Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 78

ตอนที่ 78 วิธีการแก้ไขยีนและการบ้านจากเทพโอสถ

 

ฟาร์มาได้ใช้เวลาในช่วงเช้าวิ่งตามหาจนโซอี้เลขาของเขาจนสามารถเคลียร์ความเข้าใจผิดของเธอได้ สืบเนื่องมาจากเรื่องที่เขาใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับเอเลนภายในห้องทำงานสองต่อสอง

 

 

“ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาร้านขายยาเปิดแล้ว เอเลนวันนี้คุณมีคลาสสอนหรือเปล่า”

 

 

“อืม ตอนเช้าฉันมีคลาสสอนศาสตร์แห่งเทพน่ะ ฉันคงจะเข้าร้านไม่ได้นะ?

 

เอเลนรับหน้าที่ในคลาสเรียนศาสตร์แห่งเทพโดยมีตารางเรียนเป็นสัปดาห์ละครั้งในช่วงเช้า ดูท่าเธออยากจะเข้าสอนใจจะขาดแล้ว

 

หากจะให้พูดก็เหมือนกับเป็นคลาสเรียนพลศึกษาในแบบของชนชั้นสูง ในคลาสเรียนนั้นเธอบอกว่าเธอจะสามารถสอนและประลองศาสตร์แห่งเทพกับนักเรียนภายในคลาสได้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงตั้งหน้าตั้งตารอในการสอน แถมเธอยังรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ค่อยได้ขยับร่างกายนัก จากภาระหน้าที่หน้าโต๊ะทำงานที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าในส่วนของสามัญชนนั้นจะถูกจัดให้เรียนในคลาสแยกต่างหาก

 

 

“ผมก็ติดงานทดลองอยู่ด้วยคงจะให้ทิ้งที่นี่ไปก็ไม่ได้ แต่เหมือนท่านพี่บอกว่าวันนี้ว่างด้วยสิ งั้นเดี๋ยวเราไปขอให้เขาช่วยงานร้านแทนก็แล้วกันนะ”

 

ว่าแล้วฟาร์มาก็เขียนจดหมาย ก่อนจะยืมนกพิราบจากทางมหาวิทยาลัยให้นำจดหมดไปส่งยังคฤหาสน์เมดิซิส พอเขายุ่งอยู่กับงานสอนและการเตรียมงานภายในมหาวิทยาลัย ปาลเล่ก็จะทำหน้าที่ในการตรวจผู้ป่วยที่ร้านขายยาแทน บางครั้งก็มีการบรรยายความรู้ให้ประชาชนทั่วไปแทนเขาด้วย

 

“แต่จะไม่เป็นไรเหรอ อยู่ดีๆ ก็ไปขอให้ช่วยแบบกะทันหัน หมอนั่นจะไม่โกรธเอาหรือไง?”

 

“ท่านพี่เขาต้องการเคสผู้ป่วยหลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้นผมว่าตรงกันข้ามด้วยซ้ำ”

 

ปาลเล่นั้นเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงมักจะไปตรวจสุขภาพของราชวงศ์และชนชั้นสูงเป็นส่วนมาก แต่การที่เขามาทำงานที่ร้านขายยามันก็มีข้อดีอยู่เพราะจะได้พบความหลากหลายของผู้ป่วย แถมแพทย์โอสถขั้นหนึ่งก็มีโควตาผู้ป่วยที่ต้องตรวจในแต่ละปีด้วย

 

หากใครที่ไม่ผ่านโควตาดังกล่าวโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ พวกเขาก็อาจจะถูกลดระดับให้กลายเป็นแพทย์โอสถขั้นสองเนื่องจากประสบการณ์คงจะไม่เพียงให้เรียกตนเองว่าขั้นหนึ่งได้ แถมปาลเล่ที่ทำการรักษาตัวจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวมาพักใหญ่ๆ เคสที่เขาต้องเจอก็ย่อมน้อยกว่าปกติ ดังนั้นการได้มาทำงานพาร์ทไทม์นี่ร้านขายยาต่างโลกนั้นจึงเป็นประโยชน์กับเขามากกว่าข้อเสีย ผู้ป่วยที่ได้เจอก็หลากหลาย แถมยังได้เพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ตนได้ตรวจอีกด้วย

 

 

“นั่นสินะ ถ้าเป็นเรื่องจำนวนเคสที่เจอคงไม่น่าเป็นห่วง เพราะทางฉันเองตั้งแต่มาทำงานที่นี่ก็เจอคนมากกว่าร้อยคนทุกวันเลย ประสบการณ์ที่ได้จากมันก็มีมากมายจริงๆ”

 

เอเลนรู้สึกขอบคุณฟาร์มาที่ชวนเธอมาทำงานด้วย

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับคำตอบจากนกพิราบสื่อสารที่มาจากคฤหาสน์ ได้ความว่าปาลเล่จะช่วยดูแลงานที่ร้านตลาดทั้งวันให้เอง

 

 

“แล้วฟาร์มาคุง เรื่องบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไงบ้าง เกิดอันตรายขึ้นกับนายไหม”

 

ก่อนที่ทั้งสองจะได้เริ่มทำงาน เอเลนก็ถามฟาร์มาเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่หรือมันสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่สิ่งที่เธอมั่นใจคือสถานที่แห่งนั้นต้องเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความลับของเหล่าเทพผู้พิทักษ์

 

 

“จะบอกว่าอันตรายมันก็อันตรายนะ…แต่ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเยอะกว่านี่สิ”

 

ฟาร์มาพยายามเลี่ยงจะพูดถึงห้องปฏิบัติการต่างโลก ก่อนที่เขาจะพูดถึงเรื่องผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของตระกูลเอ็มเมอริคให้เอเลนได้ฟังแทน จนเธอรู้สึกสับสนไปหมด

 

“หา? นี่นายจะบอกว่าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของเอ็มเมอริคคุงกับคนอื่นๆ ได้หมดแล้วงั้นเหรอ”

 

“ก็แบบนั้นแหละ แน่นอนว่าวิธีPCRก็สามารถทำได้นะ แต่วิธีที่ผมใช้มันจะเป็นอีกระดับหนึ่งน่ะ”

 

แล้วเขาก็นำมือของตนไปสัมผัสกับแล็ปท็อปที่เขานำกลับมาด้วย ขณะพูดคุยกับเอเลนไปพลางๆ ความรู้สึกที่มือของตนสัมผัสกับคีย์บอร์ดช่างน่าคิดถึง

 

นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทำงานหน้าจอแบบนี้ อาการปวดตาก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นธรรมดา แต่เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณมันอยู่ดีที่ทำให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

 

ส่วนทางเอเลนที่กำลังนั่นทวนตำราเรียนไปด้วยก็เกิดตกใจกับสิ่งที่เธอนึกขึ้นได้ก่อนจะทรุดตัวลงไปด้วยความตกใจจนแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น

 

“ดะ-เดี๋ยวก่อนนะๆ …จีโนมของมนุษย์น่ะมันมีประมาณ 3พันล้านคู่เบสใช่ไหม แล้วทำไมนายถึงสามารถวิเคราะห์มันทั้งหมดได้กันล่ะ?

 

เอเลนตกใจจนเผลอทำแว่นตาตกลงไปที่พื้น

 

 

โชคดีที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ปูพรมเอาไว้ แว่นตาของเธอจึงไม่แตก

 

“ระวังแว่นด้วยสิ”

 

“เป็นเพราะสมบัติลับที่ซ่อนอยู่ภายในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม นายถึงทำแบบนั้นได้?”

 

“ก็ อะไรทำนองนั้นแหละ”

 

รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์วิเคราะห์พันธุกรรมในห้องปฏิบัติการที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลได้นั้นจะให้อธิบายไปก็เหมือนจะยุ่งยาก

 

พอเธอได้ยินว่ามันเป็นผลมาจากสมบัติลับ สีหน้าของเอเลนก็เปลี่ยนจากตกใจเป็นสิ้นหวังแทน

 

“แบบนี้เองสินะ….ตระกูลของเอ็มเมอริคคุงทุกคนเป็นพาหะสินะ…ก็ดีใจหรอกนะที่ลอตเต้จังไม่เป็นพาหะ แต่มันก็รู้สึกเจ็บปวดนะที่รู้ว่าจะเปิดขึ้นในอนาคต หมอนั่นบอกจะฆ่าตัวตายก่อนจะมีอาการด้วยนี่นา แล้วเราจะเอาผลที่ได้ไปบอกเขายังไงดีล่ะ”

 

แน่นอนว่าโชคดีที่ลอตเต้ไม่เป็นพาหะ

 

แต่เอเลนก็รู้สึกเสียใจที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากดูนักเรียนของเธอเผชิญหน้ากับโรคร้าย

 

 

แล้วผลที่ได้ดูเหมือนว่า น้องชายคนที่สองของเขาอาจจะเริ่มมีอาการป่วยแล้วนะ แค่ภายนอกยังไม่แสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง”

 

ในขณะที่พูดฟาร์มาก็จ้องไปที่ส่วนมอนิเตอร์แล็ปท็อปที่เขานำมาด้วย

 

เอลเลนสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าฟาร์มาและหรี่ตาลง

 

 

“ว่าแต่ เจ้าแสงไฟสลัวๆ ที่ฟาร์มาคุงกำลังมองคืออะไรเหรอ?”

 

“เอ๊ะ เอเลน คุณเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนี่ไหม”

 

 

“เห็นมันก็เห็นหรอก แต่อะไรน่ะของสี่เหลี่ยมเรืองแสงได้นั่นแถมยังดูโปร่งแสงจนแทบมองไมเห็นอีก นายได้มากจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”

 

เอเลนมองแล็ปท็อปที่ยังคงประมวลผลจากด้านหลังฟาร์มา เมื่อเขาถามเอเลน เกี่ยวกับสิ่งนี้ก็น่าแปลกที่เธอเห็นเป็นเพียงแค่หน้าจอคริสทัลโปร่งแสงใส่ๆ

 

“ใช่แล้วผมได้มันมาจากที่นั่น จะเรียกว่าเป็นสมบัติลับก็ได้แหละนะ ถึงจอภาพมันจะดูโปร่งใสไปก็จริง แต่คุณไม่เห็นรายละเอียดข้างในนั้นเลยเหรอ”

 

แล้วฟาร์มาก็ลองพับแล็ปท็อปนั้นลง

 

 

“เอ๋ มันหายไปไหนแล้วล่ะ นายเอามันไปซ่อนไว้เหรอ!”

 

เอเลนกระสับกระส่ายขึ้นมา แน่นอนว่าฟาร์มาก็ยังคงเห็นมันอยู่ในมือเขาเช่นเดิม ดูเหมือนนอกจากแสงของจอที่แสดงผลออกมาแล้ว คนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นมันได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสัมผัสมันได้ด้วย แบบนี้ก็เหมาะกับการป้องกันการโจรกรรมพอดี

 

ฟาร์มารู้สึกสบายใจขึ้นมาก่อนจะกลับมาเปิดจอใหม่อีกครั้ง เพราะคงแย่แน่หากใครเห็นมันเข้า

 

“รูปร่างของมันจริงๆ เป็นแบบนี้”

 

 

ฟาร์มาวาดรูปแล็ปท็อปบนแผ่นกระดาษ

 

เอเลนก็เห็นก็พูดออกมาว่า “หือ ไม่เคยของแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ” เธอคิดว่ามันเป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ถามถึงรายละเอียดว่ามันทำงานอย่างไร ฟาร์มารู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นจริงๆ

 

“แปลว่ามีข้อมูลที่ลอยไปมาอยู่ภายในอากาศที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสินะ….ฟาร์มาคุงบอกหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้ในกำลังทำอะไรอยู่”

 

 

“ผมกำลังคำนวณ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมที่ได้มาอยู่น่ะ”

 

 

“ฟาร์มาคุง นายมีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมขั้นสูงเยอะเลยนะไม่สิ… จริงๆ แล้วต้องบอกว่านายรู้ไปซะทุกอย่างจะดีกว่าสินะ”

 

 

ฟาร์มาไม่กังวลเรื่องที่เอเลนจะเห็นของพวกนี้ ก่อนเขาจะพิมพ์คำสั่งลงไปในเครื่องแล็ปท็อปแล้วอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดไปด้วย

 

 

“ผมก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่องหรอก แถมเราไม่ควรจะทะนงตนมากเกินไปด้วย ดูอย่างโรคที่เราเจอในตอนนี้สิ”

 

“ก็สมกับเป็นนายแหละนะ ว่าแต่นายหาวิธีรักษาโรคนอนไม่หลับมรณะได้แล้วเหรอ? ที่จริงทางฉันก็ลองหาทางดูบ้างล่ะนะ ยังไงก็ช่วยดูนี่หน่อยสิ”

 

เอเลนนำสมุดบันทึกไอเดียที่เธอคิดค้นมาทั้งคืนให้เขาดู

 

คงจะใช้เวลานานพอสมควรถึงคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ หน้ากระดาษกว่าสิบหน้ามีแนวคิดหลากหลายประเภทในการรักษาเขียนไว้ แต่ยังไม่มีอันไหนที่พอจะนำมาปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างที่กล่าวไว้ตอนแรกว่าแม้แต่ยุคปัจจุบันที่ฟาร์มาจากมานั้น ก็ยังไม่ค้นพบวิธีการรักษาที่แน่นอนได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เอเลนคิดขึ้นมานั้นอาจจะต้องบอกว่าไม่ได้ผล

 

 

“เป็นไงบ้าง พอจะมีประโยชน์หรือเปล่า?”

 

เอเลนถามออกมาอย่างไร้เดียงสาว่ามันพอจะเป็นคำใบ้ช่วยนำทางเขาได้หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าตัวเธอนั้นก็ถือเป็นแพทย์โอสถชั้นยอดของโลกใบนี้ ตัวเธอในตอนนี้เข้าไปอยู่ในโหมดผู้ฝักใฝ่ความรู้เรียบร้อยแล้ว

 

 

“เอ่อ…ก็..มีประโยชน์พอสมควรนะ ขอบคุณมากเลย”

 

 

เนื่องจากปฏิกิริยาของฟาร์มาดูไม่สู้ดี เอเลนจึงรีบนำสมุดบันทึกไอเดียของเธอกลับมา

 

“นั่นสินะ ฉันขอโทษ ที่ช่วยอะไรนายไม่ได้…”

 

เอเลนนำมือทั้งสองมาปิดใบหน้าของเธอที่แสดงอารมณ์หดหู่ออกมา ราวกับนักเรียนที่ส่งงานอาจารย์แล้วโดนขีดเส้นแดงใส่งานตัวเอง

 

 

“ไม่หรอกถึงจะน่าเสียดาย แต่มันก็ช่วยผมได้จริงๆ นะ”

 

 

ฟาร์มาให้กำลังใจเอเลน แม้ผลที่ออกมาจะไม่ค่อยดีนัก

 

เอเลนถอนหายใจแล้วปรับอารมณ์ตัวเองเสียใหม่

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังคำตอบของศาสตราจารย์ฟาร์มากันดีกว่า ไม่ใช่ว่านายพูดกับเอ็มเมอริคคุงว่า “เราต้องรีบรักษายีนที่กลายพันธุ์ให้หายก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้สินะ” “

 

หากยีนเป็นพิมพ์เขียวดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิต การกลายพันธุ์ของยีนก็คือการแก้ไขพิมพ์เขียวนั้น

 

หากสร้างโปรตีนในร่างขึ้นมาตามข้อมูลดังกล่าว พรีออนที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็จะผลิตสารผิดปกติเหล่านี้ต่อไป

 

แม้แต่เอเลนเองก็เข้าใจว่า พิมพ์เขียวตั้งต้นภายในพันธุกรรมนั้นต้องได้รับการแก้ไข

 

“เป็นตามที่คุณพูดครับ ถึงมันจะไม่ได้ถูกเขียนไว้ในตำราแต่ว่า…เราจะใช้เทคโนโลยีที่เรียกกันว่า CRISPR-CAS 9 ซึ่งสามารถลบ แทนที่และใส่จีโนมของดีเอ็นเอในตำแหน่งที่เราต้องการได้”

 

ของจำเป็นสำหรับการใช้เทคนิคนั้นฟาร์มาก็ได้นำออกมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลกหมดแล้ว

 

 

เทคโนโลยีใหม่นี้ถูกค้นพบในปี 2010 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะเทคโนโลยีสำหรับแก้ไขจีโนม แน่นอนว่าฟาร์มาก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการวิจัยนี้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

 

 

“หมายความว่าเรามีวิธีที่จะเขียนชุดข้อมูลใหม่ เพื่อรักษายีนที่กลายพันธุ์ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคที่เอ็มเมอริคคุงเจออยู่ได้สินะ?”

 

“ถ้าอธิบายแบบคร่าวๆ ก็ประมาณว่า เราจะทำการปล่อยไวรัสที่เตรียมไว้เข้าไปแพร่เชื้อในร่างกายของผู้ป่วยก่อนจะให้มันทำงานขึ้นมาในร่างผู้ป่วย นั่นคือขั้นตอนแรกที่เราต้องจัดการน่ะ”

 

“เดี๋ยวนะถ้าเราปล่อยให้ไวรัสเข้าไปในร่างของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะไม่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิตเอาเหรอ!?”

 

 

“ในกรณีที่เป็นไวรัสซึ่งทำให้เกิดโรคก็ใช่อยู่นะ แต่เรามีไวรัสที่ถูกเรียกว่าอดีโนแอทโซซีเอทไวรัส (AAV) เป็นไวรัสที่แทบไม่ทำให้เกิดโรคน่ะ เราจะใช้ไวรัสดังกล่าวกับผู้ป่วย”

 

“ไวรัสบางตัวก็ไม่มีภัยงั้นเหรอ…”

 

ดูเหมือนว่าเลเลนจะจำได้ว่าไวรัสต่างชนิดกันย่อมมีความสามารถในการก่อโรคต่างกัน

 

ดังที่กล่าวไว้ว่าฟาร์มาไม่ได้สนใจเรื่องอันตรายของไวรัสเลย

 

เพราะไวรัสพวกนี้จะไม่มีทางทำให้ร่างกายของผู้ป่วยติดเชื้อร้ายแรงได้ ฟาร์มาได้เตรียมการไว้สำหรับเรื่องนี้แล้ว นั่นคือเขาสามารถลบสสารได้ ไวรัสที่เขานำมาก็เช่นกัน ดังนั้นไวรัสทั้งหมดในร่างกายจะหายไปทันทีหากเขาต้องการดังนั้นมาตรการความปลอดภัยนี้จึงน่าเชื่อถือได้

 

 

“แต่หากใช้วิธีนี้ ผมจำเป็นต้องขอให้คนอื่นเข้ามาช่วยในการจัดการเรื่องไวรัสนะ”

 

 

“เอ๊ะ ฉันเหรอ….ไม่ไหวมั้ง”

 

เอเลนสบตากับฟาร์มาก่อนจะส่ายหัว

 

 

“แค่คิดก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว หากฉันเผลอทำพลาดละไวรัสมันหลุดไป ก็ไม่เท่ากับว่าฉันเป็นคนแพร่เชื้อเหรอ”

 

พอเห็นแว่นตาของเธอหย่อนจบแทบจะตกพื้น ฟาร์มาก็รู้ทันทีว่าเธอคงจะกังวลเป็นอย่างมาก

 

 

“ก็แค่ระวังไว้เท่านั้นเอง เพราะด้วยอาณาเขตของผมแล้วไวรัสกับแบคทีเรียรอบๆ คงจะถูกจัดการแล้วไม่สามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้ ดังนั้นถึงจะน่าเสียดายแต่ผมคงต้องฝากคนอื่นจัดการจริงๆ”

 

การมีอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่กางอยู่รอบตัวเขาตลอดก็ทำให้ลำบากอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาคงจะไม่ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนนำคุณสมบัติของไวรัสและแบคทีเรียมาเข้าควบคุมยีนผู้ป่วย

 

 

“พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็สงสารนายเหมือนกันนะฟาร์มาคุง”

 

เอเลนรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาทันที เพราะความสามารถนี้มีแต่จะทำให้แพทย์โอสถต้องร่ำไห้ออกมา

 

“เอาละ เลิกพูดเรื่องไวรัสกันไว้ก่อนแล้วกัน เพราะมันค่อนข้างซับซ้อนด้วย เรามาเข้าเรื่องกลไกการแก้ไขจีโนมด้วยการใช้เชือกนี่กันก่อนจะดีกว่า”

 

ฟาร์มานำเชือกที่อยู่บริเวณนั้นมันพันเป็นตัวกากบาทแล้วอธิบายให้เอเลนฟังต่อ

 

จากนั้นเขาก็ทำสัญลักษณ์ตรงกลางเชือกแสดงแทนตัวว่าคือส่วนที่กลายพันธุ์ที่อยู่ภายในพันธุกรรมของเอ็มเมอริค

 

 

“ไวรัสที่เราจะนำไปใส่ในร่างกายของผู้ป่วยนั้นจะมีการทำงานแบบ RNA ซึ่งมันถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับยีนกลายพันธุ์ พอมันตรวจพบมันก็จะเข้าไปเกาะภายในจีโนมพวกนั้น จากนั้นเราจะใช้มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าตัวไหนเป็นยีนกลายพันธุ์ที่ควรจะถูกกำจัด”

 

ในขณะที่กางเชือกออกมาให้เอเลนดูนั้น ฟาร์มาก็ใช้มีดตัดเชือกออกจากกันหมดการฉีกยีนออกเป็นสองส่วน

 

“หืม เราสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ หมายความว่าเราสามารถตัดดีเอ็นเอออกเป็นส่วนๆ ได้สินะ แล้วมันจะไม่เป็นปัญหาใหญ่เอาเหรอถ้ายีนภายในร่างกายของเราถูกทำลาย?”

 

เอเลนหันไปมองเชือกในส่วนที่ถูกตัดออกไป

 

“แน่นอนว่าต้องแย่อยู่แล้วหากมันถูกตัดออกไป แต่ระบบในร่างกายของมนุษย์เราเยี่ยมยอดกว่านั้น เพราะมันจะซ่อมแซมยีนที่เสียหายได้เอง และถ้าเราเล็งตรงจุดนี้เราก็จะสามารถใส่ลำดับจีโนมที่เราต้องการแก้ไขลงไประหว่างการซ่อมแซมมันก็จะถูกรวมเข้าไปภายในนั้นระหว่างการซ่อมแซมด้วย”

 

ฟาร์มาใช้ริบบิ้นสั้นๆ คล้องเข้าไปในเชือกแทนส่วนยีนกลายพันธุ์ที่ถูกตัดออกไป และมัดมันให้เป็นปมราวกับชดเชยในส่วนที่หายไปของยีนแทน

 

 

“แล้วริบบิ้นนี่เราจะไปหามาจากไหนล่ะแถมมันจะรวมเข้ากับจีโนมที่ยุ่งเหยิงพวกนี้ได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีปัญหาเลยเหรอ”

 

“ในส่วนนี้ใช้ไวรัสดังกล่าวเป็นตัวช่วย ขณะที่จีโนมกำลังซ่อมแซมตัวเองตามลำดับที่ถูกต้องของมัน ท้ายที่สุดพรีออนที่ผลิตออกมาก็จะกลับมาเป็นปกติและไม่เหลือความผิดปกติภายในยีนอีกต่อไปนั่นเอง”

 

“เอ๊ะ แค่นี้เลยเหรอ”

 

เอเลนเบิกตากว้าง

 

“ผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการของโรคก็น่าจะรักษาให้หายขาดได้เลย”

 

“แปลว่านี่คือจุดสิ้นสุดของการรักษาโรคนี้แล้วสินะ”

 

เอเลนถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง

 

 

“ด้วยสิ่งนี้ ตัวของเอ็มเมอริคและลูกหลานของเขาจากนี้ก็จะสามารถพ้นจากคำสาปได้”

 

เธอได้รับเชือกที่ฟาร์มาตัดและแปะให้ดูเหมือนจีโนม ก่อนจะดูว่ามันถูกรัดไว้เป็นอย่างดี

 

 

“งั้นก็แปลว่าหายขาดแล้วสินะ…ด้วยการเขียนยีนตัวใหม่ทับลงไป โถ่..ฟาร์มาคุงนี่ละก็ที่แท้นายก็รู้วิธีรักษามาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา ยังจะมาวางฟอร์มอีกนะ”

 

เอเลนแหย่ฟาร์มาที่แสดงสีหน้าโล่งใจออกมา

 

 

“ก็หวังว่ามันจะได้ผลนะ..”

 

ฟาร์มาพูดก่อนที่จะเว้นช่วง

 

 

“เพราะเราก็ไม่รู้ด้วยว่าท้ายที่สุดแล้วจะไหวไหม”

 

ไม่มีเหตุให้ต้องมองโลกในแง่ดีเท่านั้น

 

“เอ๋ มันจะมีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเหรอ? เท่าที่ฉันฟังดูทั้งหมดก็น่าจะเข้าท่าแล้วนี่”

 

“สมอง ไขสันหลัง และอวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกายของคนเรามีกลไกป้องกันทางชีวภาพที่สามารถกำจัดไวรัสได้ นั่นจึงทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่ไปทั่วร่างกายได้ 100% และถึงมันจะแทรกซึมเข้าไปสู่เซลล์ได้ ประสิทธิภาพของไวรัสที่จะสามารถปรับเปลี่ยนยีนให้กลายเป็นของใหม่ได้ก็ใช่จะสมบูรณ์แบบ ถ้าจะให้พูดก็คือการปรับแต่งพันธุกรรมนี้มีโอกาสที่จะล้มเหลวได้”

 

“นายจะบอกว่าอาจจะมีเซลล์บางตัวที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยีนบำบัดสินะ แล้วพรีออนที่ผิดปกติก็จะผลิตยีนที่ผิดปกติออกมาเหมือนเดิม”

 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มันจะไปเกาะลำดับของยีนซึ่งมีความคล้านกับเป้าหมายหลักของเขาอีกด้วย เรื่องนี้ฟาร์มาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกันเลยไม่อยากจะพูดออกไป

 

“แปลว่าถ้าเรามีเอนไซม์ที่สามารถแก้ไขจีโนมและเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดภายในร่างกายได้ก็จะทำให้ขั้นตอนนี้ได้ผล โดยไม่ต้องใช้ไวรัสใช่ไหม”

 

“แต่หากเราไม่ใช้ไวรัส มันจะเป็นเรื่องยากมากเลยนะที่จะหาสิ่งที่สามารถแทรกเข้าไปภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้ เพราะแค่ยาธรรมดาพอเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว ฤทธิ์ของมันก็จะเบาบางลงไปด้วย”

 

ส่วนที่ยากของการบำบัดด้วยยีนก็คือการกระจายไวรัสให้ทั่วร่างกาย โดยที่ต้องคำนวณถึงปัจจัยที่จำเป็นในการรักษาทั่วไปของร่างกายไว้ด้วย

 

 

“จะว่าไป มันก็มีวิธีอื่นอยู่อีกนะ”

 

เอเลนเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่ฟาร์มานั่งก่อนจะมองมาที่เขา

 

ด้วยสายตาที่เธอมองมายังฟาร์มาเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง ฟาร์มาก็ขมวดคิ้วขึ้น

 

 

“มีอะไรจะพูดเหรอ?”

 

เอเลนจับมือของฟาร์มาขึ้นมาก่อนจะนำมันมาวางบนกระดูกไหปลาร้าของเธอ

 

 

“ดะ-เดี๋ยวสิ เอเลนจะทำอะไรเนี่ย?”

 

ฟาร์มาตกใจและงุนงง ความรู้สึกที่สัมผัสผิวหนังของเธอผ่านนิ้วมือ จากนั้นเอเลนก็ใช้มือของฟาร์มากดลงไปที่ร่างของเธออย่างรุนแรงด้วยความเขินอาย

 

 

“ดะ……”

 

มือของฟาร์มาโปร่งแสงแล้วทะลุเข้าไปในร่างของเอเลน

 

 

“ก็แบบนี้ไง”

 

เอเลนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานแหวว

 

 

“ถ้านายถือยารักษาโรคเอาไว้ในมือแล้วยื่นมันเข้าไปในร่างของผู้ป่วย ยาที่นายจะใช้ก็จะกระจายไปทั่วเซลล์ของร่างกายได้ง่ายเลยไม่ใช่หรือไง แล้วถึงประสิทธิภาพในการดัดแปลงพันธุกรรมมันจำต่ำ แต่ก็ใช่ว่าเราต้องทำมันให้เสร็จในครั้งเดียวเสียหน่อยนี่ ค่อยๆ ทำมันเป็นจุดๆ ไปท้ายที่สุดเดี๋ยวก็ครบ 100% เองจริงไหมล่ะ?”

 

 

ฟาร์มารู้สึกหนักใจกับสิ่งที่เขาเจอ

 

เพราะมันเป็นการล้มล้างสามัญสำนึกของการบำบัดด้วยยีนเสียหมด ความคิดทั้งหมดที่เคยมีมาได้มลายหายไป

 

 

“วิธีนี้มันก็ได้ผลจริงแหละ ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นวิธีรักษาทั่วไปก็เถอะ”

 

แม้จะดูเหมือนเป็นการโกง แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ยิ่งใหญ่มาก

 

 

มันอาจแก้ไขส่วนที่เป็นคอขวดของการแพทย์แผนปัจจุบันได้เลย

 

 

“ต้องแบบนี้สิ ในที่สุดหนึ่งในความคิดฉันก็ได้รับการยอมรับเสียที ถึงจะดูโกงไปหน่อยก็เถอะนะ”

 

เอเลนพูดออกมาอย่างมีความสุข

 

 

“แต่น้องชายคนที่สอง ร่างกายของเขาเริ่มสะสมพรีออนที่ผิดปกติแล้ว ดังนั้นเราคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับพรีออกผิดปกติที่ผลิตออกมาด้วยสิ”

 

พรีออนที่ผิดปกติจะเปลี่ยนให้พรีออนปกติกลายเป็นผิดปกติตามได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำจัดพรีออนที่ผิดปกติออกให้หมด แน่นอนว่าไอเดียของเอเลนก็ดูจะเอาชนะปัญหาดังกล่าวได้ด้วย

 

หากฟาร์มาสอดมือเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยแล้วกระจายแอนติบอดีที่ทำหน้าที่จับพรีออนผิดปกติในร่างกายทั้งหมด พอพรีออนพวกนั้นถูกตรวจจับได้ฟาร์มาก็จะใช้ความสามารถในการสลายสสารกำจัดพรีออนพวกนั้นออกไปให้หมด

 

แน่นอนว่าทั้งนี้พรีออนที่ปกติก็อาจจะหายไปจากร่างกายได้ด้วย แต่ด้วยพรีออนที่อยู่ในสภาพปกติจะถูกส่งเข้าไปแทนที่จากการใช้มาตรการยีนบำบัด ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ ในส่วนดังกล่าว

 

นั่นหมายความว่าน้องชายคนที่สอง ฟาร์มาก็สามารถรักษาเขาได้

 

ถึงจะต้องใช้เวลาในการรักษาบ้าง แต่ก็หวังว่าตระกูลของเอ็มเมอริคทุกคนจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้

 

ด้วยการรักษาดังกล่าวเซลล์สืบพันธุ์ของพวกเขาที่จะส่งต่อไปยังลูกหลานก็จะไม่มีเชื้อโรคนอนไม่หลับอีกต่อไป

 

 

(จนถึงตอนนี้ความเสี่ยงที่เราประเมินอาจจะต่ำไปก็ได้…แต่มันก็ยังดีกว่าไม่คิดอะไรเลยแล้วไปนั่งภาวนาเอากับพระเจ้าทีหลังแหละนะ)

 

เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากล้มเหลว

 

แถมการบำบัดด้วยยีนในตอนนี้ก็ยังเริ่มทดลองแค่กับสัตว์ ยังไม่มีข้อมูลที่ประสบความสำเร็จในมนุษย์เลยด้วย

 

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลองทำมันดู และถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของการแก้ไขจีโนมจะแย่กว่าที่คาดไว้ ตราบใดที่เขาสามารถลบโปรตีนพรีออนที่ผิดปกติออกไปได้ ความคืบหน้าของอาการที่จะกำเริบก็คงจะช้ากว่าเดิม จนอาจจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ไปอีกนานแสนนาน

 

 

 

ฟาร์มาสรุปผลการวิเคราะห์ยีน และเรียกเอ็มเมอริคไปที่ห้องของศาสตราจารย์เพื่ออธิบายแผนการรักษา แน่นอนว่าเอเลนก็อยู่ที่นั่นด้วย

 

เอ็มเมอริคซ่อนความตกใจไว้ไม่ได้เมื่อเขาพบว่าสมาชิกทุกคนในตระกูลของเขาได้รับโรคทางพันธุกรรมที่อันตรายถึงชีวิตนี้มาหมด แต่ความแนวทางการรักษาที่ฟาร์มาพูดไป เขาก็เริ่มดูมีความหวังมากยิ่งขึ้น

 

 

“หมายความว่าถ้าเรารวมศาสตร์แห่งเทพของศาสตราจารย์เข้ากับเทคโนโลยีเพื่อดัดแปลงยีน เราอาจจะรักษามันให้หายขาดได้สินะครับ!”

 

 

เอ็มเมอริคต้องมีความสุขมาก เขากระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้และแสดงความดีใจ

 

 

“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นนะครับ”

 

ฟาร์มาพยายามอธิบายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เขามั่นใจจนเกินเหตุ

 

“โปรดสอนศาสตร์แห่งเทพนั้นให้ผมด้วยเถอะครับ!”

 

 

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากวิชานี้หากไม่ใช่ผมแล้วก็คงใช้ไม่ได้”

 

หมายความว่ายังไงเหรอครับ เอ็มเมอริคทำท่าไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดฟาร์มาก็อธิบายไปว่ามันเป็นศาสตร์แห่งเทพที่จำเป็นต้องใช้คุณสมบัติพิเศษบางอย่างในตัวผู้ใช้จึงจะทำงานได้

 

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คุณสมบัติธาตุของศาสตราจารย์เมดิซิส แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นธาตุปกติสินะครับ…..แบบนี้นี่เอง งั้นผมคงต้องฝากให้ศาสตราจารย์ช่วยแล้วครับ เพราะผมที่ไม่มีคุณสมบัติแบบนี้ก็คงจะใช้วิชานั้นไม่ได้”

 

เอ็มเมอริคกล่าวออกมาด้วยความประทับใจ

 

“แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ไม่มีใครนอกจากศาสตราจารย์ที่สามารถรักษามันได้…”

 

การรักษาคนในตระกูลของเอ็มเมอริคนั้นอาจจะมีหนทาง แต่กับคนอื่นแล้ว…

 

ฟาร์มาก็ได้แต่หวังว่าเอ็มเมอริคจะไม่เอาจุดนี้ไปด้อยค่าตัวเองว่าไม่เหมาะกับการเป็นแพทย์โอสถ

 

 

 

“เพราะแบบนั้นผมถึงได้บอกว่า โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาไงครับ”

 

ฟาร์มาพูดอย่างตรงไปตรงมา

 

วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่สามารถใช้ได้เพียงแค่คนเดียว มันไม่สามารถส่งต่อไปให้ช่วยเหลือผู้ป่วยในอนาคตได้

 

 

การรักษาต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบทุกขั้นตอนเป็นอย่างดีตามแบบแผน และทุกคนต้องสามารถทำตามเทคนิคดังกล่าวได้ หากมันไม่เป็นไปตามที่ว่ามา ฟาร์มาก็ไม่สามารถพูดได้ว่าโรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้แล้ว

 

ความตั้งใจของฟาร์มาดูเหมือนจะถ่ายทอดไปยังเอ็มเมอริคได้สำเร็จ

 

“ผมจะทำการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าวิธีดังกล่าวจะเป็นไปได้ในแนวทางปฏิบัติจริงไหมโดยการทดลองในพืชกับสัตว์ขนาดเล็กก่อน ถ้าผ่านไปได้ด้วยดีก็จะเป็นตาของน้องชายคนที่สองของคุณ และหากสำเร็จเราจะเริ่มทดลองใช้กับสมาชิกที่เหลือในตระกูลของคุณรวมถึงตัวคุณเองด้วยนะครับ”

 

 

 

เอ็มเมอริคที่ฟังแผนการรักษาของฟาร์มาอย่างเงียบๆ เสร็จ เขาก็เงยหน้าจ้องมองไปยังเพดานที่ว่างเปล่า

 

 

“เอ็มเมอริคคุง เป็นอะไรไปเหรอ หรือไม่เข้าใจเรื่องที่ฟัง?”

 

เอเลนเข้าไปตบไหล่ของเอ็มเมอริคที่ดูแววตาว่างเปล่า และถามว่าไม่เข้าใจในจุดไหนหรือเปล่า จากมุมของฟาร์มาเขาคิดว่าเอ็มเมอริคน่าจะตามทัน

 

“หากวิธีรักษาเป็นไปตามนี้คุณจะยอมรับไหมครับ”

 

ฟาร์มาถามยืนยัน แน่นอนว่าเขาวางแผนที่จะอธิบายเรื่องนี้กับสมาชิกภายในตระกูลที่เหลือด้วย เพื่อรับการยินยอมจากแต่ละคน

 

 

 

“ครับ โปรดช่วยพี่น้องของผมด้วยศาสต์แห่งเทพของศาสตราจารย์และเทคโนโลยีอันทันสมัยนั้นด้วยครับ ขอขอบพระคุณมากจริงๆ ที่ช่วยพวกเรา”

 

 

เอ็มเมอริคสูดหายใจลึกและหลับตาราวกับจะใคร่ครวญคำพูดของฟาร์มาที่ผ่านมา

 

 

(เดี๋ยวนะ? พูดว่าพี่น้อง แปลว่าไม่รวมตัวเองเข้าไปด้วยเหรอ?)

 

ฟาร์มาจับความหมายของคำพูดของเอ็มเมอริค

 

 

“ศาสตราจารย์ ผมตัดสินใจแล้วครับ”

 

“หมายความว่ายังไงครับ?”

 

“โปรดอย่ารักษายีนของผมเลยครับ ผมจะลองหาวิธีจัดการรักษาโรคนี้ด้วยตัวเองดู”

 

เขาตัดสินใจที่จะค้นคว้าวิธีรักษาพรีออนด้วยตัวเอง รวมไปถึงโรคนอนไม่หลับมรณะนั่นด้วย

 

เอ็มเมอริคประกาศการตัดสินใจต่อหน้าฟาร์มา

 

“ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมตระกูลของผมถึงได้ป่วยเป็นโรคนี้กัน”

 

เอ็มเมอริคจำได้ถึงความเจ็บปวดเพราะไม่ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้มากแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกสาปโดยเทพโอสถให้ต้องมาเผชิญชะตาเช่นนี้

 

 

 

“ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าโรคนี้จะต้องรักษาได้สำเร็จแน่นอนและนั่นคือการบ้านที่เทพผู้พิทักษ์ของผมได้มอบมาให้กับผม ท่านเทพโอสถ…”

 

เอ็มเมอริคแสดงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ออกมา แน่นอนว่าอาจจะมองว่าเป็นความผยองก็ได้

 

ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจกับแรงใจเช่นนี้ ก่อนที่ฟาร์มาจะมองไปยังเขาแล้วหันไปหาเอเลน และเอเลนก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับเขาเช่นกัน

 

 

“ฉันก็ว่าเทพโอสถคงเฝ้ามองนายดูจริงๆ นั่นแหละจากที่ฉันรู้สึกนะ”

 

เอเลนพูดพลางชำเลืองมองฟาร์มา ทางฟาร์มาก็ได้แต่ยักไหล่แล้วกระแอมคอออกมาก่อนจะพูดให้กำลังใจเอ็มเมอริค

 

 

 

“ได้ครับ ผมจะยังไม่ทำการรักษาคุณ ขอให้พยายามเข้านะครับ”

 

“ขอขอบคุณครับ! ผมจะพยายามสู้กับความตายนี้ให้ถึงที่สุดเอง”

 

ฟาร์มายกย่องในความกล้าหาญที่เอาชนะความกลัวของเอ็มเมอริค

 

 

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณสามารถใช้สิ่งที่อยู่ในห้องปฏิบัติการนี้ได้อย่างอิสระเพื่อการวิจัยของคุณ เรามีไวรัสอดีโนด้วย ดังนั้นก็ลองพยายามวิจัยมันดูนะครับ”

 

 

“เป็นเกียรติจริงๆ ครับ! จากนี้ก็โปรดชี้แนะผมต่อไปด้วยนะครับ!”

 

 

(สำหรับเราแล้ว มันก็เหมือนการบ้านที่เราต้องกลับมาทำต่อจากชีวิตก่อน ลองดูสักตั้งสิว่าระหว่างเรากับเอ็มเมอริคใครจะเจอมันก่อนกัน)

 

ฟาร์มาคิดว่าคงจะมีน้อยคนนักที่จะยอมกระโจนเข้าสู่โลกแห่งการวิจัยที่แสนยากเย็นนี้ด้วยความทะเยอทะยาน

 

 

เขาก็ขอให้เอ็มเมอริคได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากการค้นหาวิธีรักษาโรคร้ายแรงนี้สำเร็จ

 

หน้าที่ของเขาคือการชี้นำให้คนเหล่านี้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น ฟาร์มาตั้งปณิธานอีกครั้ง

 

ในฐานะหัวหน้างาน เขาจะไม่ละความพยายามในการสนับสนุนงานวิจัยของเอ็มเมอริค

 

และฟาร์มาเองก็จะพยายามค้นหาวิธีการบำบัดด้วยยีนที่เป็นวิธีซึ่งไม่ต้องอาศัยความสามารถของเทพโอสถด้วย

 

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset