเห็นในสิ่งที่กลัวและกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้”

 

 

 

เมโลดี้ซึ่งป่วยเป็นโรคจิตเภท จึงจำเป็นต้องใช้ยาของฟาร์มา ถึงตอนนี้อาการของเมโลดี้เข้าสู่ช่วงคงที่แล้ว แต่เธอก็ยังคงใช้ยาต่อไปพร้อมกับปรึกษากับฟาร์มาไปด้วย

 

เมื่อก่อนนั้นเธอมีอาการเหมือนถูกวิญญาณร้ายสิ่งสู่ ทำให้ต้องต่อสู้กับภาพลวงตาที่ตนเห็น ด้วยเหตุนั้นเธอจึงมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับมันในโลกของตนเองจึงสามารถรักษาฝีมือที่มีในอดีตได้ในระดับหนึ่ง พอเธอพบกับของจริงที่ไม่ใช่ภาพหลอน เธอก็มีความรู้สึกปวดร้าวราวกับฝันร้ายในอดีตมันกลับมาหลอกหลอนเธอเป็นพักๆ

 

 

 

“แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องสู้นี่คะทำไงได้”

 

 

“ท่านเมโลดี้ สุดยอดไปเลยค่ะ”

 

 

บลานช์ดูจะชื่นชมในตัวเธอเป็นอย่างมาก ถึงเอเลนจะเป็นอาจารย์ของบลานช์ แต่บลานช์รู้สึกว่าตนกำลังโดนความกล้าหาญของเมโลดี้แผดเผาร่างของเธอไปหมดแล้ว ดูได้จากสายตาของบลานช์ที่มองไปยังเมโลดี้ ส่วนทางล้อตเต้ก็ได้ถามคำถามกับเมโลดี้

 

 

 

“พวกวิญญาณร้ายนี่มันเกิดมาได้ยังไงกันคะ?”

 

“ว่ากันว่าวิญญาณร้ายก็คือวิญญาณของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร มันก็คล้ายกับเครื่องเตือนใจเราเสมอว่าโลกที่เราอยู่นี้ไม่ได้ปลอดภัยไปเสียหมด”

 

 

“แล้วจะมีอะไรที่ฉันสามารถทำได้บ้างคะ ตัวฉันที่ไม่มีพลังแห่งเทพ?”

 

“หากเป็นเรื่องนั้น….จงอย่าทำตัวอ่อนแอ เข้มแข็งเข้าไว้ เพราะพวกวิญญาณร้ายนั้นจะสามารถโจมตีผู้ที่จิตใจอ่อนแอได้ง่ายกว่า โดยการใช้ประโยชน์จากคนพวกนั้นและเสนอที่จะมอบพลังให้”

 

 

“ค่ะ…หนูก็จะต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่ง!”

 

บลานช์พูดตอบกลับ ส่วนทางลอตเต้ที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงมาก่อน ก็เหมือนจะยังมีความกังวลอยู่ภายในจิตใจ

 

 

เมโลดี้ที่เห็นแบบนั้น ก็ปรบมือก่อนจะพูดความคิดของตัวเองออกมา

 

 

“ก็เข้าใจนะว่าพูดแค่นี้คงทำให้สบายใจไม่ได้ งั้นเอาแบบนี้ไหมฉันมีศาสตร์แห่งเทพที่คนทั่วไปถึงไม่มีพลังแห่งเทพก็สามารถใช้ได้ อยากลองเรียนดูไหมเพราะพวกชนชั้นสูงที่พลังแห่งเทพหมดหรือทำคทาแห่งเทพหาย ก็มักจะใช้ศาสตร์พวกนี้ในการรับมือกับพวกวิญญาณร้ายเหมือนกัน ทางฉันก็มีประมาณสองสามมนตร์ไว้พอเป็นไพ่สำรองอยู่นะคะ”

 

 

“เอ๋ ศาสตร์แห่งเทพเหรอคะ?! แต่สามัญชนแบบนั้น…จะใช้มันได้จริงเหรอคะ?”

 

 

“อื้ม ฉันรู้น่าว่าคุณเป็นคนธรรมดา”

 

“แต่ว่าท่านเมโลดี้คะ ฉันได้ยินว่ามามันมีกฏที่ห้ามสอนสามัญชนเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพไม่ใช่หรือไงกันคะ…”

 

 

 

ลอตเต้ถามอย่างกังวล

 

 

“ก็ใช่หรอกที่มันเป็นข้อห้าม เพราะศาสตร์แห่งเทพต้องสอนให้กับบุคคลที่คาดหวังได้ และจากที่ฉันสังเกตคุณมา ก็คิดว่าความสามารถของคุณน่าจะไม่ด้อยไปกว่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพทั่วไปหรอกนะ”

 

ว่าแล้วเมโลดี้ก็ขยิบตาให้กับเธออย่างซุกซน

 

และสิ่งที่เมโลดี้นำมาก็คือบันทึกของวงเวทต่างๆ จากศาสตร์แห่งเพลิงที่ค่อนข้างหนาพอสมควร ซึ่งมันเกิดมาจากการที่เธอได้เขียนบันทึกเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ลอตเต้ได้เห็นคำอธิบายเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพ เพราะไม่ว่าจะเป็นตำราต้องห้ามหรือหนังสือที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพสามัญชนทั่วไปย่อมไม่มีทางให้จับต้อง อีกทั้งโดยปกติแล้วศาสตร์พวกนี้จะถ่ายทอดกันปากต่อปากจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ของพวกเขา แต่ด้วยเมโลดี้นั้นป่วยเป็นโรคจิตเภท เธอเลยจำเป็นต้องจดบันทึกมนตร์ของเธอเอาไว้อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เธอลืมมันไป

 

 

 

“ถึงจะมีมนตร์อยู่หลายแบบ แต่ฉันจะให้อันนี้กับคุณก็แล้วกันนะ”

 

“ของมีค่ามากขนาดนี้…ถ้างั้นฉันจะเอามันไปคัดลอกแล้วค่อยส่งคืนมาให้นะคะ”

 

“แบบนั้นก็ไม่เลวนะ”

 

 

“ขอบพระคุณมากเลยนะคะ ว่าแต่ฉันต้องทำยังไงกับสิ่งนี้ต่อเหรอคะ”

 

“ง่ายมากก็แค่คุณต้องวาดลวดลายวงเวทพวกนี้ด้วยน้ำมันชนิดพิเศษที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยการเผาจากไฟของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว ถึงมันจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับมนตร์ของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ แต่ก็พอจะซื้อเวลาให้ได้ คุณก็วาดรูปเก่งด้วยไม่ใช่หรือไง?”

 

 

เมโลดี้ยิ้ม ก่อนจะหยิบคทาของเธอออกมาและใช้ศาสตร์แห่งเทพสร้างเปลวไฟขึ้นมาภายในมือของเธอ

 

ในฐานะแกรนดยุกแล้ว เปลวไฟนี้ช่างบริสุทธิ์และทรงพลังความสามารถของเธอมันมากพอจะสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้จริงๆ

 

 

“นี่คือไฟต้นกำเนิด ที่ฉันใช้ทำน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำ ถ้าเกิดน้ำมันหมดแล้วก็กลับมาเอาใหม่ได้นะ”

 

 

เมโลดี้หลอมน้ำมันภายในเตาหลอมแก้วแบบพิเศษ เพื่อจะมอบมันให้กับลอตเต้

 

เธอส่งกระติกที่มีน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้อยู่ภายในให้ลอตเต้

 

สีหน้าของลอตเต้เป็นประกายออกมาทันทีเมื่อเมโลดี้มอบของขวัญแสนวิเศษนี้ให้กับเธอ

 

 

 

 

“คุณอยากจะลองฝึกการใช้ศาสตร์แห่งเทพดูเลยไหม เดี๋ยวฉันจะสอนคุณเอง”

 

“ขอรบกวนด้วยนะคะ!”

 

 

ลอตเต้พยักหน้าแบบประหม่า ส่วนบลานช์ก็อดอิจฉาไม่ได้

 

 

 

“ดีจังเลยน้า หนูก็อยากให้ท่านสอนศาสตร์แห่งเพลิงให้บ้างจัง”

 

“น่าเสียดายนะ แต่บลานช์จังเป็นธาตุน้ำซึ่งตรงข้ามกับธาตุไฟของฉัน คงจะไม่ได้หรอกเนอะ แถมวงเวทพวกนี้ก็มีความซับซ้อนในการวาดขึ้นมามากด้วยสิ”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

บลานช์ก็ได้แค่หน้ามุ่ยใส่

 

 

“จะว่าไป ฉันจะจัดการกับพวกไฟที่สร้างขึ้นมาได้ยังไงกันคะ ประมาณว่าถ้าเกิดไฟมันลามขึ้นมา ฉันอาจจะทำไฟไหม้เอาก็ได้ด้วยสิ”

 

“ถึงคุณจะสร้างเปลวเพลิงขึ้นมาด้วยไม่สามารถควบคุมมันได้ มันก็จะทำการเผาแค่น้ำมันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหละ ดังนั้นสบายใจได้ มันไม่มีทางลามไปจุดอื่นนอกจากที่น้ำมันศักดิ์สิทธิ์อยู่หรอกและมันดับไปเองไม่นานหลังจากที่จุดด้วย”

 

 

“ดีจังเลยค่ะ นึกว่าอาจจะเผลอไปเผาคฤหาสน์ซะแล้วสิ”

 

หลังจากที่ลอตเต้กับเมโลดี้ ฝึกพิเศษกันกว่าหลายชั่วโมง

 

ผลก็คือตอนนี้ลอตเต้สามารถเขียนวงเวทในการขับไล่พวกวิญญาณร้ายขั้นพื้นฐานได้แล้ว

 

ถึงเธอจะไม่ใช่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ แต่เธอก็เริ่มได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งเทพจากสุดยอดผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอย่างเมโลดี้แล้ว

 

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่ คุณชาร์ล็อตนี่ วาดวงเวทได้ดีกว่าที่ฉันคิดอีกนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นความแม่นยำและความรวดเร็วนี้ทำฉันอดประหลาดใจไม่ได้เลย ถ้าคุณเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ ฉันก็อยากจะรับคุณเข้ามาเป็นศิษย์จริงๆ เลย ช่างน่าเสียดาย”

 

“เป็นเกียรติจริงๆ ค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีที่มอบความรู้อันมีค่าแก่ฉันขนาดนี้…ไว้ฉันจะส่งรูปภาพมาเป็นคำขอบคุณอีกทีนะคะ”

 

 

“ภาพวาดก็ดีหรอกนะ แต่ถ้าได้ขนมที่คุณทำด้วยน่าจะดี พายผลไม้ที่ฉันกินตอนอยู่ที่ร้านก็ฝีมือคุณใช่ไหมล่ะคะ”

 

“ได้สิคะ!”

 

สำหรับลอตเต้แล้วการอพยพในครั้งนี้มันมีความหมายขึ้นมาแล้ว มันช่วยกระตุ้นให้เธอหลุดพ้นจากความกังวลของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเสียใจจริงๆ ที่ต้องให้พระองค์มาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้แม้จะมีกระหม่อมอยู่ข้างๆ”

 

 

สามวันต่อมา ฟาร์มาก็เข้าไปขอโทษจักรพรรดินีที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งพระสันตะปาปาภายในห้องรับรองส่วนกลางของนครศักดิ์สิทธิ์

 

 

“อย่ามองเราด้วยใบหน้าที่ดูน่าสมเพชเช่นนั้นสิ”

 

 

พอฟาร์มาไปที่เมืองหลวงเสร็จ เขาก็รีบกลับมาหาจักรพรรดินีและขอให้เธอขึ้นเป็นพระสันตะปาปา ซึ่งจักรพรรดินีก็ยอมรับคำขอนั้นแต่โดยดี ก่อนจะเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดเผยเรื่องที่ตนมีตราหลอมละลายและทำการรับตำแหน่งพระสันตะปาปา

 

ถึงเธอจะไม่ใช่นักบวชแต่เธอก็ได้รับการศึกษาของจักรวรรดิด้วยมีความรู้ของศาสนจักรอยู่ภายในนั้นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศาสตร์พื้นฐานและศาสตร์ของเหล่านักบวชระดับสูง เธอก็สามารถเรียนรู้ตามได้ไม่ยากทำให้คาดได้ว่าศาสตร์ลับของพระสันตะปาปาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

 

พร้อมกันนี้เองจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟจะทำการผนวกนครศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วย

 

ในมุมมองของนครศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาอาจจะตั้งใจทำให้จักรวรรดิกลายเป็นรัฐรอง แต่เมื่อพิจารณาจากกำลังทางการทหารแล้ว นครศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่พ้นต้องถูกกลืนกินเข้าไปแทน แถมตัวตนของพระสันตะปาปาสำหรับนครรศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ใช่สิ่งที่จะขัดขืนคำสั่งได้ การกบฏจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

 

 

“ผลที่ตามมาจากการเลือกสิ่งนี้ หากคิดซะว่าได้นครศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเป็นดินแดน เราว่าก็ไม่เลวนะ แถมยังสามารถจัดการเรื่องการสร้างนิกายใหม่ที่เคารพบูชาเทพผู้พิทักษ์ที่เคยอยู่ในแผนของเราได้ด้วย ผลกระทบที่เราต้องเจอก็ดูเล็กน้อยไปเลย”

 

 

ถึงเธอจะแสดงด้านที่เข้มแข็งออกมาให้ฟาร์มาได้เห็น แต่ข้างในเธอก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

 

 

 

“ตั้งแต่เรารู้ว่าเรามีสิ่งนี้ เราก็ไม่ได้คิดจะหนีหรือยอมแพ้หดหัวแต่แรกอยู่แล้วด้วย”

 

 

ฟาร์มาก็ฟังสิ่งที่เธอพูดอย่างเงียบๆ

 

 

 

(ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะยอมแพ้กับโชคชะตาไปแล้ว แต่ตรงกันข้ามเธอยังคงมีจิตใจที่จะดิ้นรนอยู่สินะ)

 

 

 

 

 

 

 

นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาตั้งใจจะทำเพราะท้ายที่สุดถึงจะพาเธอหนีไปที่ไหนก็ตามโดยไม่รับตำแหน่งสันตะปาปา แต่ด้วยตราหลอมละลายที่ถูกตั้งค่าไว้ให้ละลายร่างของเธอในวันที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงอยู่ดี

 

และพอเธอได้รับตำแหน่งพระสันตะปาปา ฟาร์มาก็จะได้ข้อมูลที่มีเพียงพระสันตะปาปาที่รู้ บางทีเรื่องของตราหลอมละลายอาจจะมีทางแก้ไขได้ด้วยวิธีการทางอณูชีววิทยาและเซลล์

 

 

 

 

เมื่อประตูอาสนของมหาวิหารเปิดตามเวลาที่กำหนด นักบวชระดับสูงของนครศักดิ์สิทธิ์จะมารวมตัวกันและก้มกราบไหว้จักรพรรดินี

 

นับตั้งแต่พิธีราชาภิเษกที่เธอได้สวมมงกุฎ นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอได้มาที่แห่งนี้เพื่อทำการรับตำแหน่งพระสันตะปาปา ทำให้บรรดาศักดิ์ของเธอกลายเป็น “จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เอลิซาเบทที่ 1” ซึ่งมาพร้อมกับคทาแห่งสัตตะปาปาและตำแหน่งพระสันตะปาปา

 

ในฐานะที่เธอรับตำแหน่งพระสันตะปาปาผู้นำสูงสุดของนครศักดิ์สิทธิ์และประมุขแห่งรัฐเป็นครั้งแรก เธอจำเป็นต้องกล่าวถ้อยคำแถลงที่เหมาะสมให้แก่เหล่านักบวชที่รวมตัวกันตรงจัตุรัส

 

 

“พิธีนี้เป็นพิธีที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสันตะปาปาแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบทที่ 1 สิ่งแรกก่อนที่เราจะเริ่มเมื่อปกครองนครศักดิ์สิทธิ์ เราขอประกาศให้พวกเจ้าทุกคนทราบว่า พวกเจ้าจงให้ความเคารพ ฟาร์มา เดอ เมดิซิส ซึ่งเป็นเทพโอสถและเหล่าเทพผู้พิทักษ์องค์อื่นๆ ด้วยใจจริง ผู้ใดที่ดูหมิ่นเหล่าเทพผู้พิทักษ์ ไม่ยอมสาบานตนจงรักภักดีและตีตัวออกหาก จะถือว่ามันผู้นั้นเป็นกบฏต่อเราและนครศักดิ์สิทธิ์ เราจะทำการขับไล่พวกมันออกไปเสียให้สิ้น”

 

 

ฟาร์มารู้สึกงุนงงขึ้นมาทันทีเมื่อจักรพรรดินีพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนการปลุกระดมและข่มขู่

 

แต่นี่ก็น่าจะเป็นวิธีการต่อสู้ของตัวเธอเองเพื่อปกป้องความปลอดภัยของฟาร์มา ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่เธอทำลงไปได้ เพราะตัวเธอต้องเสียสละตัวเองหลังจากรับตำแหน่งนี้ในฐานะเครื่องสังเวยของฟันเฟือง แต่ถึงจะมีภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้อยู่เธอก็ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นและยังคงพยายามปกครองนครศักดิ์สิทธิ์ให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนจักรวรรดิ

 

 

“ฟาร์มาไม่ใช่ศัตรูของพวกเจ้า ถึงจะมีเทพที่ชั่วร้ายเกิดขึ้นมาในอดีต แต่ฟาร์มานั้นแตกต่างออกไป เขาได้ช่วยเหลือชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน ซึ่งเราก็สามารถเป็นพยานในการทำความดีนั้นได้!”

 

 

เมื่อเขามองไปยังจักรพรรดินีผู้ป่าวประกาศออกมาอย่างไม่ลังเล ฟาร์มาก็รู้ได้ทันทีถึงชะตากรรมของเขาที่ต้องเกี่ยวพันกับเธอไปอีกนานแสนนาน จากนั้นเธอก็พูดต่อราวกับต้องการตักเตือนพวกนักบวชที่โวยวายออกมาบางส่วน

 

 

 

 

“พวกเจ้าทั้งหลายจงละทิ้งจิตสำนึกที่ว่าตนนั้นเป็นนักบวชผู้สูงส่งที่พระเจ้าเลือกมาให้เป็นผู้กำหนดชีพจรแห่งเทพของเหล่าชนชั้นสูงไปเสีย พวกเจ้าทุกคนคือข้ารับใช้ของพระเจ้าและคนของโลกใบนี้ นครศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นองค์กรระดับโลกที่มีความเป็นกลางและยุติธรรมมากที่สุด และพวกเจ้ายังถือว่าเป็นข้าราชการที่จักต้องสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติของเราสืบไป ตัวเราจะขอปฏิญาณว่าจะปกครองแผ่นดินโดยไม่ละทิ้งเทพผู้พิทักษ์และให้เหล่าเทพได้สถิตใกล้ดวงใจของปวงประชาเราทุกคน”

 

 

นั่นคือความปรารถนาที่เหล่านักบวชจะทำตาม เพราะคำพูดของพระสันตะปาปาคือกฎหมายแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ได้มาการทำพิธีสวดมนต์ครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่านักบวชหลายคนในนครศักดิ์สิทธิ์จะมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถ จึงทำให้เมื่อพวกเขาสวดภาวนาแล้วฟาร์มาก็รู้สึกได้ว่ามีพลังไหลเข้ามาในร่างกาย

 

 

 

หลังจากขึ้นครองราชย์และรับคทาพระสันตะปาปา ก็เข้าพิธีการถ่ายทอดพลังแห่งเทพไปยังวงเวทขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายจากอาสนมหาวิหารออกไปรอบนอก แสงที่ล้นออกมาจากวงเวทขนาดใหญ่นั้นได้วิ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกราวกับใยแก้วนำแสง ฟาร์มาก็เป็นพยานในเหตุการณ์นี้ด้วย นั่นหมายความว่างานแรกของจักรพรรดินีในฐานะพระสันตะปาปาเสร็จสิ้นแล้ว

 

อาจจะเป็นเพราะเธอใช้พลังแห่งเทพไปมาก จึงทำให้เธอหมดแรงคาโต๊ะทำงาน

 

ส่วนพวกนักบวชก็คอยดูแลเธอด้วยอารมณ์ชื่นมื่น

 

 

 

“ด้วยอำนาจของฝ่าบาท พวกวิญญาณร้ายจะถูกกำจัดและนำแสงสว่างกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง การทำงานของโบสถ์ทั่วทุกมุมโลกก็จะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์”

 

 

เหล่าคาร์ดินัลยกย่องจักรพรรดินี ส่วนทางจูเลียน่าที่เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินส่วนตัวของเธอ ก็ทำการคำนวณพลังแห่งเทพที่จักรพรรดินีสูญเสียไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะเริ่มกลั่นน้ำศักดิ์สิทธิ์จากคริสทัลเพื่อฟื้นฟูพลังให้กับเธอ จากนั้นจักรพรรดินีก็ไล่พวกนักบวชออกไปจากห้องเพื่อจะทำการคุยส่วนตัวกับฟาร์มา

 

 

“ฟาร์มา เราต้องขอโทษเจ้าด้วย เพราะเราทำให้เจ้าต้องทำให้สิ่งที่เจ้าเกลียดที่สุดเสียแล้ว”

 

“ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

ฟาร์มาส่ายหัวและรับคำขอโทษของจักรพรรดินี เพราะสิ่งที่เธอทำนั้นจะทำให้ฟาร์มาถูกวางเอาไว้ว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ของนครศักดิ์สิทธิ์

 

ตอนนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้อีกแล้ว ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่สถานการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างซับซ้อน หากเธอล้มเหลวในการรวมอำนาจของนครศักดิ์สิทธิ์ ก็จะทำให้จักรวรรดิของเธอมีปัญหาเอาไว้

 

เพราะเห็นได้ชัดว่าพลเมืองจำนวนมากของจักรวรรดินั้นก็ไม่ได้ต้องการจะตกอยู่ภายใต้นครศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหากมีฟาร์มาอยู่สมดุลทางอำนาจก็จะเอนไปทางจักรวรรดิ

 

 

 

“แต่เพราะความสัมพันธ์ของเรากับนครศักดิ์สิทธิ์นั้นมันค่อนข้างจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดระหว่างเรากับพวกเขา หากเราไม่นำเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็คงจะไม่สามารถพูดออกมาได้มากขนาดนั้น อีกอย่างพวกเขาก็เป็นคนที่โจมตีเจ้าเมื่อคราวก่อนด้วย จะให้วางใจไปเลยก็คงจะไม่ได้”

 

 

“อย่างที่พระองค์กล่าว ขอบคุณสำหรับความห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”

 

เนื่องจากฟาร์มาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นร่างอวตารของเทพผู้พิทักษ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงไม่เป็นศัตรูกับพวกนักบวชอีกต่อไป แต่ก็กลายเป็นว่าเขามักจะถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มผู้คุ้มกันหรือผู้พิทักษ์แทน ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด เหล่านักบวชก็จะมาสักการะเขา ซึ่งนั่นทำให้ฟาร์มารู้สึกอายอย่างมาก

 

แต่เพื่อแลกกับความอายและความไม่สะดวกสบายนั้น ฟาร์มาก็ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงสมบัติลับทั้งหมดของนครจักรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระ นี่เป็นเพราะจักรพรรดินีสรุปว่าสมบัติลับเดิมทีเป็นของเทพผู้พิทักษ์ มันเป็นสิทธิพิเศษที่ฟาร์มาเกินจะต้านได้

 

 

 

ในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากเข้ารับตำแหน่ง จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มปฏิรูปการปกครองของนครศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่เธอทำในจักรวรรดิ เธอยกเลิกพิธีการไร้สาระในทันทีพร้อมกับยกเลิกตำแหน่งคาร์ดินัลในศาสนจักรไป และเพื่อปกป้องทั่วทั้งทวีปจากพวกวิญญาณร้ายได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เธอจึงสั่งให้มีการจัดระเบียบองค์กรใหม่เพื่อให้เหล่านักบวชสามารถติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเน้นไปที่พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น จากนั้นเธอก็ตัดสินใจให้แต่ละตำแหน่งหน้าที่ภายในนครศักดิ์สิทธิ์โอนไปยังจักรวรรดิแทน

 

เธอทำการแต่งตั้งให้ซาโลม่อนซึ่งได้รับความไว้วางใจจากเธอให้ดูแลส่วนของนครศักดิ์สิทธิ์ เธอสั่งให้เขาทำการดูแลเรื่องของฟันเฟืองและกิจการภายใน อีกทั้งหลังจากได้ยินเรื่องที่ฟาร์มาเอามาเล่า ซาโลม่อนก็ได้สั่งให้ทีมผู้ไต่สวนทำการค้นหาอาวุธต้องคำสาปที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกทันที ตั้งแต่นี้ไปสถานที่ตั้งของเหล่าอาวุธต้องคำสาปจะต้องถูกระบุได้และทำการปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีเท่านั้น

 

 

ทางฟาร์มาก็งานยุ่งไม่แพ้กัน เพราะเขาต้องทำการเข้าร่วมงานประชุมและถูกถามความคิดเห็นโดยองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อติดตามอาการของเอเลนที่กำลังหายป่วยเขาก็ได้ใช้คทาแห่งเทพโอสถเดินทางไปมาระหว่างจักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์ทุกคืน

 

ในตอนกลางคืนเอเลนที่กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยา ก็นอนรอต้อนรับฟาร์มาที่เข้ามาภายในห้องพักของเธอ

 

 

 

“…นายมาอีกแล้วเหรอเนี่ย?”

 

“ก็แบบนั้นแหละครับ เสร็จนี่ผมว่าจะไปดูลอตเต้ที่แลมบลูก่อนจะกลับที่พักสักหน่อยด้วย”

 

 

ยังไงลอตเต้ก็คือลอตเต้ เธอยังคงอาจจะเป็นเป้าโจมตีของพวกวิญญาณร้ายได้ ฟาร์มาจึงไม่อยากละเลยการตรวจสอบ

 

“เอาจริงๆ นายไม่จำเป็นต้องลำบากเดินทางไปมาก็ได้นะ งานนายก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ฉันไม่เป็นไรแล้วตอนนี้ก็เดินได้แล้วด้วย นายไม่ต้องเป็นกังวลนักหรอก”

 

“ผมจำเป็นต้องตรวจสอบความคืบหน้าหลังผ่าตัดนี่นา ถ้ากังวลเรื่องของฝ่าบาทละก็พระองค์อนุญาตมาแล้ว หรือคุณไม่สะดวกใจที่ผมมาหางั้นเหรอ?”

 

 

ถึงฟาร์มาจะมอบความไว้วางใจให้ศัลยแพทย์อย่างคล็อดให้ดูแลเอเลนช่วงกลางวัน แต่เขาก็รู้สึกสงบใจไม่ได้สักทีหากไม่ได้มาดูเธอด้วยตาตัวเอง

 

 

“จะมีอะไรให้เป็นห่วงกัน ท่านหัวหน้าแพทย์หลวงก็ดูแลฉันอยู่ด้วย ถ้าจะมีอะไรก็คงจะเป็นแค่ไข้อ่อนๆ เท่านั้นแหละ แถมสายตาของฉันตอนนี้ก็ดีขึ้นจนรู้สึกสะดวกเกินไปด้วยซ้ำเนี่ย”

 

“แล้วคุณจะเอายังไงกับแว่นที่เหลืออยู่เป็นจำนวนมากนั่นกันน้อ”

 

“อันที่จริงเรื่องนั้นพอฉันมาคิดดู ฉันว่ามันอาจจะเป็นเพราะฉันได้เลือดของฟาร์มาคุงมาก็ได้นะ”

 

 

“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน”

 

 

ตอนนี้เอเลนได้ทำการสืบทอดเอาส่วนหนึ่งของพลังแห่งเทพโอสถไปจากฟาร์มา ซึ่งเห็นได้จากบริเวณข้อมือซ้ายของเธอที่มีการถ่ายเลือดเข้าไป และพลังที่ได้ก็ดูเหมือนว่าจะมีแค่ส่วนของตาซ้าย ข้อมูลที่ได้จากดวงตานั้นก็เหมือนจะเป็นรุ่นดาวน์เกรดที่ทำได้เพียงแค่ค้นหาชื่อโรค แต่ไม่สามารถค้นหาวิธีรักษาโรคดังกล่าวได้

 

นอกจากนั้นธาตุของเธอก็ยังคงเป็นวารีเช่นเดิม เธอไม่สามารถทำเรื่องอย่างการสร้างหรือสลายสสารไปได้ เงาและร่างของเธอก็ไม่ได้โปร่งใส ซึ่งอันที่จริงเขาก็คิดแหละว่ามันต้องเป็นเพราะเลือดที่เขาให้กับเธอไป ถึงผลที่ออกมามันจะแตกต่างจากที่เขามีไปบ้าง

 

“สรุปคือฉันได้รับความสามารถอย่างหนึ่งของฟาร์มาคุงมาแล้วสินะ ก็ว่าทำไมนายถึงสามารถวินิจฉัยตำแหน่งของโรคและเดาชื่อโรคได้แม่นซะจริง….เพราะพลังนี้นี่เอง”

 

 

“อันที่จริงก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้บอกนะ”

 

 

ฟาร์มาบอกกับเอเลน

 

เพราะเขาคิดว่าตอนนี้เขาสามารถแบ่งปันความลับกับเธอได้อย่างหมดเปลือกแล้ว

 

ฟาร์มาก็คงจะอุ่นใจมากขึ้นถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต แต่ดูเหมือนพลังแห่งเทพที่ใช้ไปกับการใช้ดวงตาวินิจฉัยจะเยอะพอสมควร ฟาร์มาจึงมองว่าเธออาจจะเอาไปใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้

 

 

 

“นี่ฉันขอตรวจดูข้างในนายหน่อยได้ไหม”

 

“ผมเหรอ⁉”

 

“ไม่ได้เหรอ?”

 

 

“ได้สิ แค่รู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้”

 

 

เสียงของฟาร์มาดังขึ้นเพราะคำขอที่ไม่คาดคิดของเอเลน

 

จากนั้นเธอก็ทำการตรวจสอบภายในร่างของฟาร์มา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟาร์มาไม่เคยทำได้มาจนถึงตอนนี้

 

นั่นก็หมายความว่าจนถึงตอนนี้ฟาร์มาไม่เคยเห็นภายในร่างของตัวเองผ่านดวงตาวินิจฉัยมาก่อนเลย

 

 

แม้ว่าเขาจะเคยลองมองผ่านกระจกแต่มันกลับไม่เห็นอะไรเลย

 

ว่าแล้วเอเลนก็เอามือไปที่ตาซ้ายของเธอเพื่อใช้งานดวงตาวินิจฉัย

 

พอฟาร์มาเห็นคนอื่นใช้พลังนี้กับเขา เขาก็พยายามยืนหลังตรงด้วยความรู้สึกเกร็งๆ

 

“เอ๋ แปลกจัง ทำไมฟาร์มาคุงถึงมีแสงสีแดงสดตั้งแต่หัวจรดเท้ากันล่ะ ฉันยังไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”

 

 

“สีแดงสดนั้นจะเกิดขึ้นในกรณีที่คนคนนั้นป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือกำลังจะตายน่ะ”

 

 

“งั้นก็แปลว่านายป่วยอยู่งั้นเหรอ…ถ้างั้นมันโรคอะไรกันล่ะ?”

 

 

“ขอบคุณที่เป็นห่วงกันนะ แต่ผมว่าไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้”

 

 

เอเลนก็เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้ สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้เรื่องนี้ไป สิ่งนี้มันอาจจะหมายความว่าแต่เดิมนั้นฟาร์มาได้ตายลงไปนานแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความผิดปกติในพลังของเทพโอสถที่ส่งผลกับร่างของเขาเอง ซึ่งก็ยากที่จะตีความออกมาได้ชัด

 

“ไว้ผมจะมาหาใหม่นะ เดี๋ยวต้องไปเยี่ยมลอตเต้ก่อนจะกลับไปที่นครศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

 

 

ฟาร์มาได้ยินมาว่าลอตเต้กำลังเรียนศาสตร์แห่งเทพโดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพอยู่ด้วยสิ

 

 

“น่าทึ่งดีเนอะ แบบนั้นลอตเต้จังก็น่าจะหายกังวลด้วย ระวังอย่าไปชนเข้ากับนกซะล่ะ”

 

 

“อันที่จริงก็เคยโดนมาไม่น้อยเลยแหละนะ”

 

 

ฟาร์มาทำการตรวจอาการเอเลนอีกทีก่อนจะกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างที่คุยล้อเล่นกับเธอเพราะด้วยร่างกายของเขาเขาคงไม่มีทางโดนนกชนได้

 

 

“อืมมมมม”

 

“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”

 

“ก็เพราะร่างกายของเอเลนยังมีแสงสลัวอยู่น่ะสิ ถึงกระบวนการดูดซึมความร้อนหลังจากผ่าตัดที่เนื้อเยื่อถูกทำลายหรือมีเลือดออกจะเป็นเรื่องปกติซึ่งเกิดมาจากไซโตไคน์ แต่นี่มันก็ผ่านมาห้าวันแล้วนะทำไมไข้ถึงยังไม่ลดกันนะ ถึงคุณจะเดินได้แล้วแต่ก็พยายามพักผ่อนให้พออย่าหักโหมมากไปนะ “

 

 

“ฉันว่านั่นอาจจะเป็นเพราะคำสาปของบัทเทร่าก็ได้นะ … “

 

 

เอเลนเริ่มพูดถึงรายละเอียดของการเตรียมยาอายุวัฒนะที่เธอปรุง

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฟาร์มาก็ต้องตกใจ

 

 

“เพื่อช่วยลอตเต้ คุณกับท่านพี่เลยติดคำสาปที่ต้องสูญเสียอายุขัยไปครึ่งหนึ่งเหรอ!?

 

“ฉันขอโทษนะ…เพราะได้ยินว่ามานายกำลังจัดการเรื่องคำสาปของฝ่าบาทด้วย ก็เลยไม่อยากให้มันมารบกวนใจนายน่ะ”

 

 

“ผมสิที่ต้องขอโทษ…ขอบคุณนะที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยลอตเต้”

 

 

จากนั้นเอเลนก็คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามฟาร์มา

 

 

“นี่ ฟาร์มาคุง ฉันคิดว่าคำสาปที่ฉันโดนอาจจะเป็นโรคติดเชื้อก็ได้นะ บางทีคำสาปที่ฝ่าบาทโดนอาจจะเหมือนกันก็ได้”

 

 

“งั้นก็ลองมาตรวจสอบกันหน่อยดีไหม”

 

ว่าแล้วฟาร์มาก็ใช้ดวงตาวินิจฉัยจ้องไปที่เอเลน ก่อนที่เอเลนจะใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าอกของเธอไว้

 

 

“นี่ฟาร์มาคุงถ้าจะใช้ดวงตาวินิจฉัยก็อย่าทำตาแบบนั้นได้ไหม ฉันรู้สึกค่อนข้างหนักใจนิดหน่อยนะ”

 

 

“อย่าเพิ่งมาล้อเล่นสิโถ่….”โรคติดเชื้อ””

 

จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงของแสงสีน้ำเงินที่บ่งบอกว่าเริ่มตามรอยถูก

 

นี่ถือเป็นการบ่งชี้ว่าเอเลนกำลังติดเชื้อบางอย่างอยู่จริง

 

 

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เอเลนบอกนะ! งั้นถ้าเป็นโรคติดเชื้อละก็…’แบคทีเรีย’ ‘เชื้อรา’ ‘ปรสิต’ ‘ไวรัส’ ‘ไวรอยด์’ ‘พรีออน”

 

 

 

เขาลองสุ่มไปทีละอย่าง

 

แม้เขาจะพยายามระบุเจาะจงไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังไม่ถูกสักที

 

 

“ตอนนี้ก็รู้แล้วนะว่าเป็นโรคติดต่อ แต่ผมยิงไม่ถูกเลยนี่สิ..”

 

 

 

ฟาร์มารู้สึกสิ้นหวัง

 

“นี่ฟาร์มาคุง บางทีมันอาจจะเหมือนตอนที่นายรักษาคุณยูเกนก็ได้นะที่ปรับแต่งจีโนมนั่นไง มันก็เป็นโรคติดเชื้อไม่ใช่เหรอ ถ้าพูดถึงกรณีที่กรดนิวคลีอิกและเอนไซม์บุกรุกเข้ามาภายในเซลล์โดยไม่ได้รับอนุญาต”

 

“นั่นเรียกว่าการบำบัดด้วยยีนน่ะ จะเรียกว่าโรคติดเชื้อก็ไม่ได้ เว้นแต่จะเป็นการสร้างเชื้อเทียมขึ้นมา ซึ่งผมก็คงจะไม่…”

 

 

(เดี๋ยวนะถ้าหากว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลสุสานหรือเทพผู้พิทักษ์ในอดีตจงใจสร้างขึ้นมาล่ะ…คงจะไม่แปลกเลยหากคำสาปพวกนั้นถูกควบคุมอยู่ในส่วนของลำดับกรดนิวคลีอิกเทียม)

 

 

 

ความคิดดังกล่าวเข้ามาในหัวของฟาร์มา

 

“การนำพาของเปปไทด์”

 

“การนำพาของยีน””

 

ฟาร์มาเริ่มหรี่ตาตรวจสอบราวกับเลือดในตัวเขากำลังพลุ่งพล่าน

 

 

พอเขาพูดไปถึงการนำพาของยีน แสงสีฟ้าก็เริ่มแสดงปฏิกิริยาเล็กน้อย

 

 

 

“แบบนี้นี่เอง!”

 

“สรุปคือเป็นที่ยีนงั้นเหรอ?”

 

 

เอเลนทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ส่วนทางฟาร์มาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจเพราะพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง

 

 

“คุณเข้าใจถูกแล้ว ตอนที่คุณปรุงยาอายุวัฒนะอยู่นั้น ก็ถูกคำสาปซึ่งเป็นชิ้นส่วนของยีนบางชนิดได้เข้าไปสู่กระแสเลือดของคุณกับท่านพี่ ก่อนที่มันจะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย แต่หากเป็นชิ้นส่วนของยีนมันก็จะเจือจางอยู่ภายในเลือดและไม่ทำการสร้างจำนวนขึ้น”

 

ต่อมาก็ต้องมาคิดว่ายีนนั้นคืออะไร

 

 

พอเอเลนทำการสร้างยาอายุวัฒนะ เธอก็โดนสาปซึ่งทำให้อายุขัยของเธอลดลงไปครึ่งหนึ่ง

 

 

(…อาจจะเป็นลำดับการขยายตัวเองก็ได้แฮะ)

 

 

 

“ทรานสโพซอน”

 

 

แสงที่อยู่ในตัวของเอเลนเปลี่ยนไปทั้งหมด นั่นก็แปลว่าเขาทายถูก

 

 

 

 

“ทรานสโพซอนนี่คืออะไรเหรอ”

 

 

ทรานสโพซอนเป็นชิ้นส่วนของดีเอ็นเอที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาภายในเซลล์ได้ แม้จะมาจากภายนอกเช่นเดียวกับไวรัสแต่มันไม่ใช่ไวรัส และมันสามารถเข้าไปสู่จีโนมด้วยตัวเองได้พร้อมกับทำการสร้างสำเนาของตัวเองขึ้นมา

 

และพอมาทำซ้ำมากพอมันก็จะกลายเป็นทรานสโพซอนตัวใหม่ในร่างของผู้ป่วย

 

 

 

(แปลว่าทรานสโพซอนตัวนี้มันจะต้องเข้าไปทำอะไรสักอย่างในร่างผู้ป่วย)

 

 

ใบหน้าของฟาร์มาเคร่งขรึมขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนเอเลนผงะไป

 

 

 

“แต่มันจะเป็นแค่ทรานสโพซอนเท่านั้นจริงๆ เหรอ?”

 

 

ฟาร์มามั่นใจว่ามันไม่ใช่แค่นั้น จนเอเลนต้องตกใจ

 

(ไม่สิ ไม่น่าจะมีแค่ทรานสโพซอนเท่านั้นที่เข้ามาภายในเซลล์ได้ มันอาจจะมีตัวแปรบางอย่างที่ปะปนเข้ามาด้วยก็ได้ ซึ่งนั่นก็ยังคงเป็นปริศนาที่เราไม่รู้ ระหว่างการปรุงยาอายุวัฒนะ มันอาจจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาด้วยก็ได้)

 

ขณะที่ฟาร์มากำลังคิดกับตัวเอง เอเลนก็ได้แต่ทำหน้างงเพราะเธอไม่เข้าใจสักทีว่าทรานสโพซอนมันคืออะไร ฟาร์มาจึงต้องเขียนอธิบายลงในกระดาษ

 

 

“คืนนี้พระจันทร์สวยจังเลยเนอะ” (บทจีบสาวคลาสสิก)

 

 

“อะไรของนายเนี่ย พระจันทร์สวยจัง??”

 

“สมมติว่ามียีนที่มีลำดับของมันอยู่ดั่งประโยคข้างต้น แต่แล้วก็มีลำดับเฉพาะบางอย่างเข้ามาแทรกเช่นคำว่า ★พรุ่งนี้จะมีแดด★ ถูกเติมเข้าไประหว่างลำดับปกติ สิ่งนั้นเราเรียกกันว่าทรานสโพซอน”

 

 

 

“ทีนี้มันก็จะกลายเป็น คืนนี้พระจันทร์★พรุ่งนี้จะมีแดด★สวยจังเลยเนอะ”

 

 

 

“ว่าแต่★ที่มันอยู่ระหว่างประโยคนี่คืออะไรเหรอ”

 

“ทรานสโพซอนมมันมีลำดับเครื่องหมายก่อนและหลังอยู่นะ ซึ่งเราแทนด้วย ★ โดยที่มันสามารถย้ายตัวเองไปที่ไหนก็ได้ในจีโนมซึ่งกำหนดเป้าหมายที่มันต้องการเพื่อตัดออกและวางไว้ตรงจุดอื่นแทน เมื่อใดก็ตามที่พวกมันมีสัญลักษณ์ดาวนี้พวกมันก็จะยังสามารถเคลื่อนที่ได้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าดาวหายไป เมื่อไหร่มันก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีก ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ ทรานสโพซอนจึงถูกเรียกว่า “ยีนเคลื่อนที่ได้” น่ะ”

 

“ก็แปลว่าพอดาวนั่นหายไปแล้ว ลำดับที่เกิดขึ้นมาใหม่ภายในจีโนมก็จะกลายเป็น “คืนนี้พระจันทร์จะแดดจัด พรุ่งนี้สวยจังเลยเนอะ” ซึ่งมันทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเลยสินะ”

 

“ใช่แล้ว และยีนดังกล่าวก็จะถูกทำลายโดยลำดับที่ผิดปกตินั้น และเมื่อทรานสโพซอนมันคัดลอกตัวเองได้มากขึ้นก็จะส่งผลเสียต่อร่างเราไปเรื่อยๆ”

 

 

(แต่เรายังไม่ได้หาข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ว่ามีเศษซากของทรานสโพซอนอยู่มากขนาดไหนด้วยสิ)

 

 

ก่อนหน้านี้ฟาร์มาไม่มีเวลามาตรวจสอบจีโนของทุกคน แต่เขาก็คาดว่าถ้าตรวจสอบให้ดีก็น่าจะพบบางสิ่งได้

 

 

 

“เฮ้อ เหมือนเป็นตัวเกะกะเลยเนอะ!”

 

 

“มันไม่ใช่แต่ตัวเกะกะธรรมดาน่ะสิ”

 

 

ถึงมันจะไม่ใช่ปรากฏการณ์พิเศษอะไร เพราะโลกของเขาก็มีรายงานกว่า 1ใน 3 ของจีโนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่ง 40% ของภายในนั้นเป็นจีโนมมนุษย์ได้มีพวกเศษของทรานสโพซอนแทรกอยู่ภายในจีโนมอยู่แล้ว และเมื่อพวกมันสามารถแทรกเข้าไปในลำดับได้สำเร็จมันก็จะทำการหยุดนิ่งและทำให้ดีเอ็นเอเกิดการกลายพันธุ์

 

 

“แต่สุดท้ายก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แฮะ เจ้ายีนเคลื่อนที่ได้นี่มันมีเขียนอยู่ในตำราของฟาร์มาคุงหรือเปล่านะ”

 

 

“ผมว่าผมก็เขียนเกี่ยวกับมันไว้หน้าหนึ่งนะ”

 

“อ่าวเหรอ ขอโทษทีนะ ไว้จะไปอ่านซ้ำดู!”

 

 

พอฟาร์มาบอกว่ามันมีในนั้นเอเลนก็ต้องตกใจเพราะเธอดันจำมันไม่ได้

 

 

 

“แล้วคุณคิดว่าอะไรจะเป็นตัวในการแก้คำสาปนี้ล่ะ?”

 

 

“รูปแบบการทำงานของมันเป็นแบบการคัดเลือกและจดจำเป้าหมายก่อนจะตัดลำดับที่ตัวเองต้องการ ไปใส่ภายในจีโนมของฉันสินะ ดังนั้นถึงแม้จะตัดเอามันออกไปได้ มันก็ยังสามารถเข้ามาแทรกยังจีโนมส่วนอื่นได้อยู่ดีนี่นา”

 

 

“ใช่แล้วดังนั้น ไม่ว่าคำสาปที่เกิดขึ้นนั้นจะกำหนดให้ไปสร้างตัวในจีโนมของเอเลนแบบไหน สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ทำการตัดเอาส่วน★ของทรานสโปซอนที่กำหนดไว้ออกไปให้หมด ก่อนจะทำการใช้เอนไซม์ที่ป้องกันไม่ให้มันเข้าไปแก้ไขจีโนมได้อีก ด้วยการใช้สิ่งนี้”

 

 

ฟาร์มาถามเธอขณะใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบเธอไปด้วยเหมือนเป็นการปรึกษากันและกัน

 

 

 

 

“แอคทีฟ ทรานสโปซิชัน”

 

 

และแสงที่ห่อหุ้มร่างของเอเลนเอาไว้ก็หายไปโดยสมบูรณ์

 

 

“ดูเหมือนคุณจะเข้าใจถูกแล้วจริงๆ เอเลนเพราะคุณพวกเราเลยมาถูกทางกันได้เสียที”

 

 

ตอนนี้ฟาร์มาก็มีกลยุทธ์ในการรักษาเรียบร้อยแล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code 

 

 

 

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset